Episode-๑๓ ความจริงบางอย่าง

1484 Words
หลังจากทำแผลให้เก้าเสร็จฉันก็ไปหาที่นอนมาให้ค่ะและก็โทรบอกแม่แล้วเช่นกัน แม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังจัดแจงห้องนอนให้เสร็จสรรพแต่เจ้าตัวเขาปฏิเสธและยืนยันที่จะนอนข้างนอกเอง “เธอไปนอนเถอะดึกมากแล้ว” “อืม มีอะไรเรียกได้นะถ้ากลัวผีก็เรียกได้เหมือนกัน” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เล่นด้วยสักเท่าไหร่ “คนน่ากลัวกว่าผีอีก” “...” เข้ามาในห้องฉันก็ทิ้งตัวลงนอนทันที ง่วงนะคะแต่ว่าตามันไม่ยอมหลับ เกลือกกลิ้งอยู่แบบนั้นจนเวลาล่วงเลยไปนับชั่วโมง เหลือบดูนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบตีสองแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าคนข้างนอกหลับหรือยัง ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้วฉันจึงตั้งใจว่าจะออกไปดูสักหน่อย “...” กลิ่นควันบุหรี่ลอยแตะจมูกฉันตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าออกจากห้องด้วยซ้ำ แง้มดูที่หน้าประตูก็เห็นว่าเก้ากำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่... สายตาเหม่อลอยของเก้าฉันไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไง มันเป็นสายตาที่ให้ความรู้สึกเคว้งคว้างและเย็นชาในเวลาเดียวกัน “นอนไม่หลับเหรอ” ฉันเอ่ยถามแล้วนั่งลงข้างเขา “บอกให้นอนไง” น้ำเสียงดุเอ่ยพร้อมกับดีดมวลบุหรี่ในมือทิ้งไป “ไปนั่งห่าง ๆ หน่อยควันบุหรี่มันเข้าหน้า” หันมาสั่งฉันก่อนจะใช้เท้าเหยียบมวลบุหรี่ให้ดับสนิท “รู้ว่าไม่ดีแล้วสูบทำไมล่ะ” “ไม่รู้สิ รู้ตัวอีกทีมันก็ติดไปแล้ว” “นายดูเครียดเนอะ” “...” “มีอะไรระบายให้เราฟังได้นะ ไม่ต้องบอกเราทุกเรื่องก็ได้แต่พูดอะไรออกมาบ้างก็ยังดี” เก้ายังคงเงียบอยู่แบบนั้นฉันเองก็ไม่เซ้าซี้อะไรทำแค่นั่งอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนเขาไปแทน “เธอรู้ไหมว่าเราโคตรเหนื่อยเลย จนบางครั้งก็คิดว่าตัวเองกำลังป่วยหรือจิตฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า ทำไมต้องแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันทั้งที่ยังไม่พร้อมและไม่มีความสามารถมากพอที่จะอยู่กับมันด้วยซ้ำ โลกของความเป็นจริงแม่งโหดร้ายกว่าที่เห็นอีกนะเว้ย ทุกอย่างบีบบังคับเราไปซะหมดรู้นะว่ามันผิดแต่ก็เลือกที่จะทำ ไม่มีความฝัน ไม่มีแสงสว่างและไม่มีใครอยู่ข้างหลัง” น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยพร้อมกับหยดน้ำสีใสที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมัน แต่ก็แค่แป๊บเดียวค่ะ เขาซับมันด้วยแขนเสื้อข้างหนึ่งแล้วพูดต่อ “ชีวิตเราแม่งล้มเหลวตั้งแต่ลืมตามาบนโลกใบนี้แล้ว” “อย่าพูดแบบนั้นสิ” “พูดได้... เราพูดได้เต็มปากเลยแหละว่าล้มเหลวตั้งแต่สถาบันครอบครัวจนถึงตอนนี้” “พ่อกับแม่นาย... ช่างเถอะ!” อยากรู้นั่นแหละค่ะแต่เปลี่ยนใจไม่ถามแล้วดีกว่าในเมื่อเจ้าตัวเขาพูดมาซะขนาดนั้นแล้วก็แสดงว่าเรื่องในบ้านเขามันคงไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเราจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงตีสาม “เธอไปนอนเถอะเราอยากอยู่คนเดียว” ฉันไม่ได้ตอบอะไรและยอมถอยออกห่างแต่โดยดี ตอนนี้คงจะมีแค่ความเงียบเท่านั้นแหละที่เขาอยากอยู่ด้วย กลับเข้ามาในห้องฉันก็ผล็อยหลับไป... สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็สว่างแล้วค่ะ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จออกมาด้านนอกยังไม่มีใครกลับมาค่ะและเก้าก็ยังไม่ตื่น ไม่สิ! บางทีอาจจะเพิ่งนอนก็ได้มั้ง มองสำรวจบาดแผลตามร่างกายรู้สึกว่าช้ำเยอะมากค่ะ ถ้าบอกว่าไม่ปวดหรือไม่เจ็บนี่โกหกเห็น ๆ เลย “นาย... ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะ” พลางยื่นมือไปอังหน้าผากอย่างถือวิสาสะ ตัวร้อนมากเลยค่ะ “อื้อ...” “นายเป็นยังไงบ้าง” “ปวดไปหมดเลย” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยก่อนจะลืมตามองฉัน “อาบน้ำนะตัวนายร้อนมากเลยเดี๋ยวเราหาอะไรมาให้กิน” ฉันว่าพลางพยุงเขาให้ลุกขึ้น “ห้องน้ำอยู่ซ้ายมือส่วนผ้าเช็ดตัวก็อยู่ในนั้นแหละเป็นผืนใหม่ยังไม่มีใครใช้” “อืม” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะค่อย ๆ ลุกเดินไปทางห้องน้ำ คล้อยหลังเก้าฉันก็ออกมาซื้อโจ๊กกับน้ำเต้าหู้ที่สี่แยกใกล้บ้านค่ะ ส่วนยาแก้ปวดลดไข้ที่บ้านมีอยู่แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปหาแล้วกัน “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาหมอ?” จำได้ว่าพูดประโยคนี้ไปหลายครั้งแล้ว “เราไหว” “...” คำตอบก็ยังคงเดิมทุกครั้งเช่นกัน “ขอบคุณเธอมากนะ” “เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นเรื่องราวที่นายเจอมาได้ไหม?” “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ทำงานพลาดนิดหน่อย เธอไม่ต้องอยากรู้หรอกนะว่ามันงานอะไร รู้แค่ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีแค่นั้นพอ” คำตอบดักทางถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม ได้ยินแบบนั้นฉันก็ไม่เซ้าซี้อีกค่ะ พอใจจะบอกแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะ ทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเองฉันคิดแบบนั้น หลังจากกินข้าวกินยาเสร็จเก้าก็ผล็อยหลับไปอีกค่ะ คงเป็นเพราะฤทธิ์ของยาบวกกับร่างกายที่โคตรจะบอบช้ำของเขาด้วยแหละ ระหว่างวันฉันก็ทำงานบ้านไปตามประสาจนกระทั่งแม่กลับมาและเห็นเก้านอนหมดสภาพอยู่ตรงนั้น “ตายห่า! ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ” “มีเรื่องมาอะแม่สภาพก็อย่างที่เห็น” “ตาย ๆ แผลเต็มไปหมดเลย” ไม่พูดเปล่าแม่ยังนั่งลงข้างเก้าและสำรวจบาดแผลตามร่างกายอีกด้วย “กินยาหรือยังเนี่ย” “กินแล้วและก็ทำแผลแล้วด้วย” “แล้วมีเรื่องกับใครแจ้งตำรวจหรือยังแล้วพ่อแม่เขารู้ไหม” “ใจเย็น ๆ นะแม่เรื่องนี้หนูไม่รู้ ยิ่งครอบครัวแม่ไม่ต้องพูดถึงเลย” “ไม่พูดได้ยังไงเป็นพ่อแม่ประสาอะไรไม่สนใจลูก มันจะดีจะชั่วมันก็เป็นลูกอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ” “ก็แม่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าคนเรามันเติบโตมาไม่เหมือนกัน...” “...” แม่เงียบแล้วมองเก้าด้วยสายตาที่ต่างออกไป ฉันหวังว่าแม่จะเข้าใจความหมายที่ฉันต้องการจะสื่อนะ อย่างน้อยการไม่พูดถึงก็อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเก้าก็ได้ ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนที่ดีของทุกคนหรอก ช่วงเย็นฉันออกมาซื้อของให้แม่และไม่ลืมซื้อโกโก้ไปฝากใครอีกคนด้วย แต่วันนี้รู้สึกตลาดจะครึกครื้นกว่าทุกวันค่ะ มีเสียงการพูดคุยเรื่องเดียวกันอยู่ตลอด ไม่เว้นแม้แต่แม่ค้าตรงหน้าฉัน “นี่นะเมื่อคืนเขาล่อซื้อยากันตรงเลียบคลอง โอ้ย...เสียงปืนดังสนั่นเลย” “แล้วจับได้ไหม?” “ไม่ได้! จับได้แต่ของกลางเห็นว่าเป็นเด็กด้วยนะแต่มันไหวตัวทันเลยรอดไป” “ไม่รอดหรอก ทำงานพลาดมันจะไปรอดได้ยังไงเดี๋ยวกลับไปมันก็ถูกลูกพี่ซ้อมตายพอดี ไอ้พวกนี้มันจะมีตัวใหญ่อยู่ มันไม่ทำงานกันเองหรอก” “สมควร! เป็นคนดีไม่ได้ก็ตาย ๆ ไปซะจะได้ไม่หนักแผ่นดิน” “ป้าก็พูดเกินไป คนเรามันก็ต้องมีหลงผิดกันบ้าง” บทสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยชื่อหรือกล่าวถึงใครแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าใช่นะ... กลับถึงบ้านก็เห็นเก้ากำลังช่วยแม่เตรียมของสำหรับจะทำขายในวันพรุ่งนี้อยู่ค่ะ สีหน้าเขาดูดีขึ้นมานิดหน่อย คงเป็นเพราะไข้ลดลงด้วยล่ะมั้ง “อยู่นี่กันนะเดี๋ยวแม่ไปเอาของที่ฝากไว้ร้านค้าก่อน” “ครับ” คล้อยหลังแม่ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบจนฉันเป็นฝ่ายทนไม่ไหวและถามออกไปตามตรง “ที่นายบอกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีน่ะ มันเกี่ยวกับยาเสพติดใช่ไหม” ประโยคหลังแทบจะกลั้นใจพูดด้วยซ้ำเพราะเหมือนว่าฉันกำลังล้ำเส้นเขาอยู่ “...” เก้าเงียบไปหลายนาทีก่อนจะพยักหน้าให้ฉันแทนคำตอบ “...” “เราเลิกยุ่งกับเธอก็ได้นะ ถ้า...” “ไม่หรอก เราก็แค่ไม่อยากรู้เรื่องของนายจากปากคนอื่น ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลของนายมันคืออะไร เอาเป็นว่าเราจะรับรู้ไว้เท่านี้แล้วกันนะ” “...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD