หลังจากทำแผลให้เก้าเสร็จฉันก็ไปหาที่นอนมาให้ค่ะและก็โทรบอกแม่แล้วเช่นกัน แม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังจัดแจงห้องนอนให้เสร็จสรรพแต่เจ้าตัวเขาปฏิเสธและยืนยันที่จะนอนข้างนอกเอง
“เธอไปนอนเถอะดึกมากแล้ว”
“อืม มีอะไรเรียกได้นะถ้ากลัวผีก็เรียกได้เหมือนกัน” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เล่นด้วยสักเท่าไหร่
“คนน่ากลัวกว่าผีอีก”
“...”
เข้ามาในห้องฉันก็ทิ้งตัวลงนอนทันที ง่วงนะคะแต่ว่าตามันไม่ยอมหลับ เกลือกกลิ้งอยู่แบบนั้นจนเวลาล่วงเลยไปนับชั่วโมง
เหลือบดูนาฬิกาตอนนี้ก็เกือบตีสองแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าคนข้างนอกหลับหรือยัง ไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้วฉันจึงตั้งใจว่าจะออกไปดูสักหน่อย
“...” กลิ่นควันบุหรี่ลอยแตะจมูกฉันตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าออกจากห้องด้วยซ้ำ แง้มดูที่หน้าประตูก็เห็นว่าเก้ากำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่...
สายตาเหม่อลอยของเก้าฉันไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไง มันเป็นสายตาที่ให้ความรู้สึกเคว้งคว้างและเย็นชาในเวลาเดียวกัน
“นอนไม่หลับเหรอ” ฉันเอ่ยถามแล้วนั่งลงข้างเขา
“บอกให้นอนไง” น้ำเสียงดุเอ่ยพร้อมกับดีดมวลบุหรี่ในมือทิ้งไป “ไปนั่งห่าง ๆ หน่อยควันบุหรี่มันเข้าหน้า” หันมาสั่งฉันก่อนจะใช้เท้าเหยียบมวลบุหรี่ให้ดับสนิท
“รู้ว่าไม่ดีแล้วสูบทำไมล่ะ”
“ไม่รู้สิ รู้ตัวอีกทีมันก็ติดไปแล้ว”
“นายดูเครียดเนอะ”
“...”
“มีอะไรระบายให้เราฟังได้นะ ไม่ต้องบอกเราทุกเรื่องก็ได้แต่พูดอะไรออกมาบ้างก็ยังดี”
เก้ายังคงเงียบอยู่แบบนั้นฉันเองก็ไม่เซ้าซี้อะไรทำแค่นั่งอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนเขาไปแทน
“เธอรู้ไหมว่าเราโคตรเหนื่อยเลย จนบางครั้งก็คิดว่าตัวเองกำลังป่วยหรือจิตฟุ้งซ่านไปเองหรือเปล่า ทำไมต้องแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันทั้งที่ยังไม่พร้อมและไม่มีความสามารถมากพอที่จะอยู่กับมันด้วยซ้ำ โลกของความเป็นจริงแม่งโหดร้ายกว่าที่เห็นอีกนะเว้ย ทุกอย่างบีบบังคับเราไปซะหมดรู้นะว่ามันผิดแต่ก็เลือกที่จะทำ ไม่มีความฝัน ไม่มีแสงสว่างและไม่มีใครอยู่ข้างหลัง” น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยพร้อมกับหยดน้ำสีใสที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นมัน แต่ก็แค่แป๊บเดียวค่ะ เขาซับมันด้วยแขนเสื้อข้างหนึ่งแล้วพูดต่อ “ชีวิตเราแม่งล้มเหลวตั้งแต่ลืมตามาบนโลกใบนี้แล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ”
“พูดได้... เราพูดได้เต็มปากเลยแหละว่าล้มเหลวตั้งแต่สถาบันครอบครัวจนถึงตอนนี้”
“พ่อกับแม่นาย... ช่างเถอะ!” อยากรู้นั่นแหละค่ะแต่เปลี่ยนใจไม่ถามแล้วดีกว่าในเมื่อเจ้าตัวเขาพูดมาซะขนาดนั้นแล้วก็แสดงว่าเรื่องในบ้านเขามันคงไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเราจนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงตีสาม
“เธอไปนอนเถอะเราอยากอยู่คนเดียว”
ฉันไม่ได้ตอบอะไรและยอมถอยออกห่างแต่โดยดี ตอนนี้คงจะมีแค่ความเงียบเท่านั้นแหละที่เขาอยากอยู่ด้วย
กลับเข้ามาในห้องฉันก็ผล็อยหลับไป... สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็สว่างแล้วค่ะ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จออกมาด้านนอกยังไม่มีใครกลับมาค่ะและเก้าก็ยังไม่ตื่น ไม่สิ! บางทีอาจจะเพิ่งนอนก็ได้มั้ง
มองสำรวจบาดแผลตามร่างกายรู้สึกว่าช้ำเยอะมากค่ะ ถ้าบอกว่าไม่ปวดหรือไม่เจ็บนี่โกหกเห็น ๆ เลย
“นาย... ทำไมตัวร้อนแบบนี้ล่ะ” พลางยื่นมือไปอังหน้าผากอย่างถือวิสาสะ ตัวร้อนมากเลยค่ะ
“อื้อ...”
“นายเป็นยังไงบ้าง”
“ปวดไปหมดเลย” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยก่อนจะลืมตามองฉัน
“อาบน้ำนะตัวนายร้อนมากเลยเดี๋ยวเราหาอะไรมาให้กิน” ฉันว่าพลางพยุงเขาให้ลุกขึ้น “ห้องน้ำอยู่ซ้ายมือส่วนผ้าเช็ดตัวก็อยู่ในนั้นแหละเป็นผืนใหม่ยังไม่มีใครใช้”
“อืม” ขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะค่อย ๆ ลุกเดินไปทางห้องน้ำ
คล้อยหลังเก้าฉันก็ออกมาซื้อโจ๊กกับน้ำเต้าหู้ที่สี่แยกใกล้บ้านค่ะ ส่วนยาแก้ปวดลดไข้ที่บ้านมีอยู่แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปหาแล้วกัน
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาหมอ?” จำได้ว่าพูดประโยคนี้ไปหลายครั้งแล้ว
“เราไหว”
“...” คำตอบก็ยังคงเดิมทุกครั้งเช่นกัน
“ขอบคุณเธอมากนะ”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นเรื่องราวที่นายเจอมาได้ไหม?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ทำงานพลาดนิดหน่อย เธอไม่ต้องอยากรู้หรอกนะว่ามันงานอะไร รู้แค่ว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีแค่นั้นพอ” คำตอบดักทางถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม ได้ยินแบบนั้นฉันก็ไม่เซ้าซี้อีกค่ะ พอใจจะบอกแค่ไหนก็แค่นั้นล่ะ ทุกคนย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเองฉันคิดแบบนั้น
หลังจากกินข้าวกินยาเสร็จเก้าก็ผล็อยหลับไปอีกค่ะ คงเป็นเพราะฤทธิ์ของยาบวกกับร่างกายที่โคตรจะบอบช้ำของเขาด้วยแหละ
ระหว่างวันฉันก็ทำงานบ้านไปตามประสาจนกระทั่งแม่กลับมาและเห็นเก้านอนหมดสภาพอยู่ตรงนั้น
“ตายห่า! ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”
“มีเรื่องมาอะแม่สภาพก็อย่างที่เห็น”
“ตาย ๆ แผลเต็มไปหมดเลย” ไม่พูดเปล่าแม่ยังนั่งลงข้างเก้าและสำรวจบาดแผลตามร่างกายอีกด้วย “กินยาหรือยังเนี่ย”
“กินแล้วและก็ทำแผลแล้วด้วย”
“แล้วมีเรื่องกับใครแจ้งตำรวจหรือยังแล้วพ่อแม่เขารู้ไหม”
“ใจเย็น ๆ นะแม่เรื่องนี้หนูไม่รู้ ยิ่งครอบครัวแม่ไม่ต้องพูดถึงเลย”
“ไม่พูดได้ยังไงเป็นพ่อแม่ประสาอะไรไม่สนใจลูก มันจะดีจะชั่วมันก็เป็นลูกอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ”
“ก็แม่บอกเองไม่ใช่เหรอว่าคนเรามันเติบโตมาไม่เหมือนกัน...”
“...” แม่เงียบแล้วมองเก้าด้วยสายตาที่ต่างออกไป ฉันหวังว่าแม่จะเข้าใจความหมายที่ฉันต้องการจะสื่อนะ อย่างน้อยการไม่พูดถึงก็อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับเก้าก็ได้ ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนที่ดีของทุกคนหรอก
ช่วงเย็นฉันออกมาซื้อของให้แม่และไม่ลืมซื้อโกโก้ไปฝากใครอีกคนด้วย แต่วันนี้รู้สึกตลาดจะครึกครื้นกว่าทุกวันค่ะ มีเสียงการพูดคุยเรื่องเดียวกันอยู่ตลอด ไม่เว้นแม้แต่แม่ค้าตรงหน้าฉัน
“นี่นะเมื่อคืนเขาล่อซื้อยากันตรงเลียบคลอง โอ้ย...เสียงปืนดังสนั่นเลย”
“แล้วจับได้ไหม?”
“ไม่ได้! จับได้แต่ของกลางเห็นว่าเป็นเด็กด้วยนะแต่มันไหวตัวทันเลยรอดไป”
“ไม่รอดหรอก ทำงานพลาดมันจะไปรอดได้ยังไงเดี๋ยวกลับไปมันก็ถูกลูกพี่ซ้อมตายพอดี ไอ้พวกนี้มันจะมีตัวใหญ่อยู่ มันไม่ทำงานกันเองหรอก”
“สมควร! เป็นคนดีไม่ได้ก็ตาย ๆ ไปซะจะได้ไม่หนักแผ่นดิน”
“ป้าก็พูดเกินไป คนเรามันก็ต้องมีหลงผิดกันบ้าง”
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยชื่อหรือกล่าวถึงใครแต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าใช่นะ...
กลับถึงบ้านก็เห็นเก้ากำลังช่วยแม่เตรียมของสำหรับจะทำขายในวันพรุ่งนี้อยู่ค่ะ สีหน้าเขาดูดีขึ้นมานิดหน่อย คงเป็นเพราะไข้ลดลงด้วยล่ะมั้ง
“อยู่นี่กันนะเดี๋ยวแม่ไปเอาของที่ฝากไว้ร้านค้าก่อน”
“ครับ”
คล้อยหลังแม่ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบจนฉันเป็นฝ่ายทนไม่ไหวและถามออกไปตามตรง
“ที่นายบอกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีน่ะ มันเกี่ยวกับยาเสพติดใช่ไหม” ประโยคหลังแทบจะกลั้นใจพูดด้วยซ้ำเพราะเหมือนว่าฉันกำลังล้ำเส้นเขาอยู่
“...” เก้าเงียบไปหลายนาทีก่อนจะพยักหน้าให้ฉันแทนคำตอบ
“...”
“เราเลิกยุ่งกับเธอก็ได้นะ ถ้า...”
“ไม่หรอก เราก็แค่ไม่อยากรู้เรื่องของนายจากปากคนอื่น ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลของนายมันคืออะไร เอาเป็นว่าเราจะรับรู้ไว้เท่านี้แล้วกันนะ”
“...”