อาทิตย์หน้าสอบแล้วนายส่งงานครบทุกวิชาหรือยัง” ฉันเอ่ยถามเก้าที่กำลังนั่งเล่นเกมส์อยู่ข้าง ๆ
“ยังอะ ช่างมันเถอะไม่สนใจหรอก”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ นั่นมันคะแนนของนายนะ”
“ก็ช่างสิ ไม่ได้สนใจแต่แรกอยู่แล้ว”
“คิดแบบนั้นเหรอ”
“...”
“คะแนนเกรดเฉลี่ยหรือวุฒิการศึกษามันสำคัญนะ ต่อให้มันจะกินไม่ได้แต่มันก็ทำให้ชีวิตเรามีทางเลือกมากขึ้นนะ” ฉันยังคงพยายามพูดให้คนตรงหน้าเข้าใจแต่เหมือนว่าเขาจะฟังแบบขอไปที
“สำหรับเธอมันใช่ แต่สำหรับเรามันเลือกไม่ได้ขนาดนั้นหรอก”
“บางทีนายควรลองเข้าเรียนให้ครบทุกวิชาดูบ้างนะจะได้รู้ว่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
“แลกกันคนละวันเอาไหมล่ะ แต่ข้อแลกเปลี่ยนของเราอาจจะยากเกินไปสำหรับเธอหน่อยนะ”
“ยังไง”
“หนึ่งวันของเราจะเข้าเรียนครบทุกวิชาและไม่มีเรื่องกับใคร ส่วนอีกหนึ่งวันของเธอคือโดดเรียนไปกับเรา” มันไม่ใช่ประโยคบังคับหรอกค่ะแต่เป็นประโยควัดใจต่างหาก
“ถ้านายกล้าที่จะเรียนรู้ชีวิตของเรา เราก็กล้าที่จะเรียนรู้ชีวิตของนาย” ก็แค่เกเรวันเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าหนึ่งวันของเขามันจะเป็นยังไง
“แปลว่าตกลง?”
“อืม”
“...” เก้าเงียบไปเมื่อเห็นว่าฉันตอบตกลงโดยไม่ลังเลสักนิด เขาคงไม่คิดล่ะมั้งว่าฉันจะกล้าทำแบบนั้น
“สามวันสุดท้ายก่อนสอบนายเลือกมาเลยว่าวันไหน”
“พรุ่งนี้เราจะเข้าเรียน ส่วนวันที่สามวันสุดท้ายของเธอแล้วกัน”
“วันสุดท้ายเลยเหรอ...” พลางคิดอะไรบางอย่างแล้วมองคนตรงหน้าไปด้วย “นายคิดว่าเราไม่กล้าสินะ”
“แล้วกล้าป่ะล่ะ”
“หึ! นายท้าผิดคนแล้ว” ฉันว่าพลางแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ให้กับความคิดของคนตรงหน้า
วันสุดท้ายของการมาเรียนเป็นวันสำคัญค่ะ มีการนัดแนะมีการประชุมชี้แจงหลายอย่างแต่ก็นะ เลือกไปแล้วนี่ลองดูก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร
เช้าอีกวัน เก้าก็มาเรียนตามปกติค่ะ แถมยังเข้าเรียนทุกชั่วโมงอย่างที่รับปากไว้อีกด้วย
อยู่ในโรงเรียนเราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันสักคำเว้นแต่มีจังหวะจริง ๆ เขาถึงจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน อย่างเช่นตอนนี้
“อึ้งเลยอะดิ”
“ทำดีก็ทำได้แต่นายไม่ทำเองแหละ”
“หลอกด่าเก่งชะมัดเลย”
“ฮ่า ๆ”
“ไปเข้าห้องเรียนได้แล้ว”
“นายก็เหมือนกัน”
เราเรียนตึกเดียวกันค่ะ เก้าเรียนชั้นสามฉันเรียนชั้นสอง
“อ้าว... เธอเพิ่งมาหรอกเหรอ” ปูนาที่มาถึงก่อนเอ่ยถามขึ้น
“ใช่ดิ แกเดินโคตรเร็วเลยไม่รู้จะรีบไปไหน”
“แหะ ๆ ขอโทษนะที่รักคราวหน้าจะไม่รีบแบบนี้แล้ว เราลืมไปว่าขาเธอสั้น”
“ปูนา!”
“ฮ่า ๆ”
เข้าห้องเรียนได้ไม่นานอาจารย์ก็มาค่ะ แต่ว่ามาพร้อมกับเพื่อนห้องสี่...
“เรียนรวมกันอีกแล้วเหรอวะ” แซ็กเอ่ย
“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
ใช่ค่ะ มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะอาจารย์อีกคนไม่อยู่
“ขยับให้เพื่อนนั่งด้วยนะคะ ชั่วโมงที่เหลือนี้ครูอนุญาตให้ทำงานค้างได้ คุยกันก็ได้ค่ะแต่อย่าเสียงดังเกินไปนะ”
... : ค่ะ/ครับ
ฉันนั่งคู่กับปูนาค่ะ เอ็กซ์กับแซ็กนั่งด้วยกัน และโบนั่งคนเดียวอยู่แถวหลังฉันนี่แหละ
“ไอ้เก้า! ไวเชียวนะมึง”
“อะไรมึง?”
“ฮั่นแน่...”
เสียงแซวดังขึ้นไปรอบบริเวณ เบือนหน้าไปมองก็เห็นว่าเก้านั่งลงตรงที่ว่างข้างโบค่ะ
“ครูครับ เพื่อนผมแอบชอบลูกสาวห้องครูครับ”
“ใคร?”
“ไอ้เก้าครับ ไม่เชื่อดูสิมันเข้าใกล้แม่สาวผมยาวทุกครั้งเลยที่มีโอกาส”
... : ฮ่า ๆ
“ทำตัวให้ดีก่อนสิเผื่อครูจะใจดียกให้”
“...”
ฟังผ่าน ๆ ก็เหมือนคำแซวธรรมดาทั่วไปใช่ไหมล่ะคะ แต่สำหรับฉันรู้สึกว่ามันไม่ใช่เลย นี่มันคือฉนวนชั้นดีที่คอยจี้ปมในใจของเขาเลยด้วยซ้ำ ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเก้าถึงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราสองคนสนิทกัน
“ไม่เป็นไรนะเขาแก่แล้ว อีกเดี๋ยวก็เกษียณแล้วล่ะอย่าไปสนใจเลย”
“คิกคิก” คำพูดของฉันทำเอาปูนากลั้นขำแทบไม่ไหวรวมไปถึงโบและใครอีกคนก็ด้วย
“สวย ถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเองกูก็ไม่คิดนะว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้” โบว่ายิ้ม ๆ
“เราก็เป็นคนเหมือนกันนะ”
“ฮ่า ๆ”
กวาดสายตาไปรอบบริเวณคือทุกคนมีงานทำกันหมดเลยค่ะยกเว้นพวกเราสี่คนเพราะส่งกันหมดแล้ว
“ธนบดินทร์ งานเธอเสร็จหมดแล้วเหรอ”
“ครับ”
“ส่งหรือยัง?”
“ส่งครบแล้วครับ”
“เยี่ยม!”
“มึงส่งงานครบทุกวิชาเลยเหรอเก้า” คล้อยหลังอาจารย์โบก็เอ่ยถามขึ้น
“เออ”
“เชี่ย... เป็นไปได้แฮะ”
“เป็นไปแล้ว พอดีมีข้อแลกเปลี่ยนกับคนในความลับนิดหน่อย”
“กูชักอยากรู้แล้วสิว่าเขาคนนั้นเป็นใครทำไมมึงถึงเปลี่ยนเพื่อเขาได้ขนาดนี้”
“ใช้คำว่าเปลี่ยนเลยเหรอวะ”
“เออดิ การที่มึงเข้าเรียนครบทุกวิชานี่มันเป็นเรื่องอัศจรรย์เลยนะ”
“หลอกด่ากูไหมเนี่ย?”
“ไม่ ๆ กูแค่เปรียบเปรยให้ฟังเฉย ๆ”
ต้องรู้สึกยังไงนะที่ถูกนินทาระยะเผาขนแบบนี้ แถมยังทิ้งระเบิดไว้ให้คนอื่นตามหาอีก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีตอนนี้ก็ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว แถมคนที่ยื่นข้อเสนอให้ก็ทำภารกิจสำเร็จไปได้ด้วยดีอีกต่างหาก
“เพียงจันทร์”
“หืม?”
“...”
“เรียกแล้วไม่พูดนะ” ฉันว่าพลางหันไปมองโบด้วยความสงสัย ”ว่าไง?”
“เปล่าไม่มีอะไรแค่จะบอกว่าอ่านหนังสือเผื่อด้วย”
“โวะ!”
“ฮ่า ๆ คนอะไรขนาดโวยวายก็ยังน่ารัก”
“ถ้าเห็นตอนเราโกรธโบอาจจะเปลี่ยนคำพูดก็ได้”
“ใช่ไหม? เพราะคนเรามันมีหลายมุม”
“...”
สองวันต่อมา...
และแล้ววันนี้ก็มาถึงค่ะ ตื่นเต้นเป็นบ้าเลยไม่เคยทำอะไรแบบนี้
“เราจะไปไหนกันเหรอ” ฉันเอ่ยถามเก้าที่ตอนนี้พาฉันไปไหนไม่รู้
“ไปเรื่อย ๆ สบายใจตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ ทำไมอะ กลัวเหรอ?”
“ถ้ากลัวจะมาอยู่ตรงนี้หรือไง” ฉันตอบออกไปตามความคิด รู้นะคะว่ามันไม่ดีและไม่ควรทำตาม มันก็จริงอย่างที่แม่สอนนั่นแหละว่าไม่มีใครพาใครเสียคนหรอก มีแต่เราเองต่างหากที่อยากทำ
เก้าพาฉันมาที่บ้านหลังหนึ่ง จำได้ว่าเคยมาแล้วแต่ตอนนั้นเขาสั่งให้ฉันรอที่รถและเข้าไปคนเดียว
“...” ฉันหยุดนิ่งไม่ยอมเดินตามไปเมื่อเห็นว่าในตัวบ้านเต็มไปด้วยคนแปลกหน้าที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แถมยังคละคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่ ถ้าจะพูดกันตามตรงมันก็แหล่งมั่วสุมดี ๆ นี่เอง
“เปลี่ยนใจไหม? กลับเข้าโรงเรียนตอนนี้ยังทันนะ”
“ไม่ล่ะ ถ้ามีนายอยู่ด้วยเราก็ไม่น่าจะกลัวอะไร”
“เชื่อใจกันขนาดนั้นเลยเหรอ เธอไม่คิดว่าเราจะพาเธอมาทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายบ้างหรือไง”
“ก็คิด... แต่ถ้าจะทำนายคงทำไปนานแล้ว”
“...” เก้าเงียบไปแล้วมองหน้าฉันเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “เราไม่ได้ดีเหมือนที่เธอคิดหรอกนะเพียงจันทร์ แต่จำไว้เถอะว่าเราจะไม่ทำร้ายเธอไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือว่าความรู้สึก เพราะเธอเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างเรา”
“...” คราวนี้เป็นฉันเองที่เงียบไป รู้สึกว่าคุ้มค่ามากเลยที่วันนี้เลือกที่จะแหกกฎเพราะมันทำให้เห็นอีกด้านหนึ่งของเขา