อาทิตย์แรกของการมาเรียนถือว่าดีค่ะ ฉันปรับตัวได้เยอะขึ้นโดยเฉพาะกับเพื่อนในห้องแต่ที่สนิทก็มีแค่ปูนา โบแล้วก็เอ็กซ์กับแซ็กค่ะ
“บ่ายนี้สองชั่วโมงสุดท้ายเรียกเข้าประชุมนะ” ปูนาเอ่ยหลังจากได้รับเอกสารชี้แจงจากฝ่ายปกครอง
“สองชั่วโมงเลยเหรอวะ”
“นั่นดิ ปกติชั่วโมงเดียวกูก็ง่วงจะตายอยู่แล้ว” เอ็กซ์กับแซ็กเสริมขึ้นมาบ้าง สองคนนี้หัวดีนะคะ เก่งคนละแบบแต่น่าเสียดายที่มันสองคนชอบโดดกัน
“มึงสองคนห้ามหนีนะขาดชั่วโมงประชุมบ่อยแล้ว และอีกอย่างวันนี้เขาจะประชุมเรื่องเปลี่ยนกฎอะไรสักอย่างนี่แหละ”
“เออ”
พักเที่ยงเราก็เดินเข้าโรงอาหารกันตามปกติค่ะแต่เหมือนจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น...
(ผวัะ) !!
“ไอ้เก้าหยุด!!”
“มึงใจเย็น ๆ เดี๋ยวอาจารย์มา”
“เย็นนี้มึงเจอกู”
“...”
ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้คืออะไรแต่ดูเหมือนจะยังไม่จบเท่านี้เพราะรุ่นพี่ได้พูดประโยคท้าทายทิ้งท้ายเอาไว้
“มีอะไรกันวะ” เอ็กซ์เอ่ยพลางเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงคนกลุ่มนั้น
“พวกกูไม่มีหรอกแต่ไอ้เหี้ยรุ่นพี่แค่มองหน้าก็ไม่ได้เหรอ” หนึ่งในนั้นตอบ
“มึงเริ่มก่อนเหรอไอ้เก้า”
“เปล่า” เขาคนนั้นตอบสั้น ๆ แล้วเดินผ่านหน้าฉันไป
“ไปกันเถอะอย่าไปสนใจเลยเรื่องปกติของพวกมัน” ปูนาที่ไม่ได้สนใจใครพูดขึ้นก่อนจะกอดคอฉันแล้วพากันไปหาที่นั่งแทน
“เขามีเรื่องแบบนี้กันบ่อยเหรอ”
“หมายถึงไอ้เก้าอะ”
“เก้า?”
“ก็ไอ้นั่นน่ะมันชื่อเก้า ถามว่ามีเรื่องบ่อยไหมก็คงต้องตอบว่าทุกวันแหละมั้ง”
“...” คนอะไรจะมีเรื่องชกต่อยทุกวัน...
ช่วงบ่ายชั่วโมงแรกเรียนคณิตศาสตร์ค่ะแต่วันนี้อาจารย์อีกท่านหนึ่งไม่อยู่ทำให้พวกเราต้องเรียนรวมกันกับห้องสี่
“นี่คือสิ่งที่กูเลี่ยงมาตลอด” โบมันว่าพลางทำท่าทีเบื่อหน่ายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“เอาน่าใจเย็น ๆ”
ระหว่างคาบเรียนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับตามองอยู่ตลอด ไม่รู้สิ! หรืออาจจะคิดไปเอง
“มองอะไรวะ” ปูนาที่เงียบอยู่พูดขึ้นพร้อมกับกวาดสายตามองพวกเขาที่นั่งอยู่แถวหลังสุดของห้อง
“แค่มองก็ไม่ได้เหรอครับหัวหน้า”
“ไม่ได้หรอกแม่หวง”
... : โห่...
... : ฮ่า ๆ
“มึงต้องใจเย็น ๆ นะปูพวกมันคงไม่ได้มองมึงหรอก” เพื่อนที่อยู่ห้องสี่พูดขึ้น
“กูรู้แล้วแก้วกูก็กวนตีนมันไปอย่างนั้นแหละ”
“ว่าแต่คนข้าง ๆ ชื่ออะไรเหรอ”
“เพียงจันทร์”
“อ่อ... เป็นเด็กใหม่ใช่ใหม”
“ใช่”
ฉันแทบไม่ได้สนใจบทสนทนาของปูกับเพื่อนร่วมชั้นเลยด้วยซ้ำเพราะมัวแต่สำรวจบาดแผลบนใบหน้าของใครอีกคนอยู่
“...”
“หมดชั่วโมงแล้วไปเข้าห้องน้ำกันนะ” เสียงของปูนาทำให้ฉันละความสนใจจากเขา
“ไปดิ”
โชคดีที่อาจารย์ปล่อยก่อนเวลาสิบห้านาทีค่ะมันทำให้เรามีเวลาทำธุระส่วนตัวได้มากขึ้น
“ง่วงฉิบ! แถมยังต้องเข้าประชุมอีกตั้งสองชั่วโมงเฮ้อ...”
“เราคิดว่ามีแค่สองคนนั้นซะอีกที่บ่น” ฉันว่ายิ้ม ๆ ให้กับท่าทีเบื่อหน่ายของคนตรงหน้า
“เพียงจันทร์ การประชุมมันน่าเบื่อมากนะ”
“แล้วไม่เข้าได้ไหมล่ะ”
“ไม่ได้”
... : ฮ่า ๆ
บ่นไปก็หัวเราะไปค่ะ รีบทำธุระส่วนตัวกันให้เสร็จแล้วขึ้นหอประชุมทันที
“รออะไรกันอะ” ปูนาเอ่ยเมื่อเห็นสามคนนั้นยืนรออยู่ตรงบันได
“รอพวกมึงไงครับคุณผู้หญิง”
“เออ ต่อไปไม่ต้องรอแล้วมั้ง” โบกับแซ็กเอ่ยพลางมองหน้าฉันกับปูนาสลับกันก่อนจะพูดประโยคประชดประชันออกมา “เดี๋ยวนี้พวกกูไม่สำคัญแล้วนี่”
“โอ๋ ๆ ขอโทษนะพวกมึงสำคัญเสมอแม้จะทำให้กูปวดหัวรายวันก็ตาม”
“มึงไม่ได้ประชดใช่ไหม? ทำไมฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ”
“ฮ่า ๆ ไม่เลยพวกมึงคิดไปเอง”
ในการประชุมก็มีการชี้แจงกฎระเบียบต่าง ๆ ค่ะ และหนึ่งในเรื่องน่ายินดีก็คือการปรับเปลี่ยนเรื่องทรงผม ผู้หญิงสามารถไว้ผมยาวได้ทุกระดับชั้นแต่ต้องมัดรวบให้เรียบร้อย ส่วนผู้ชายก็เช่นกันค่ะ ไม่ต้องถึงกับหัวเกรียนเหมือนที่ผ่านมา
“กูต้องไว้กี่เดือนถึงจะยาวเท่าเขาวะ”
“เป็นปีอะ โรงเรียนเรามันล้าหลังก็แบบนี้แหละ แล้วมึงจะจ้องอะไรเขาขนาดนั้นเดี๋ยวก็ถูกดักตบหรอก”
“ไม่รู้ดิ มองไม่เบื่อเลย”
“...” บทสนทนาของเพื่อนร่วมชั้นดังเข้ามาในโสตประสาทฉัน แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่านินทาระยะเผาขนน่ะ
หลังจากประชุมเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้านค่ะ ฉันกลับคนเดียวเพราะต้องเดินมาขึ้นรถทางฝั่งประตูหลังของโรงเรียน ส่วนปูนากลับรถรับส่งค่ะ
ระหว่างทางเดินทุกอย่างปกติมากจนกระทั่งถึงประตูทางออก
(ผลัก) !
“อ๊ะ!” คนกลุ่มหนึ่งวิ่งชนฉันเต็มแรง ยังไม่ทันจะตั้งตัวเหตุการณ์ตรงหน้าก็ชุลมุนวุ่นวายก่อนแล้วค่ะ
“พอ!!”
“ไอ้เก้าไปพอแล้ว”
เสียงตะโกนโวยวายดังขึ้นหลายครั้งและทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากค่ะ กว่าฉันจะตั้งสติได้คนกลุ่มนั้นก็แยกกันไปคนละทิศคนละทางแล้วหลงเหลือเพียงพี่มอปลายสองสามคนที่ใบหน้าชโลมไปด้วยเลือด
... : หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!
น้ำเสียงดุดันเอ่ย หันกลับไปมองเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองค่ะเขากำลังตรงมาทางฉัน
“เธอตามมาที่ห้องปกครองด้วย”
“หนูไม่เกี่ยวนะคะ”
“แล้วชุดนักเรียนเธอมันเปื้อนเลือดได้ยังไง” ได้ยินแบบนั้นฉันจึงก้มสำรวจร่างกายตัวเองก็พบว่ามีเลือดเปรอะเปื้อนบริเวณแขนเสื้อด้านซ้าย
“หนูไม่รู้ว่ามันมีได้ยังไง”
“ไปคุยกันที่ห้องปกครอง” เขาเอ่ยคำสั่งเด็ดขาดกับฉันจากนั้นก็เดินตรงไปยันพี่มอปลายที่กำลังโอดโอยอยู่
“...” ฉันยืนงงอยู่หลายนาทีว่าฉันผิดอะไรก็แค่บังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์พอดีเท่านั้นเอง
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซม์คันหนึ่งจอดเทียบตรงหน้าแต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเพราะเขาใส่หมวกกันน็อคอยู่
“ขึ้นรถ”
“...”
“อยากเข้าห้องปกครองหรือไง” น้ำเสียงห้วนเอ่ยพร้อมกับรั้งแขนให้ฉันไปกับเขา
ทุกอย่างดูชุลมุนวุ่นวายอีกครั้งเมื่อพี่มอปลายอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันวิ่งเข้ามาแถมในมือของเขายังมีอาวุธกันแทบทุกคนอีกด้วย
“ขึ้นรถ!!” ไม่พูดเปล่าคราวนี้เขายังออกแรงบังคับฉันให้ขึ้นรถจนสำเร็จ จากนั้นก็ขับพาฉันเข้าซอยเล็กซอยน้อยไกลไปหลายกิโลเลยทีเดียว ซึ่งมันเป็นเส้นทางที่ฉันไม่คุ้นเลยค่ะสารภาพตามตรงว่ากลัวและไม่รู้ด้วยว่าพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ทำไมบางทีเข้าห้องปกครองอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ก็ได้
ราวครึ่งชั่วโมงเขาก็ชะลอความเร็วและจอดตรงข้างทางซึ่งรายล้อมไปด้วยป่าเกือบทั้งหมด มันไม่มีบ้านคนหรือรถคันอื่นวิ่งผ่านเลยค่ะถ้าเขาทิ้งฉันไว้ตรงนี้ฉันก็คงกลับไม่ถูกเหมือนกัน
เมื่อรถจอดสนิทเขาก็ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วหันมาใส่ให้ฉันโดยไม่พูดอะไรและมันก็ทำให้ฉันเห็นใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำของเขาแถมตามชุดนักเรียนยังเต็มไปด้วยคราบเปรอะเปื้อนอีกด้วย
“นาย...”
ไม่รอให้ฉันได้พูดเขาก็หันไปขับรถต่อทันทีแต่แค่ไม่นานก็จอดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งมีคนอยู่เยอะพอสมควร
“รอนี่นะ” เขาพูดโดยไม่หันมองหน้าฉันสักนิดจากนั้นก็เดินตรงเข้าไปด้านในแค่แป๊บเดียวก็ออกมาค่ะ
“พาใครมาวะ”
“เสือก!”
“เดี๋ยวนี้มีความรักเหรอ”
“ลำพังดูแลตัวเองยังยากเลยมึงอะ”
“...”
เสียงเอ่ยแซวยังคงดังตามหลังแต่คนที่ถูกแซวกลับไม่ได้สนใจอะไรมากนักแถมยังแสดงใบหน้าเฉยชาออกมาอีกด้วย
ออกจากบ้านหลังนั้นเขาก็พาฉันลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ค่ะจนถึงช่วงที่มีบ้านคนคล้ายเป็นทางลัดอะไรสักอย่าง แต่ความเร็วของรถไม่มากนะคะ ไม่ได้รีบร้อนเหมือนก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
“บ้านอยู่ไหน”
“หมู่บ้านเปิดใหม่ตรงเลียบคลองน่ะ”
“อืม”
“ทำไมต้องพาเรามาด้วย” ฉันเอ่ยถามไปตามความคิด แต่ความจริงก็ต้องย้อนถามตัวเองด้วยถึงจะถูกว่าขึ้นรถมากับเขาทำไม
“จะซวยอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“...” ก็คงจะซวยจริง ๆ ล่ะมั้ง
“ฝ่ายปกครองเขาไม่เชื่อหรอกว่าเธอไม่รู้ไม่เห็นอะไร”
“แล้วนายมีเรื่องอะไรกับพี่เขาเหรอ”
“ถามทำไมอะ แฟนเธออยู่ในกลุ่มนั้นหรือไง”
“เปล่า! เราไม่มีแฟน”
“...”
เก้าพาฉันเข้าซอยนั้นออกซอยนี้จนในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านฉันค่ะ สาบานเลยว่าฉันไม่รู้ว่าจากโรงเรียนมาบ้านมันมีทางลัดอื่นด้วยเพราะปกติขึ้นแต่รถเมล์ไง
“พรุ่งนี้ที่โรงเรียนถ้าใครถามเธอก็บอกไปนะว่าไมรู้ไม่เห็นอะไร”
“อืม แต่ว่านายยังไม่บอกเราเลยนะว่ามีเรื่องอะไรกับเขา”
“...” เขาเงียบแล้วเอาแต่มองหน้าฉันอยู่แบบนั้นก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา “เธอคนแรกเลยนะที่อยากรู้เรื่องราวของเรา”
“...”
“เอามือถือมาหน่อย” เขาว่าพลางแบมือมาตรงหน้าฉันแต่ฉันไม่ได้ให้นะคะยังคงยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนเขาเป็นฝ่ายหยิบกระดาษกับปากกาออกมาแล้วจดเลขสิบหลักมาให้ฉัน “นี่เบอร์เรา ถ้ามีอะไรก็โทรมาแล้วกัน”
“...”