วันรุ่งขึ้น
มินนาราเป็นล้มลมพับไปทำให้เธอต้องมานอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยอีกห้องถัดมาจากห้องของนวัธ โดยมีเขาเป็นผู้มาเฝ้าเธอแทน
“นายวัธ...นี่นาย...”
เธอลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นเขานอนเฝ้าอยู่ข้างเตียง เธอปลุกเขาเท่าไหร่ก็ไม่ตื่นจนเธอเริ่มโมโห
“นายวัธ....”
เธอตะโกนเรียกเขาเสียงดังใส่หูจนเขาสะดุ้งตื่นตกใจ
“เฮ้ยๆ...ใครวะ ยิงแม่ง...”
“ฉันเอง...โอ๊ย...เรียกตั้งนานไม่รู้จักตื่น นี่ถ้ามีคนมาจับตัวฉันอีก ฉันก็คงตายไปแล้วละ เพราะบอดี้การ์ดของฉันมัวแต่นอนขี้เซาแบบนี้”
เขามองหน้าเธออย่างเซ็งๆที่ตื่นมาก็แผลงฤทธิ์เลย
“แล้วใครละครับ ที่เป็นคนไปช่วยคุณมาจากคนร้ายที่จับคุณไปเมื่อคืนนี้...ไม่ใช่ผมหรือไง..?”
“แบบนั่นหรอเรียกว่าช่วย ไม่ใช่ว่านายคิดว่าฉันจะหนีจริงๆ แล้วนายก็เรียกตำรวจมาจับฉันมากกว่ามั้ง..”
“คุณจะคิดแบบนั้นก็ได้...แต่ยังไงคุณก็รอดมาได้อย่างปลอดภัยแล้วนี่”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างหัวเสีย
“ก็เพราะนายแหละ ถ้านายไม่หิวตอนนั้นฉันก็ไม่ต้องมาโดนจับตัวแบบนี้หรอก...”
เธอยังไม่สำนึกแถมยังโทษว่าเป็นความผิดของเขาอีก
“โอเคๆ ผิดที่ผมเอง พอใจหรือยัง...?”
เขามองหน้าเธอ แล้วก็ยอมรับผิดเองอย่างตัดรำคาญ
“ก็ดี ยอมรับผิดก็ดีแล้ว งั้นก็เรื่องที่ฉันทำนายท้องเสียก็ถือว่าเจ๊ากัน โอเคมั้ย..?”
เขามองหน้าเธออย่างขำๆ ที่แท้เธอก็คิดจะหาทางเอาเรื่องเขาเพื่อให้เขายอมที่จะไม่เอาเรื่องเธอที่ทำให้เขาท้องเสียนั่นเอง
“เอาที่คุณสบายใจเลยแล้วกัน...”
เขาเดินออกไปจากห้อง แต่ก็ยังไม่ทันได้ปิดประตูสนิทก็ได้ยินเสียงเธอดีใจออกมาจนเสียงดังทำให้เขาถึงกับส่ายหัวแล้วก็อมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แสบจริงๆ ยัยคุณหนูตัวแสบ...”
....
นวัธได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับมินนารา ภายในรถที่ทั้งคู่นั่งเงียบมาตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรกัน จนนวัธเริ่มแปลกใจว่าทำไมคนขับรถไม่ไปส่งเขาที่คอนโด
“นี่ไม่ใช่ทางกลับคอนโดผมนี่...”
“ก็ใช่งัย...ทางไปบ้านฉันเอง”
“อ้าว...คุณไม่ไปส่งผมที่คอนโดก่อนหรอครับ..?”
“ใครบอกนายว่าฉันจะไปส่งนายที่คอนโด”
“แล้วคุณไม่บอกผมตั้งแต่แรก ผมจะได้นั่งแท็กซี่กลับเอง”
“แล้วใครอนุญาตให้นายกลับคอนโด นายเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวฉันนายก็ต้องอยู่ดูแลฉันในระหว่างที่คุณพ่อไปต่างประเทศซิ และตัวนายก็ต้องไปนอนที่บ้านของฉันด้วย...”
เขามองหน้าเธออย่างอึ้งๆ ที่ได้ยินเธอยอมรับให้เขาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว
“นี่คุณยอมรับผมเป็นบอกดี้การ์ของคุณแล้วหรอ ไหนว่าตอนแรกไม่อยากได้บอดี้การ์ดส่วนตัวไง..?”
“ฉันไม่ได้ยอมรับนาย แต่ฉันขัดคุณพ่อไม่ได้ต่างหาก...”
เธอตอบเขาโดยที่ไม่หันหน้ามามองเขา เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ต่างหากที่ทำให้เธอยอมใจอ่อน ถ้าไม่ได้เขาเข้ามาช่วยก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธออีก
“ผมก็เหมือนกัน ที่ผมยอมมาเป็นบอกดี้การ์ดให้คุณก็เพราะคุณอามาขอร้องพ่อผมเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะผมอยากเป็น...คุณจะได้รู้ว่าเรา 2 คน ก็จำใจเหมือนกัน...”
เธอหันมามองหน้าเขาอย่างรู้สึกไม่พอใจ
จนรถขับมาจอดหน้าบ้าน มินนาราก็เดินลงจากรถและรีบเดินเข้าบ้านไปทันทีด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“มิน..เป็นไง เออ..?”
แม่เดินเข้ามาทักลูกสาวที่เดินลงมาจากรถ แต่เธอทำหน้าบึ้งรีบเดินหนีขึ้นห้องไปทันทีโดยไม่สนใจผู้เป็นแม่
“เป็นอะไรอีกละวัธ นี่อย่าบอกนะว่าทะเลาะกันมาอีกแล้ว.?.”
อาผู้หญิงมองหน้านวัธแล้วส่ายหน้าหนักใจ
“ช่างเถอะคุณ ทำยังกะไม่รู้จักนิสัยยัยมิน ขี้งอนเป็นที่หนึ่งขัดใจนิดหน่อยก็ไม่พอใจแล้ว...”
มนตรีพ่อของมินนาราบอกกับภรรยาตัวเอง
“เป็นไงบ้างวัธ...ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย เรื่องเมื่อคืนนี้อาอยากรู้รายละเอียดหน่อย ไปคุยกับอาที่ห้องทำงานเถอะ..?”
“ครับคุณอา...”
ทั้ง 2 คนเดินไปที่ห้องทำงาน เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นอาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“ทำไมคุณอาถึงไม่แจ้งความละครับ...?”
“อาไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่นะ ยังไงยัยมินก็ไม่เป็นอะไร..”
“แต่ลงบันทึกประจำวันไว้ก็ดีนะครับ เพราะจะได้ให้ตำรวจติดตามตัวคนร้ายได้ ผมว่า...”
“ไม่เป็นไรวัธ เรื่องนี้อาจัดการได้ อาอยากให้วัธคอยดูแลยัยมินให้ดีที่สุดก็พอ...”
นวัธมองหน้าคุณอาของเขาอย่างแปลกใจ
“เอ่อ...เรื่องที่อาบอกว่าจะไปต่างประเทศ อาคงต้องเลื่อนไปเร็วขึ้น พรุ่งนี้อาคงต้องเดินทางเลย อาอยากให้วัธมาค้างที่นี่คอยดูแลยัยมินในช่วงที่อาไม่อยู่จะได้มั้ย...?”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
“ขอบคุณวัธมาก อาเตรียมห้องไว้ให้แล้ว...อาฝากดูแลยัยมินให้ดีที่สุดด้วยนะวัธ..?”
“ครับ...”