เนี่ยซวงตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเย็นก็ได้ยินเสียงสาวใช้เจ้าน้ำตาทั้งสองกระซิบกระซาบกันร้องไห้อีกแล้ว จึงลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจแล้วใคร่ครวญว่าจะจัดการกับชีวิตตนอย่างไร
หากย้อนกลับไปไม่ได้ คงต้องอยู่เป็นเมียตาแม่ทัพนี่ตลอดไปอย่างนั้นหรือ...
แค่นึกถึงท่าทีเย็นชาที่เขามีต่อนาง เนี่ยซวงก็รู้สึกว่าชีวิตคู่ของนางช่างดูมืดมนนัก แทนที่จะถูกกักขังอยู่ในจวนแม่ทัพที่ไม่มีใครต้อนรับ ไม่สู้นางออกไปแสวงหาเสรีภาพภายนอกนั่นดีกว่า สมบัติติดตัวก็มีมากมายก่ายกอง ไหนจะสินเดิมที่เนี่ยหรานผู้เป็นบิดายกให้ ไหนจะของรับขวัญที่ได้มาเมื่อเช้า บวกกับความสามารถในการค้าขายของนาง เนี่ยซวงเชื่อว่าตัวเองไม่ลำบากแน่
แต่หากหลบหนีออกไป แน่นอนว่านางต้องตัดขาดจากจวนแม่ทัพและครอบครัวบิดา จุดนี้ที่ดูจะยุ่งยากสักหน่อย จำเป็นต้องวางแผนให้ดี คิดแล้วจึงเรียกสาวใช้ทั้งสองเข้ามา
"เสี่ยวซาน เสี่ยวถง พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ"
พอทั้งสองได้ยินว่านางตื่นแล้วก็รีบเข้ามา
"มะ..ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ"
เสี่ยวซานตอบ แต่ยิ่งปกปิดก็ยิ่งเห็นพิรุธ
"คนในจวนพูดอะไรถึงข้าอีกรึไง"
เสี่ยวถงนิ่วหน้า รู้ว่าไม่อาจปิดบังได้จึงฝืนพูดออกมา
"วันนี้ท่านแม่ทัพให้คนเอาของขวัญไปให้อนุสองคนนั่น แถมเย็นนี้...เย็นนี้ยังจะจัดงานเลี้ยงรับขวัญพวกนางที่เรือนชิงจู๋ของจางอี๋เหนียงเจ้าค่ะ"
ทำอย่างนี้เท่ากับตบหน้านางชัดๆ แต่เนี่ยซวงไม่สนใจ ตราบใดที่พฤติกรรมของเขาและคนในจวนไม่ได้กระทบต่อการใช้ชีวิตของนาง นางก็คร้านจะใส่ใจ ฟังแล้วไม่เห็นเกิดประโยชน์ตรงไหน จึงให้เสี่ยวซานไปหยิบสมุดบัญชีบันทึกรายการทรัพย์สินของนางมาให้ดู นางจำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองมีเงินมากแค่ไหน ราคาข้าวของในยุคสมัยนี้เท่าใด จึงจะวางแผนออกไปใช้ชีวิตข้างนอกได้
ซ่งฉีหลินหยิบผ้าพรหมจรรย์ออกจากเรือนเหลียนฟางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาเอาผ้านั่นใส่กล่องแล้วให้คนเอาไปส่งให้เนี่ยหราน ชายหนุ่มขบฟันอย่างโกรธเคือง ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นบังคับเขาแต่งงานไม่พอ กลับรู้ทันว่าเขาจะเมินเฉยต่อภรรยาที่เขามิได้เต็มใจตบแต่งผู้นี้ จึงเรียกร้องขอผ้าพรหมจรรย์เป็นหลักฐานว่าเขาได้ผ่านคืนเข้าหอกับนางแล้ว หากมิใช่ต้องเสียสละเพื่อไม่ให้ทหารทั้งกองทัพต้องอดตาย เขาไม่มีทางยอมตกปากรับคำเป็นอันขาด
จริงอยู่ว่าจวนหย่งอันโหวมีทรัพย์สินมากมาย แต่ในยามศึกสงคราม เสบียงนับเป็นหนึ่งในยุทธปัจจัยที่สำคัญที่สุด เนี่ยหรานควบคุมการค้าข้าวในแถบนี้ มีข้าวสารกักตุนไว้มากมาย หากเขาไม่คิดจะขาย ต่อให้เอาเงินทองไปแลกก็ยากจะขอปันส่วนมาได้
เมื่อคืนตอนแรกเขาคิดเพียงจะทำให้เสร็จๆ ไป แต่นางตัวเล็กมาก ถึงแม้เขาจะพยายามอดกลั้นถึงที่สุดแล้วก็ยังทำให้นางเจ็บปวดถึงเพียงนั้น เขารู้ว่านางร้องไห้แต่ก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้ พอได้ตัวนางแล้วด้วยศักดิ์ศรีก็คิดจะจากไปทันที แต่ไม่รู้ทำไมพอเห็นแผ่นหลังขาวนวลเนียนนั่นกลับไม่อาจทำใจผละไปได้
เขาไม่มีทางยกย่องนาง นอกจากตำแหน่งภรรยาเอกที่ได้ไป นางไม่มีทางได้ความรักจากเขา ซ่งฉีหลินไม่มีทางยอมให้เนี่ยหรานได้สมใจ นางเป็นบุตรสาวของชายที่น่ารังเกียจผู้นั้น มีชาติกำเนิดต้อยต่ำเป็นเพียงลูกสาวอนุคนโปรด ไม่คู่ควรให้เขาใส่ใจแม้แต่น้อย การแต่งงานของเขาครั้งนี้เป็นที่ขบขันของผู้คนไปทั่ว นางเป็นประจักษ์พยานที่คอยย้ำเตือนว่าเขาพ่ายแพ้ให้กับพ่อค้าเจ้าเล่ห์ผู้นั้น เขาจะลืมว่ามีนางอยู่ในจวนก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องเสียอารมณ์
ซ่งฉีหลินสั่งให้คนเอาข้าวของไปมอบให้แก่อนุทั้งสอง ทั้งยังไปร่วมกินมื้อเย็นกับพวกนาง ดูซิว่าเนี่ยซวงจะทนได้หรือไม่ หากนางไม่พอใจเขาจะได้ขอหย่า คราวนี้เนี่ยหรานจะได้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำมาล้วนเสียเปล่าทั้งหมด
"พี่ใหญ่"
ซ่งเหรินเรียกพี่ชายกำลังจะเดินไปยังเรือนชิงจู๋ของจางอี๋เหนียง เขาเดินเข้าไปหาพี่ชายแล้วเอ่ย
"ท่านกำลังจะไปเรือนชิงจู๋หรือ ข้านึกว่าพวกบ่าวไพร่ลือกันไปเองเสียอีก"
ซ่งฉีหลินขมวดคิ้ว
"ทำไมหรือ พวกนางเป็นอนุที่ข้ารับเข้าจวนมาอย่างถูกต้อง เหตุใดจะไปหาไม่ได้"
"แต่ว่าพี่สะใภ้เพิ่งแต่งเข้ามา ท่านเอาใจใส่นางมากหน่อยไม่ดีหรือ"
ซ่งเหรินย่อมรับรู้ความเป็นมาของพี่สะใภ้ผู้นี้ รวมถึงความไม่พอใจที่คนในครอบครัวมีต่อนาง แต่ตั้งแต่ได้เห็นนางในพิธียกน้ำชาเมื่อเช้าก็อดสงสารนางไม่ได้ ในเรือนแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครต้อนรับพวกนางนายบ่าวเลย
"ข้าทำเช่นนี้เจ้าย่อมรู้ดีว่าหมายความเช่นไร มิใช่ข้ากำลังเอาคืนให้ท่านพ่อท่านแม่และคนในจวนนี้หรอกหรือ"
"แต่งก็แต่งมาแล้ว นางเองก็มิได้มีความผิดอะไร พี่ใหญ่ ท่านมิสู้..."
ซ่งฉีหลินตัดบทน้องชาย
"เจ้ายินดีเป็นคนโง่ให้เนี่ยหรานขบขันหรือ ข้าจะสั่งสอนเขาให้รู้จักคำว่าเสียใจ ได้ข่าวว่าเขารักบุตรีผู้นี้มาก ถึงกับส่งนางมาให้ข้าย่ำยี ข้าจะดูซิว่าหากนางซมซานกลับไปหาบิดา เขาจะยังอยู่เป็นผู้เป็นคนหรือไม่"
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ซ่งเหรินได้แต่ส่ายหน้า ดูท่าวันเวลาในจวนแม่ทัพของพี่สะใภ้คงยากลำบากไม่น้อย
ราวกับตอบรับความไม่พอใจของผู้เป็นนาย บ่าวไพร่เห็นท่านแม่ทัพแสดงออกเช่นนั้นต่างก็เอาเยี่ยงอย่างช่วยกันกลั่นแกล้งฮูหยินน้อย ถึงนางจะเป็นภรรยาเอกแต่อำนาจดูแลในจวนยังตกอยู่กับฮูหยินใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว นอกจากเก็บตัวสวดมนต์ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในจวน พ่อบ้านทำเป็นลืมส่งสาวใช้มาให้ ตามหลักด้วยฐานะฮูหยินน้อย นางต้องมีสาวใช้ในเรือนไม่ต่ำกว่าเจ็ดคน ไม่รวมบ่าวทำงานหนัก แต่แต่งเข้าหนึ่งวันแล้วทั้งเรือนยังคงมีเพียงเสี่ยวซานและเสี่ยวถง
มื้อเย็นแม้จะมีกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างตามที่จวนกำหนด แต่เห็นได้ชัดว่าคุณภาพและปริมาณอาหารกลับดูด้อยลง เนี่ยซวงไม่สนใจ กินเสร็จแล้วก็ให้สองสาวใช้ปรนนิบัติอาบน้ำ
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ หากบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนกลั่นแกล้งพวกเราจะทำอย่างไร จากนี้ไม่ต้องไปคารวะฮูหยินใหญ่จะรายงานเรื่องนี้กับใครได้"
เสี่ยวซานกล่าวอย่างกังวล
"รอดูท่าทีไปก่อนเถิด ข้าไม่ปล่อยให้พวกเจ้าลำบากแน่"
ท่าทางสงบนิ่งของเนี่ยซวงทำให้สาวใช้ทั้งสองประหลาดใจ แต่ก่อนเนี่ยซวงเป็นสตรีในห้องหอ กิริยาอ่อนหวานนุ่มนวล ทว่าตั้งแต่เข้าหอกับท่านแม่ทัพเมื่อคืนฮูหยินน้อยกลับดูเปลี่ยนไป แต่เปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังไม่แน่ชัด วันนี้นอกจากไปยกน้ำชานางก็นอนหลับตลอดบ่าย ตื่นขึ้นมากลับดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว เรียกดูบัญชีทรัพย์สินทั้งยังนั่งขีดเขียนอยู่คนเดียวราวกับเป็นคนละคน