แพศยา ที่ 4
หมอยาเหย่วซือ
หมอเทวดา...
ทางเข้าสำนักยาของผู้เฒ่าเหย่วเป็นเพียงซอกเล็กๆ อยู่ข้างซ่องเถื่อน การจะเดินเข้าไปนั้นต้องเดินเข้าไปทีละคนราวกับต่อแถวกันเข้าไป เมื่อพ้นจากซอกอับจึงพบกับกระท่อมหลังเล็กๆ ที่โชยกลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งสมกับเป็นสำนักยา
“ข้ามาพบท่านผู้เฒ่าเหย่วเจ้าค่ะ”
คุณหนูหวางเปล่งเสียงเมื่อมาหยุดยืนอยู่หน้ากระท่อม ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ภายในเพียงครู่ ก็ปรากฏร่างหนุ่มน้อยรูปงามที่ทำให้หญิงสาวถึงกับแปลกใจ
‘ลูกศิษย์’ ของท่านผู้เฒ่าเหย่วซือหรือ ดูท่าแล้วยังมีอายุไม่มากน่าจะน้อยกว่านางสักสองสามปีเห็นจะได้ เมื่อชาติก่อนผู้เฒ่าเหย่วเริ่มมีชื่อเสียงเล่าลือว่าเป็นหมอเทวดาตอนที่นางอายุยี่สิบแปด ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่นางจะถูกตัดสินโทษประหารชีวิต เพราะถูกทางการจับได้ว่าลงมือฆ่าบุตรสาวขุนนางท่านหนึ่งแล้วทิ้งศพไว้ในบ่อน้ำหลังจวนเจ้าเมือง การถูกจับในครั้งนั้นจึงเกิดการสาวไส้คดีต่างๆ ที่นางลงมือทำหรือไม่ก็สั่งการเบื้องหลังอีกมากมาย
ซึ่งน่าแปลก... หลังจากนางหวนคืนกลับมายังอดีตอีกครั้ง นางกลับไม่สามารถจำได้ว่าคนที่นางลงมือฆ่าเป็นใคร แล้วนางทำไปทำไม อะไรคือเหตุจูงใจที่นางทำร้ายคนเหล่านั้นกัน คล้ายกับว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นถูกเมฆหมอกจางๆ กดทับ
ราวกับไม่ต้องการให้นางรับรู้...
เซียวเหยาปัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป แล้วกลับมาสนใจเรื่องราวของหมอยาเหย่วซืออีกครั้ง ทบทวนความจำในอดีต จำได้อย่างเลือนรางว่าเรื่องราวของหมอเทวดาถูกเล่าอย่างออกรสจากเหล่าสาวใช้ที่พูดคุยกัน ยกย่องว่าเป็นหมอที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญในเรื่องสมุนไพร การขับพิษและมนตร์คาถาต่างๆ ทุกแขนง และสามารถปรุงยาวิเศษต่างๆ จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วทุกแคว้น
ดังนั้นชาตินี้นางจึงตั้งใจมาหาเขา แม้ในเวลานี้เขาจะยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่นางก็มั่นใจในความสามารถของเขา
เขาคือคนเดียวที่จะช่วยนางได้!
“ข้านี่แหละเหย่วซือ เป็นหมอยาของที่นี่”
เซียวเหยาถึงกับเบิกตากว้างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหุบปากฉับเมื่อรู้ว่าตนเองเสียมารยาท
“ต้องขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ข้าเห็นใครๆ ก็เรียกท่านว่าผู้เฒ่า ข้าจึงไม่คาดคิดว่าท่านจะยังเป็นเด็กหนุ่มเช่นนี้”
“ข้าชินเสียแล้ว คำว่า ‘ผู้เฒ่า’ ชาวบ้านใช้เรียกเพราะให้เกียรติและยกย่องในความรอบรู้เรื่องยาของข้าก็เท่านั้นเอง แต่ตัวข้านั้นยังอ่อนด้อยและต้องศึกษาหาความรู้อีกมากนัก”
เป็นความประทับใจที่ได้เห็นคนเก่งถ่อมตน ไม่อวดภูมิ ไม่ทะนงในความรู้
“ว่าแต่แม่นางมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
“ข้าขอเข้าไปพูดคุยกับท่านด้านในได้หรือไม่เจ้าคะ”
เซียวเหยามีท่าทางอึกอักที่จะเอ่ยเรื่องสำคัญต่อหน้าคนคุ้มกันเช่นนี้ ต่อให้คนคุ้มกันจากสำนักเมฆาจะเป็นคนที่บิดาจ้างวานมาโดยเฉพาะ แต่นางก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามารดาเลี้ยงจะแทรกแซงคนเหล่านี้ให้จับตาดูนางอยู่หรือไม่
“ข้าเสียมารยาทเสียแล้ว เพราะไม่ค่อยมีใครมาที่นี่ข้าจึงไม่รู้ว่าจะต้องต้อนรับอย่างไร ขอแม่นางโปรดอย่าถือสา”
“ขอรบกวนด้วยเจ้าค่ะ”
นางค้อมกายลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ทั้งสอง และสั่งให้คนคุ้มกันรออยู่ด้านนอก
แอบแปลกใจเล็กๆ กับท่าทางการพูดและจังหวะในน้ำเสียงของท่านหมอยา เพราะนั่นเป็นลักษณะการพูดของผู้สูงวัย ทว่ารูปลักษณ์กลับยังเป็นเด็กหนุ่มหน้าละอ่อน
กลิ่นของสมุนไพรในหม้อดินเผาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางกระท่อมช่วยให้คุณหนูหวางรู้สึกหายใจคล่อง ปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด ผ่อนคลาย ราวกับปลดความกังวลที่กดทับไว้ที่ไหล่ทั้งสองข้างลงเสียกระนั้น
“ข้าอยากให้ท่านเหย่วซือช่วยตรวจดูร่างกายของข้าได้หรือไม่ ข้าคิดว่าข้าน่าจะถูกพิษหรืออาจจะเป็นมนตร์คาถาชักจูงจิตใจ”
เซียวเหยาไม่อ้อมค้อม นางมีเวลาไม่มากนักจึงต้องเปิดประเด็นอย่างเร่งรีบ และนั่นทำให้ถิงถิงและหลิงจวนถึงกับตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลยว่าเจ้านายสาวจะได้รับสิ่งอันตรายเหล่านั้น
“เช่นนั้นโปรดนั่งลงตรงนี้เถอะขอรับ”
หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ ในขณะที่หมอยาหนุ่มน้อยโดนวนเวียนรอบๆ ตัวนางอย่างเพ่งพินิจ ก่อนจะวางฝ่ามือลงบนไหล่ทั้งสองข้าง เขาหลับตาลงก่อนที่หนังตาและมุมปากจะกระตุกแรง จากนั้นจึงเลื่อนมือมาวางที่กึ่งกลางศีรษะก่อนจะรีบชักมือออกอย่างรวดเร็วราวกับสัมผัสของร้อน
“แม่นางถูกพิษของสัตว์ร้ายขอรับ สัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์เลื้อยคลานมีพิษร้ายแรงกว่างูเห่ากว่าพันเท่า มีถิ่นกำเนิดในเทือกเขาคุนเหม่ย เป็นศาสตร์ฝ่ายมาร ทำขึ้นเพื่อชักจูงผู้ดื่มพิษให้ทำตามสิ่งที่ตนปรารถนา ดูจากความเข้มข้นของพิษที่แทรกซึมเข้าไปถึงปราณภายในเดาว่าน่าจะได้รับพิษนี้มาไม่ต่ำกว่าสิบปี”
หวางเซียวเหยาไม่ได้มีท่าทีตกใจ มารดาเสียชีวิตตอนนางอายุแปดปี หลังจากนั้นไม่นานสองแม่ลูกมหาภัยก็ก้าวเข้ามาในตระกูล นับรวมก็ได้สิบปีพอดิบพอดี
“พอจะมียาขับพิษหรือไม่เจ้าคะท่านหมอเหย่วซือ ข้ายินดีจ่ายไม่ว่าจะแพงแค่ไหนก็ตาม”
หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้ถิงถิงวางตั๋วแลกเงินไม่ระบุจำนวนลงบนโต๊ะ ทว่าหมอเหย่วซือไม่แม้แต่จะมองตั๋วแลกเงินใบนั้น
“ยาที่ใช้ขับพิษข้าสามารถปรุงให้แม่นางได้เดี๋ยวนี้ ทว่าแม่นางจะทนขั้นตอนการขับพิษออกจากร่างกายได้แน่หรือ เพราะมันทรมานราวกับร่างจะแหลกออกเป็นส่วนๆ ยาตัวนี้จะเข้าไปชำระล้างปราณหลักทั้งสิบสองเส้น และแตกแขนงไปยังปราณย่อยต่างๆ”
“ข้าทนได้เจ้าค่ะ ขอเพียงให้ข้าหลุดพ้นจากการควบคุมจิตใจนี้เสียที ข้าไม่อยากเป็นคนเดิมที่น่ารังเกียจอีกต่อไปแล้ว ข้าจะทวงชีวิตของข้ากลับคืนมา!”
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่อยากเป็นฆาตกร ไม่อยากเป็นหญิงร่านราคะ ไม่อยากเป็นภรรยาแพศยา ไม่อยากให้ใครหน้าไหนมาชี้หน้าว่านางเป็นคนเลวทรามชั่วช้า ดังนั้นไม่ว่าจะต้องเจ็บปวดสักเท่าไหร่นางก็พร้อมจะทน
หมอยาเหย่วซือมองนางอย่างวิเคราะห์และชื่นชมอยู่ในที หญิงสาวจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ รูปร่างงดงามบอบบาง ทว่ากลับมีจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
สมแล้วที่เป็นผู้ถูกเลือก...
“หากแม่นางยืนยันเช่นนั้นข้าก็เบาใจ”
ปกติแล้วผู้ที่ถูกพิษควบคุมจิตใจใช่ว่าจะมีสติได้โดยง่าย ยิ่งโดนมาเป็นระยะเวลานานยิ่งถลำลึกราวกับเป็นร่างกายไร้จิตวิญญาณ ทว่าสตรีผู้นี้กลับรู้ว่าตนกำลังเผชิญกับสิ่งใดและลุกขึ้นมาแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
“เช่นนั้นแม่นางไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ ข้าจะเตรียมเสื้อผ้าให้เอง”
เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้าสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างเก่าส่งให้หญิงสาว
“เก่าสักหน่อย แต่ใช้แล้วต้องทิ้งไม่อาจนำกลับมาใช้ได้อีก”
คำพูดของหมอหนุ่มไม่อาจทำให้สามสาวต่างวัยเข้าใจ ถิงถิงและหลิวจวนรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาด้วยความสงสารเจ้านายสาวก่อนจะเร่งมือช่วยเปลี่ยนชุด ในขณะที่หมอยาออกไปรอข้างนอก
“ขอโทษนะเจ้าคะคุณหนู ที่พวกข้าไม่เคยรู้เลยว่าคุณหนูถูกวางยาพิษมาถึงสิบปี พะ...พวกข้าสมควรตาย”
ช่วยแต่งตัวพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน เซียวเหยาจึงดึงสาวใช้เข้ามากอดปลอบ
“อาถิงอาหลิงเจ้าทั้งสองอย่าได้คิดมาก ต่อจากนี้ให้ใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ต้องคอยจับตาดูอาหารทุกอย่างในสำรับที่จะนำมาให้ข้ารับประทาน ข้าได้สั่งเข็มเงินชนิดพิเศษสำหรับตรวจสอบพิษมาไว้แล้ว ให้พวกเจ้าใช้จิ้มลงบนอาหารได้เลย”
“เจ้าค่ะคุณหนู ต่อไปข้าทั้งสองจะเข้มงวดให้มากกว่านี้ จะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังอีกเป็นอันขาด”
สาวใช้พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา รู้สึกผิดที่สัญญากับฮูหยินเอาไว้ว่าจะปกป้องดูแลคุณหนูด้วยชีวิต แต่พวกนางกลับไม่อาจรักษาสัญญาเอาไว้ได้ อีกทั้งยังละเลยบกพร่อง คิดว่าที่จู่ๆ คุณหนูมีนิสัยร้ายกาจเพราะผลจากความเสียใจจนเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
พวกนางควรฉุกใจคิดสักนิด ว่าเด็กหญิงในวัยแปดขวบที่อ่อนโยนไม่กล้าแม้แต่จะทำร้ายสัตว์สักตัว จู่ๆ เหตุใดจึงกลายเป็นเด็กโมโหร้าย และพูดจาไม่ให้เกียรติใครทั้งสิ้นไม่ว่าจะฐานะสูงหรือต่ำกว่าราวกับเด็กไร้มารยาทขาดการอบรมสั่งสอน
“ไปตามท่านหมอยาเถอะ ข้าพร้อมแล้ว”