“อื้ออ” ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกมีอะไรเปียก ๆ ชื้น ๆ ตรงข้างแก้มลืมตามามองสบประสานกับเจ้าก้อนขนสีดำที่ตอนนี้พยายามจะแทะเลียแก้มของผม นาฬิกาตรงข้างฝาบอกเวลาสี่โมงเย็น นี่ผมหลับไปทั้งวันเลยเหรอ ปากระบายยิ้มออกมา เบา ๆ เจ้าอ้วนนี่คงหิวแล้วสินะ ทันทีที่เอี้ยวตัวลงจากเตียงเสียงกระดูกลั่นดังกร๊อบ แข้งขาแทบจะไม่มีแรง เจ็บปวดไปหมดโดยเฉพาะช่องทางด้านหลัง มองไปที่ข้อเท้าตอนนี้มีผ้าก๊อซพันไว้อยู่
ผมพยายามพยุงตัวเองเดินเข้ามาในห้องน้ำพลันนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนมันคงเป็นเรื่องจริงสินะ เงาในกระจกสะท้อน บอกทุกอย่างว่ามันคือความจริง ร่องรอยต่าง ๆ ที่ทิ้งไว้เต็มร่างกาย อยู่ ๆ ขอบตาก็เห่อร้อนขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกเสียใจแบบสาวน้อยในนิยาย แต่รู้สึกบัดซบกับชีวิตชายที่เคยผ่านการศึกษาวิชาทหาร ทั้งที่เป็นชายแท้แต่กลับต้องมาโดนผู้ชายข่มขืนแถมดันเป็นผีอีกด้วยจน ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อตัวเองว่าผีจะสัมผัสตัวคนได้
ผมนอนแช่ลงที่อ่างเอามือลูบไล้ไปทั่วตัวพยายามขัดถูร่องรอยอัปยศพวกนั้นให้หลุดไป แล้วคืนนี้ผมจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ยังไง เมื่อคิดอย่างนั้นทำไมต้องรอให้ถึงตอนกลางคืนล่ะ… ผมต้องหนีออกไปก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว!
ผมเดินออกมาแต่งตัวและเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงไว้ เสื้อผ้าไม่จำเป็นต้องเอาไป เดินลงมาตรงบันไดพยายามสอดส่องสายตาไปทั่วบ้านกลับไม่เห็นทั้งคู่ ผมไม่ชะล่าใจไปหรอก ยังไงผีก็คือผี มือเทอาหารใส่ชามไว้ให้เจ้าเปียกปูนและไปเตรียมอาหารของตัวเอง เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง
ผมรีบจัดการอาหารในจานก่อนที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ เดินไปอุ้มเจ้าเปียกปูนขึ้นมากอดแนบอก ถึงเพิ่งจะรู้จักกัน แต่ก็ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันครั้งหนึ่ง รู้สึกผูกพันเหลือเกิน แต่จะให้เอาไปด้วยคงเป็นไปไม่ได้ ผมกดจมูกลงบนหัวของมัน ถ้าหิวอาหารอยู่ในตู้นะเปิดปากถุงไว้ให้แล้ว ตัดใจวางมันลงรีบเดินออกจากรั้วบ้านโดยไม่หันกลับไปมองอีก
ถามชาวบ้านแถวนั้นเขาบอกท่ารถไกลจากตัวหมู่บ้านไปเกือบกิโล คิดว่ามันคงจะไม่ไกลมาก โชคดีที่เอาจักรยานมาด้วย ถนนหนทางเป็นดินแข็ง ๆ มีหลุมเต็มไปหมด ทำให้ปั่นจักรยานได้อย่างยากลำบาก ข้อเท้าที่เป็นแผลก็เริ่มจะปวดหนึบ มองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มมีเมฆดำลอยเข้ามาปะปน เหมือนจะลืมคิดไปว่าช่วงนี้มันหน้าฝน ท้องฟ้าเริ่มอึมครึมขึ้น ทำให้แสงสว่างโดยรอบน้อยลงเรื่อย ๆ
ผมตั้งหน้าตั้งตาปั่นจักรยานต่อไป ข้างทางก็เริ่มมืดลงมองไปรอบ ๆ มีแต่ป่ากับรั้วกั้นที่บ่งบอกได้ว่าออกจากเขตหมู่บ้านแล้ว ในตอนนี้อาศัยแค่แสงของพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินอยู่รอมร่อ เวลาพลบค่ำของชนบทจะเร็วกว่าในกรุงเทพ อากาศเริ่มเย็นลงจนได้กลิ่นอายชื้นของสายลมผสมกับหญ้า ลมเย็น ๆ พัดผ่านผิวหนังที่พ้นออกจากแขนเสื้อทำเอาขนลุกชัน พลันสายตาเหลือบไปเห็นร่างราง ๆ หลายร่างตรงหน้า ‘หึ’ ได้แต่แค่นหัวเราะให้ความคิดน้อยของตัวเอง
ลืม...ลืมไปเสียสนิท ว่าตัวเองนั้นมองเห็นผี
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ เพราะพระอาทิตย์ได้ตกดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่านี่คงเป็นช่วงตลาดเปิดของผีอย่างสมบูรณ์ จากร่างราง ๆ ก็เห็นชัดขึ้น ทั้งผีเด็กที่วิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน ผีที่ผอมแห้งกะหร่องคลานไปตามพื้น ผีที่หน้าและตัวเละจากอุบัติเหตุเดินกรูเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ผมกำแฮนด์รถแน่นสายตามองตรงมือหลายมือปัดผ่านตัวผมไป เหมือนสายลม อย่างที่เคยบอกผีสัมผัสตัวผมไม่ได้
ผมปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ ใจเริ่มเสาะขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ไม่ได้! ถ้าร้องไห้ตอนนี้พวกเขารู้แน่ สายตาหลายสิบคู่จ้องมาที่ผมอย่างหิวกระหาย เสียงร้องอื้ออึงดังระงมไปตลอดทาง มองไปข้างทางแทบแยกไม่ออกว่าผีหรือต้นไม้ ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นพยายามสะกดกลั้นความกลัวไว้ไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
‘ปั่ค โครม’ จักรยานไปสะดุดกับของแข็งข้างหน้าจนล้อพลิก ตัวจักรยานล้มลงอย่างแรงรวมถึงตัวของผมด้วย ดีที่เอาแขนยันไว้ไม่ได้เอาหน้าลง ไม่นะ...จะล้มตอนนี้ไม่ได้ ผมรีบลุกกระชากจักรยานขึ้นอย่างลนลาน กลับมีมือมาคว้าหมับไว้ที่ข้อเท้าข้างเจ็บ ผมหลับหูหลับตาสะบัดออก สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด เลยหันไปมองตาม มือนั่นเป็นมือเหี่ยว ๆ ของคุณยายผมสีขาวจับหมับไว้อยู่
‘ฮือออ อย่าไปเลยลูก’ คุณยายร้องเสียงสั่นเครือสะอึกสะอื้นน่าสงสาร เดี๋ยว...คุณยายจับขาผมได้ยังไง หรือ หรือเขาเป็นคน และคำถามในใจของผมก็ได้รับคำตอบ เมื่อคุณยายเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ “อย่าไปนะลูก ฮืออออออ” ปากที่ร้องบอกผมอ้าออกกว้าง ๆ จนฉีกไปถึงคอ เลือดไหลออกมาจากเบ้าตาที่โบ๋ทั้งสองข้าง ผิวหนังเหี่ยวย่นมีหนอนชอนไชอยู่เต็มหน้า
ใจของผมเต้นจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอก วินาทีนั้นวิ่งแบบไม่คิดชีวิต วิ่งจนลืมไปเลยว่าขาตัวเองเจ็บ วิ่งทะลุผีตัวอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ หันกลับไปคุณยายก็ใช้แขนคลานตามผมมาติด ๆ ปากที่อ้ากว้างนั้นลากไปตามพื้น ฮือออออ ผมวิ่งไปร้องไห้ไปน้ำตาแทบจะไหลเป็นสายเลือดปวดกระบอกตาไปหมด
อีกวันที่เหมือนจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต ในหัวนึกถึงแต่หน้าพ่อกับแม่ ทำไมชีวิตต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ ทางข้างหน้าเริ่มพร่าเลือนเพราะมีน้ำตามาบดบัง ‘พลั่ค’ ผมวิ่งไปชนร่างตรงหน้าอย่างจัง มีแขนมากอดรัดเอวไว้แน่น ผมหลับตาปี๋ไม่กล้ามอง ได้แต่พยายามดิ้นให้ตัวเองหลุด “ลืมตา” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จึงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละข้าง นัยน์ตาขาวตรงหน้าจ้องมาอย่างแข็งกร้าวน่ากลัว แต่...แต่ทำไมใจผม วูบบ –