[Chapter2] เจอสักที
ข้างนอกฝนตกพรำตั้งแต่เช้า ถนนหน้าบ้านกลายเป็นโคลนเละไปหมด แผนที่จะไปนิมนต์พระที่วัดจำต้องล่มลง ตอนนี้ผมนั่งเท้าคางบนโซฟาหน้าทีวี ในอ้อมกอดก็มีเจ้าเปียกปูนนอนขดอยู่ ตั้งชื่อให้มันพร้อมเป็นเจ้าของให้เองเรียบร้อย
มองเงาตัวเองสะท้อนกับจอทีวี ผมในนั้นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ซึ่งมันใช่ ผมกำลังใช้ความคิดอย่างหนักกับเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดที่สะดุ้งลืมตาขึ้นมาเห็นแต่เจ้าแมวดำ ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองอยู่ครบทุกอย่างมีเพียงแต่เอ่อน้ำสีขาวขุ่นที่เปรอะกางเกงใน ฝันเปียกงั้นเหรอ ผมโตเกินกว่าจะฝันเปียกแล้วนะ และก็มั่นใจมาก ๆ ด้วยว่าไม่ใช่ฝัน
คิ้วของผมขมวดเข้าหากันยุ่ง ในมือก็อ่านกระทู้ pantip บางคนก็ว่าผี บางคนก็ว่ามันคือ ‘Sleep Paralysis ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายรู้สึกตัวแต่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ จะเกิดขึ้นในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น ผู้ที่ประสบภาวะนี้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือพูดได้ชั่วขณะ รวมทั้งอาจเกิดอาการเหมือนถูกกดหรือสำลักบางอย่าง มักเกิดขึ้นเมื่อนอนหงาย’
ใช่อาการผมเป็นแบบนี้เลย ผมพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับบทความในมือถือ
‘ไม่ใช่หรอก’ มีเสียงเรียบมากระซิบที่หลังหูทำเอานิ้วที่กำลังเลื่อนหน้าจอชะงัก ผมทำเป็นก้มหน้าอ่านตัวหนังสือที่ หน้าจอต่อไป
‘ไม่ได้ยินเหรอ’ ผมเริ่มกระสับกระส่ายและมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว กดออกจากกระทู้ Pantip เข้ากูเกิ้ลทันที [ติดต่อหมอปลา]
‘ฮ่าๆๆๆๆๆ’ เสียงด้านหลังหัวเราะดังลั่น แต่ผมยังทำเนียนค้นหาข้อมูลต่อไป
‘หึหึหึ’ รอบนี้มีอีกเสียงมาอยู่ข้าง ๆ ฝ่ามือของเขาลูบไล้บริเวณเอว ผมเหลือบมองไปที่จอทีวีดำสนิทถึงกับสะดุ้ง ขนลุกเกรียวกระชับอ้อมกอดเจ้าเปียกปูนและพยายามเอื้อมมือสั่น ๆ กดรีโมทเปิดทีวีเพื่อลบสิ่งที่เห็น
ในจอมีผู้ชายร่างดำ ๆ สองร่างยืนอยู่หลังโซฟาอีกคน ไม่สิไม่ใช่คนยื่นหน้าเข้ามามองจอโทรศัพท์และหัวเราะใน ลำคอ ตอนนี้หางตาของผมเองก็รับรู้ว่าหน้าเขาอยู่ใกล้ผมจริง ๆ อีกคนยืนเท้าขอบโซฟานิ่ง ๆ ใจผมตอนนี้เต้นไม่เป็นส่ำ พยายามควบคุมสายตาให้มองไปที่หน้าจอทีวีอย่างสุดความสามารถ
‘มองไม่เห็นจริง ๆ เหรอ’ เสียงข้างหลังถามขึ้น
‘ไม่รู้’ เสียงที่ฟังดูทุ้มและยะเยือกกว่าตอบพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อย ๆ ‘มองไม่เห็นมั้ง’
ผมพยายามที่จะหัวเราะชิงร้อยชิงล้านตรงหน้า ในมือก็กอดเจ้าเปียกปูนแน่น ท่านเทพารักษ์ เจ้าป่าเจ้าเขาช่วยผมด้วย ผมเป็นคนดีนะครับ ผมโดนเลี้ยงมาอย่างดีโดยคุณย่า คำหยาบแทบจะไม่พูด อันนี้เรื่องจริงสาบาน สัตว์ไม่ฆ่าสุราไม่ดื่ม ประพฤติผิดในกามหรืออย่าหวัง เกิดมาไม่เคยมีแฟนเพราะเตี้ยกว่าผู้หญิง
‘โครกกกก’ เสียงท้องของผมร้องดังจนเจ้าเปียกปูนกระโจนหนี ผมรีบเดินมาที่ห้องครัวเปิดหาวัตถุดิบทำอาหาร ในใจได้แต่ภาวนาว่าอย่าตามมาเลย พึ่งกลางวันอยู่แท้ ๆ แต่เหมือนคำภาวนาของผมไม่เป็นผล สองคน ไม่สิ สองผีนั่นยังตามมาติด ๆ
‘กูต้องทำยังไงถึงจะมองเห็น’
‘กูจะรู้เหรอ’
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ...ไม่ ๆ อย่าสนใจ ผมต้องโฟกัส ผมค่อย ๆ ตอกไข่ลงในถ้วยและใช้ส้อมตีเพื่อทำไข่เจียว นึกขึ้นได้ว่ามีผักอยู่ในตู้เย็น ‘หมับ’ มือคว้าที่จับตู้เย็นกำลังจะดึงออก แต่กลับมีอีกมือมาดันประตูไว้
“เปิดไม่ออกเลย ขอให้แม่ซื้อให้ใหม่ดีไหมนะ” ผมแสร้งทำเป็นบ่นกับตัวเองและพยายามดึงประตูตู้เย็นออก เป็นผลเขายอมปล่อยและให้ดึงออกแต่โดยดี ผมหยิบผักมาหั่น ๆ โยนใส่ลงไปในกระทะตักไข่เจียวขึ้นมาวางบนข้าวสวยร้อน ๆ และมานั่งตรงโต๊ะทานข้าว ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่มานั่งตรงนี้ เพราะสองร่างมานั่งตรงข้ามผมและจ้องมาทุกอิริยาบถ
ผมนั่งสั่นหงึก ๆ พยายามตักข้าวไข่เจียวเข้าปาก มือก็เลื่อนเล่นโทรศัพท์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจตัวเอง
‘อินเอย’
“คระ..แค่ก...แค่กๆ” ผมรีบวิ่งมาเปิดน้ำในตู้เย็นดื่ม อยากจะตบปากตัวเองแรง ๆ ที่เผลอไปขานรับคำเรียกของเขา เกือบ...เกือบไปแล้วจริง ๆ
‘โครม’ ผมเดินมาดูต้นตอของเสียง ชั้นวางของอันใหญ่ล้มลงมา ข้าวของกระจัดกระจายเต็มไปหมด ซึ่งผมรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นฝีมือใคร ผมนั่งยอง ๆ เพื่อเก็บของทีละชิ้นอย่างใจเย็น
‘แควกกก’ รูปบ้านในขาตั้งที่ผมวาดไว้เมื่อวานถูกฉีกโดยผีอีกร่าง “มันขาดได้ยังไง?” ผมแสร้งทำหน้าสงสัยไปตามน้ำ ในใจได้แต่สะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองกับเสียงทุบและทำลายข้าวของดังไปทั่วทั้งบ้าน เย็นไว้...อชิรา..เย็นไว้
‘เมี๊ยวววววววววววววว’ ผมหันไปมองตามเสียงร้องลั่นของแมว เห็นผีร่างดำ ๆ ขยุ้มคอเจ้าเปียกปูนอยู่ตรงชั้นสองทำท่า เตรียมปล่อยมันลงมา ใจผมแทบจะหยุดเต้น ตาจ้องค้างไปที่เปียกปูนไม่กะพริบ เจ้าของมือนั้นเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าผมมอง เห็น เขาแสยะยิ้มและปล่อยมือทันที ตัวดำ ๆ ของเปียกปูนร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว
‘หมับ’
‘โครม’ ผมวิ่งไปรับเจ้าเปียกปูนไว้จนหน้าคะมำไปจูบพื้น มองก้อนขนสีดำตรงหน้าด้วยแววตาแข็งกร้าว เม้มปากแน่น จู่ ๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่ได้เสียใจ...แต่โกรธ โกรธจนน้ำตาไหล เกิดมาไม่เคยโกรธอะไรขนาดนี้มาก่อน ผมกำหมัดแน่นหันไปเผชิญหน้ากับพวกมัน
“พอได้แล้วไอ้พวกเหี้ยยย!!!!!”
“มองเห็นแล้วสินะ” สองร่างแสยะยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เมื่อได้เห็นหน้าตาของทั้งคู่ผมถึงกับตกตะลึง นี่พวกเขาเป็นผีจริง ๆ หรือ ด้านซ้ายเป็นผู้ชายผมสีขาว ร่างสูงโปร่ง ผิวซีด ด้านหลังที่เดินตามมาติด ๆ ผมสีน้ำตาล ผิวซีดเผือดเช่นเดียวกัน หน้าตาของทั้งคู่จัดว่าหล่อเกินมนุษย์ นี่พวกเขาเป็นดาราแล้วถูกฆ่าตายหรืออย่างไร แต่เมื่อมองเข้าไปนัยน์ตาดำของพวกเขากลับเป็นสีขาวน่ากลัว
ชายผมขาวก้าวเข้ามาหาผมช้า ๆ ผิวซีดเผือดของเขามีเส้นเลือดไล่ขึ้นตามกรอบหน้า ดวงตาคมจ้องผมไม่ละสายตาพร้อมส่งยิ้มหลอน ๆ มาให้
ตึก ตึก ตึก
ผมรีบวิ่งหน้าตั้งขึ้นบันได ในอ้อมกอดก็ยังอุ้มเจ้าเปียกปูนอยู่ ผมวิ่งเข้ามาในห้องแล้วรีบล็อกประตูทันที เดี๋ยวก่อน...จะวิ่งเข้ามาในห้องทำไม ทำไมไม่วิ่งออกนอกบ้าน!! เสียงที่ตะโกนใส่ทีวีเวลาตัวเอกโดนผีไล่ตามแล้ววิ่งเข้ามา หลบในห้องนอน อยากจะเอาหัวทุบกับพื้นแล้วตายไปเสียตรงนี้
ผมหันขวับไปเจอกระเป๋าที่วางอยู่ตรงหน้าตู้ นึกถึงกล่องไม้ที่แม่ให้รีบวิ่งไปหยิบออกมาทันที ในมือตอนนี้มีมีดอาคมที่ผมเคยบอกไม่เชื่อถืออยู่แนบอก มืออีกข้างก็อุ้มเจ้าแมวดำเอาไว้เป็นโล่ป้องกัน
ครืนน เปรี้ยง ครืนน
ฝนที่ตกในตอนเช้าเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า ฝนเม็ดใหญ่ ๆ ตกกระทบหลังคาเสียงดัง โครมคราม ลมพัดแรงจนหน้าต่างตีพึ่บพั่บ สร้างบรรยากาศได้ดีเหลือเกิน มาขนาดนี้แล้วไฟไม่ดับไปด้วยเลยล่ะ
พรึ่บ
“…” ผมกลืนน้ำลายก้อนเหนียว ๆ ลงคอบรรยากาศแบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าฉากต่อไปจะเป็นอะไร จากความโกรธตอนนี้เริ่มแปรเปลี่ยนลมและเม็ดฝนที่พัดเข้าทางหน้าต่างทำตัวผมสั่นหงึกหงัก แต่สิ่งที่ผมเชียร์ตัวเอกในหนังผีเสมอเมื่อเจอฉากแบบนี้ก็คือ กระโดดลงหน้าต่าง! ใช่ฝนตกแบบนี้พื้นดินด้านล่างเละเป็นโคลนหมดแล้ว คิดได้แบบนั้นผม จึงรีบวิ่งไปทางหน้าต่างทันที
‘หมับ’
“จะไปไหน”