ไม่มีวันไหนที่ผมจะตื่นมาทันเวลาข้าวเช้าเลย ตอนนี้มานั่งอยู่ตรงศาลาเล็กหน้าบ้านในมือถือดินสอเตรียมร่าง รูปบ้านอีกรอบ ผมไม่ค่อยอยากจะอยู่ในบ้านเท่าไหร่ ตื่นมาปวดไปทั้งตัวแทบจะลุกไม่ขึ้นและตัวการทั้งสองก็หายไปอีกแล้ว
“ขอโทษนะครับ มีคนอยู่ไหม!!!!!!!” เสียงตะโกนของผู้ชายมาจากหน้าบ้าน ผมวางดินสอลง ถอดผ้ากันเปื้อน เดินมาทางประตูหน้าบ้านเห็นผู้ชายตัวสูงโบกไม้โบกมืออยู่นอกรั้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“มีของมาส่ง พอดีผมเป็นลูกของกำนันหมู่บ้านน่ะครับ” ผมยื่นมือไปรับกล่องตรงหน้าหนักเหมือนกันแฮะ ดูหน้ากล่องส่งมาจากคุณแม่ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในต่างจังหวัดค่อนข้างเข้าถึงยาก เมื่อมีพัสดุเขาจะส่งไปที่บ้านกำนันและให้ชาวบ้านไปเอาเอง
“ขอบคุณครับ จริง ๆ ผมไปรับเองก็ได้นะ” ยิ้มให้เขาด้วยความขอบคุณ เขามองหน้าผมอึ้ง ๆ สักพักก็ยิ้มตอบ
“วันนั้นผมเห็นที่ตลาด นึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีก” เขามองมาและเกาหัวแกรก ๆ
“อ๋ออ ที่เอามาให้ถึงหน้าบ้านเพราะคิดว่าเป็นผู้หญิงสินะครับ”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ...เอ่อ...แต่ก็แบบนั้นแหละ ฮ่าๆๆ” เราทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน ผมส่ายหน้าขำ ๆ ให้กับความเปิ่นของเขาคงคิดว่าผมเป็นผู้หญิงสินะถึงตามมาหน้าบ้าน น่าสงสารจริง ๆ มองไปข้างหลังก็ไม่มีรถจอดอยู่สักคัน
“เอ่อ คุณเดินมาเหรอครับ?”
“ใช่ครับ รถให้คนเอาไปล้างน่ะ”
“งั้นเข้ามานั่งพักข้างในก่อนเถอะ” ผมพูดพลางเปิดประตูรั้วให้เขาเข้ามา เพราะดูท่าจะร้อนมาก เหงื่อไหลซึมออกมาตามขมับ เสื้อสีขาวเริ่มเปียกแนบตัว กลิ่นน้ำหอมผู้ชายเมื่อถูกไอร้อนก็ระเหยลอยมากระแทกจมูก แหมม ทุ่มเทเพื่อผู้หญิงจริงๆ นะครับ ผมเดินนำเขาเข้ามานั่งในศาลาเล็ก เข้าบ้านไปเอาน้ำเย็น ๆ มายื่นให้
“ว่าแต่เราเรียนอยู่ ม. ไหนแล้ว?” ชายตรงหน้าถามขึ้นพลางยื่นมือมารับแก้ว
“เอ่อ...คุณถามผม?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“อยู่กันสองคน ผมถามตัวเองมั้งครับ”
“ผมอายุยี่สิบสาม เรียนจบแล้ว” เขามองมาที่หน้าผมทำตาโตเหมือนไม่เชื่อไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“จริงดิ! ผมคิดว่าอยู่มัธยมซะอีก”
“จะบอกว่าผมเตี้ยใช่ไหมครับ?”
“อ่า...ครับ” แล้วเราก็ขำออกมาพร้อมกันอีกรอบถึงเขาจะขวานผ่าซากไปหน่อยแต่ก็ดูจริงใจดี คุยกันไปสักพักก็รู้ว่า ตุลย์อายุน้อยกว่าผมสองปี เจ้าตัวก็ดูห้าวเป้งตามช่วงอายุ แต่ก็ไม่ได้บอกให้เรียกพี่ คุยแบบนี้กันเองดีกว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนบ้านเลยสักคน เหมือนผมกับตุลย์จะเริ่มคุยกันถูกคอแล้วด้วย
“อ้อพี่อิน เย็นนี้มีงานวัดนะ อยากไปด้วยกันไหม”
“หืม ไม่เคยไปงานวัดเลยแฮะ” นอกจากคนจะพลุกพล่านแล้ว ผีนี่ยิ่งกว่า
“มาจากกรุงเทพใช่ไหม เดี๋ยวผมพาเที่ยว”
“จริง ๆ ก็อยากไปวัดนะ อยากไปนิมนต์พระมาพรมน้ำมนต์ที่บ้านหน่อย”
“อาทิตย์นี้ติดงานวัดทั้งอาทิตย์ หลวงพ่อคงไม่ว่างหรอก แต่จะไปขอน้ำมนต์มาไว้ไหมล่ะ”
จริงด้วยเป็นความคิดที่ดี ผมตอบรับคำเรียบร้อย เห็นว่าเย็นนี้เขาจะเอารถมารับเลยเดินเข้ามาอาบน้ำแต่งตัว หันไปมองบนโต๊ะเห็นกล่องไปรษณีย์ที่แม่ส่งมาให้ แกะดูด้านในเป็นพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่มากสำหรับตั้งขึ้นหิ้ง สร้อยหลวงปู่หมุน สร้อยท้าวเวสสุวรรณ และผ้ายันต์สายสิญจน์อีกสี่ห้าเส้น ใส่ทั้งหมดนี่แหละ!!! หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานผมเข็ดแล้วครับ ยังหลอนหน้าของคุณยายไม่หายเลย…
“จะไปไหน” เฮือก กำลังคิดถึงหน้าหลอน ๆ ของคุณยายก็มีเสียงเย็น ๆ มากระซิบข้างหู ดีที่ไม่ทำพระพุทธรูปตก ผมหันหน้าไปหาเขาในมือก็ยังอุ้มพระพุทธรูปอยู่
“วางลง” ผมส่ายหัวพรืดด รู้สึกวูบ ๆ ข้างหลังก็มีผีอีกตัวมาประกบไว้ เอาอีกแล้วสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว
“วางลงแล้วจะไม่ทำอะไร” เขากดเสียงต่ำแกมบังคับผมจำต้องวางพระพุทธรูปลงที่โต๊ะ ขายาว ๆ ก้าวเข้ามาก้าวเดียวก็ถึงตัวผมแล้ว เขาเอาหน้ามาซุกไซ้ซอกคอและเม้มแน่น ๆ
“โอ้ย ทำไรเนี่ย”
“ทำกลิ่น” พูดแบบนั้นก็เอาหน้ากดลงมาอีกรอบ ผีผมน้ำตาลอีกตัวก็ก้มเม้มกับคออีกข้าง “ผีตัวอื่นจะได้ไม่ตาม”
หืม? มันคือเรื่องจริงหรือ ถ้ามีกลิ่นพวกเขาแล้วผีจะไม่ตาม เฮ้ย หันมามองอีกทีเสื้อก็หลุดไปกองที่พื้นแล้ว เสียงแตรรถดังจากหน้าบ้าน ผมรีบก้มหยิบเสื้อขึ้นมาใส่ เอาสร้อยพระห้อยคอแล้ววิ่งลงไปที่หน้าประตูรั้วทันที
มาถึงที่วัดเป็นช่วงประมาณหนึ่งทุ่มพอดี แสงไฟในงานสว่างไสวบรรยากาศกำลังครึกครื้น เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยที่มา เป็นงานวัดไม่ใหญ่มากบรรยากาศอบอุ่น รายล้อมไปด้วยเครื่องเล่น ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน มีทั้งคอนเสิร์ตเสียงดนตรีพวกหมอลำ การละเล่นปาโป่ง สอยดาวตักไข่ ยิงปืน และก็พวกของกินโบราณท้องถิ่น
ขนมน้ำตาลปั้นถูกยื่นมาตรงหน้า คนให้ส่งสายตาถามว่าเคยกินหรือเปล่า ผมส่ายหน้ายิ้มรับขอบคุณ ตอนเด็ก ๆ เห็นคนอื่นกินแต่คุณแม่ไม่ให้เพราะกลัวฟันผุ พอคิดถึงแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่ได้โทรถามสารทุกข์สุกดิบท่านบ้างเลย ผมกับตุลย์เดินแวะเล่นนู่นนี่ไปเรื่อย นึกอยากจะช้อนปลาไปเลี้ยงไว้ในอ่างข้างศาลาสักหน่อยแต่มันมีแต่ปลาตัวเล็ก ๆ เลยต้องตัดใจ
เริ่มจะเหนื่อยกันแล้วเลยมานั่งพักกินก๋วยเตี๋ยวเรือชามละสามบาท เป็นชามเล็ก ๆ ที่กินสามคำหมดซึ่งเด็กโข่งตรง หน้าผมกินไปสิบเจ็ดชาม ผมมองหน้าตุลย์อึ้ง ๆ แต่ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเจ้าตัวก็ตัวใหญ่อยู่แล้ว ผมนั่งพิจารณาคนตรงหน้าหน้าตาเขาดีนะ เนี่ยถ้าไปเข้ามหาลัยที่กรุงเทพสาวติดตรึมแน่ ๆ คนโดนมองเงยหน้าขึ้นมาสบตาพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้
“มองหน้าผม ตกหลุมรักผมแล้วเหรอครับ?”
“ฮ่า ๆๆ แค่สงสัยกินเข้าไปได้ไงตั้งสิบเจ็ดชาม”
“โห่ แค่นี้ไม่ถึงครึ่งของท้องด้วยซ้ำ” พูดจบก็หันไปสั่งเพิ่มอีกสาม
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวจนอิ่มแปล้ ตุลย์ก็จูงมือผมเดินมาทางกุฏิของหลวงพ่อข้างทางไม่สว่างเท่าไหร่ เพราะแสงจากงานวัดส่องมาไม่ถึง เป็นอย่างที่สองผีนั่นบอกเพราะผีที่ยืนเรียงรายตามกำแพงวัดได้แต่ยืนมองหน้าผมนิ่ง ๆ ไม่ได้วิ่งกรูเข้ามาเหมือนเมื่อวาน
ตุลย์เคยบวชเรียนตอนเด็ก ๆ ที่วัดนี้หลวงพ่อเขาก็เอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานเลยไปได้พวกผ้ายันต์กับน้ำมนต์มา เห็นบอกว่าเป็นของดี ก้มมองนาฬิกาข้อมือสามทุ่มกว่าแล้ว มืดกว่านี้คงมองไม่เห็นถนน กราบลาหลวงพ่อเรียบร้อยเลยชวนกันกลับ
“เอ้อ พี่อินผมมีเรื่องจะเตือน” คนที่มีหน้าที่ขับรถจู่ ๆ ก็พูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ตายังมองไปข้างหน้า
“หืม ว่า?”
“หลังหนึ่งทุ่ม อย่าไปเดินตรงถนนแดงนะ”
“ถนนแดง ตรงไหน?”
“ก็ทางออกจากหมู่บ้านไง ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าถนนแดง มาเดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง” ตุลย์กระแอมไอก่อนจะทำเสียงเหมือนดีเจรายการเดอะช็อก “ก็มีวันหนึ่งเด็กแว้นแถวนั้นกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ขูดกับพื้นที่ท้ายล้อ พอหันกลับไปมองเป็นคุณยาย มันก็คิดว่าคุณยายเขาล้ม เลยไปช่วยพยุงเท่านั้นแหละมันวิ่งป่าราบทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้เลย”
ผมช็อก...
“เฮี้ยนมาก เขาเล่ากันว่าคุณยายคนนั้นอะ เขาวิ่งตามลูกเขาจะไปกรุงเทพแล้วยายไม่อยากให้ลูกไป เลยเกาะล้อรถลูกไปด้วย ตัวก็ลากไปตามพื้นถนนอาบเลือดกลายเป็นสีแดงเลยนะ ตอนเจอศพนะ ปากนี้ฉีกถึ...เฮ้ยพี่อินร้องไห้ทำไม”
“ฮะ ร้องไห้?”
“ขอโทษ ๆ ไม่น่าเล่าให้ฟังเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดแล้วเอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้ ผมพยักหน้าขอบคุณเพราะตอนนี้ช็อกจนน้ำตาไหล พูดอะไรไม่ออก เปิดประตูรถลงมารีบวิ่งเข้าบ้านทันที เข้ามาในบ้านก็เจอสองผียืนดักอยู่ อ๊ากก ผมจะเป็นประสาทตายอยู่แล้ว เมื่อกี้ก็ฟังเรื่องผีกลับมาก็มาเจอหน้าผีอีก
“ตัวเหม็นไปอาบน้ำ” หนึ่งในสองผีนั่นพูดขึ้น เดี๋ยวนะนี่มันเป็นพ่อผมตั้งแต่เมื่อไหร่
“…”
“ไม่ได้ยินหรือไง เดินผ่านผีมาไม่รู้กี่ตัว มันเหม็น” พวกมันก็เป็นผีไม่ใช่เหรอครับ?
“….”
“มานี่เดี๋ยวอาบให้”
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นสาด!” ความหวาดระแวงเข้าควบคุมจิตใจและสติเป็นที่เรียบร้อย ถ้าใครมาเห็นผมในสภาพนี้ต้องคิดว่าเป็นคนบ้าแน่ ๆ ผมล้วงสร้อยพระที่คอห้าเส้นออกมานอกเสื้อให้พวกมันเห็น มือหมุนฝาขวดน้ำมนต์ให้เปิดออก ในมืออีกข้างกำยันต์ที่หลวงพ่อให้มาไว้แน่น ผีผมน้ำตาลเดินเข้ามาใกล้ ผมก็ยิ่งยื่นมือออกไปข้างหน้าทำท่าทีว่าจะสาดน้ำมนต์ใส่เพื่อขู่ให้เขากลัว
‘หมับ’
‘ฟิ้วววววว’
เขาคว้าหมับที่ยันต์พร้อมปามันออกไปผมมองตามผ้ายันต์เหมือนเป็นภาพสโลว์โมชัน ในหัวก็นึกถึงสรรพคุณของมันที่หลวงพ่อบอก
‘ผ้ายันต์กันภัยนี้สร้างเพื่อกันภูติ กันผี ปีศาจต่าง ๆ กันมนตร์ดำคุณไสย ลมเพลมพัดที่ถูกปล่อยมาตามลม แก้ขับไล่สิ่งที่แฝงตามที่อยู่อาศัยให้ออกจากตัว ผ่านพิธีปลุกเสกถึงสามพิธี 1. วัดเขาลังพัฒนา จ.ลพบุรี 2. หลวงตาน้อย วัดโคก-
สลุด พิษณุโลก 3. ครูบาชัยมงคล วัดไทรย้อย จ.แพร่ คนอีสานมาบูชายันต์นี้ไปกันขับไล่ผีปอบที่ว่าเป็นผีแรง ๆ ยังออกจากตัวคน แม้แต่ลูกค้าที่โดนผีอำบ่อย ๆ ไปนอนโรงแรมนำไปบูชาพกติดตัวผีไม่อำอีกเลย’
ผมอ้าปากหวอหันกลับไปมองหน้าเขา แต่...แต่ทำไมไอ้ผีตัวที่อยู่ข้างหน้าผมถึงไม่สะทกสะท้านอะไร มันมีอิทธิฤทธิ์มากมายขนาดไหนกัน!!!
“กูเป็นคริสต์”