นายแพทย์กิตติภัส

1931 Words
“คุณตาคะ ขอวัดความดันหน่อยนะคะ คุณตาคะ คุณตาคะ คุณตา!! ” จากโทนเสียงปกติธรรมดาในตอนแรก กลับเปลี่ยนเป็นการส่งเสียงเรียกดังขึ้นจนดังไปทั่วห้อง เมื่อพบว่าคนไข้ที่เข้ามาสังเกตอาการตามปกติตรงหน้า สิ้นสติไร้ซึ่งการตอบรับ “ช่วยด้วยคะ คนไข้ไม่รู้สึกตัว ขอตามหมอด้วยค่ะ” เสียงของพยาบาลคนเดิมในวอร์ดผู้ป่วยรวมตะโกนออกไป เรียกให้ทั้งรถเข็นเครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็น ถูกเข็นมาวางข้างเตียง ภายในเวลาอันรวดเร็วเพียงไม่กี่วินาที “คนไข้คลำชีพจรไม่ได้ ขอ CPR ต่อเลยค่ะ” หัวหน้าพยาบาลจัดการสั่งออกไปในเบื้องต้น พอดีกับเสียงประตูที่ถูกผลักเข้ามาพร้อมช่วงขายาวๆ ของชายหนุ่มเสื้อกาวน์สั้นสีขาวมีคำนำหน้าชื่อประดับบนอกว่า “นายแพทย์” ที่ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คนไข้เป็นยังไงครับ” “คนไข้อายุ 65 ปีค่ะ มีประวัติ HT DM ตอนมาวัดสัญญาณชีพเรียกแล้วไม่รู้สึกตัว คลำชีพจรไม่ได้ค่ะ” พยาบาลคนเดิมกล่าวรายงานประวัติและอาการที่จำเป็นอย่างรู้หน้าที่ นายแพทย์หนุ่มก้มลงมองชาร์ตประวัติคนไข้ในมือที่พยาบาลอีกคนส่งให้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บุรุษพยาบาลอีกคนอยู่บนเตียงผู้ป่วยกำลังกดหน้าอกคนไข้อย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอเพื่อปั๊มหัวใจ “ขอมอนิเตอร์ EKG ครับ” “EKG เป็น VF ค่ะ” เสียงพยาบาลคนหนึ่งตอบกลับมาทันที “เตรียม defib ครับ” “ชาร์ต” “เคลียร์” ปึ๊ก “CPR ต่อ ขอเปิด IV normal saline เตรียมใส่ tube ระหว่างนี้ขอ adrenaline 1 mg IV ทุก 4 นาทีด้วยครับ” “end tidal CO2 ยังไม่ถึงสิบเลย ช่วยปั๊มให้แรงกว่านี้หน่อยครับ เตรียม defib 200 จูลน์” สถานการณ์หลังจากนั้นตกอยู่ในช่วงชุลมุนเข้าขั้นวิกฤติ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อผ่านไปหลายนาที การกระตุ้นหัวใจผ่านไปหลายต่อหลายครั้งก็ไม่มีทีท่าว่าเส้นสัญญาณชีพที่ปรากฏบนจอจะขยับกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ตราบใดที่ยังไม่สิ้นหวัง แม้โอกาสในการมีลมหายใจอยู่ต่อไปจะมีเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยมันก็ยังมี และสิ่งที่เขาต้องทำคือการยื้อและนำกลับมาซึ่งชีวิตอีกครั้งของคนไข้ “แพทย์” มีหน้าที่ต้องทำมันให้ดีที่สุดต่อไป ตราบใดที่โอกาสตรงหน้ายังไม่เป็นศูนย์ “คุณหมอคะ สัญญาณชีพคนไข้กลับมาแล้วค่ะ” สิ้นเสียงของพยาบาล ตามมาด้วยอาการลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แววตาคมกล้าที่ดูจริงจังก่อนหน้านี้ หากใครสังเกตจะพบว่ามันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแววตาอ่อนโยนที่เจือไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ แม้จะไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม “BP 110/90 heart rate 120 O2 sat 95 ค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งกล่าวรายงานสัญญาณชีพที่กลับมาอีกครั้งของคนป่วย นายแพทย์หนุ่มทำเพียงพยักหน้ารับรู้ ส่งยิ้มบางๆ เป็นเหมือนการขอบคุณทุกคน จัดการสั่งการรักษาเบื้องต้นเพื่อเตรียมส่งต่อคนไข้ ก่อนเลี่ยงเดินออกมาเมื่อพอวางใจได้แล้วว่าทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ แต่ทันทีที่ประตูถูกผลักออกมา คนกำลังเดินก้าวเดินออกไปอย่างไม่คิดจะสนใจอะไรรอบข้างก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสคล้ายการกระตุกชายเสื้อสีขาวหนักๆ อีกทั้งเรียวแขนเล็กที่โอบรัดร่างสูงจากด้านหลังไว้แน่น เสียงพูดเจือแววสะอื้นสลับจนแทบจับใจความไม่ได้ เรียกให้ร่างสูงที่กำลังขมวดคิ้วหนักต้องหันกลับไปมอง “คะ..คุณหมอ ฮึก ฮึก” ตรงหน้าคือเด็กหญิงตัวเล็กวัยสักประมาณสิบขวบ เธอพยายามกลั้นสะอื้นเช็ดน้ำตา เปล่งเสียงใสออกมาเพื่อสื่อสารกับคนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณหมอ’ ชัดๆ “หนูมีอะไรให้หมอช่วยเหรอคะ” เสียงห้าวทว่าอ่อนโยนถามออกไป ยื่นมือไปลูบศีรษะร่างเล็กที่ความสูงไม่ถึงครึ่งของเขาด้วยความเอ็นดู “หนูจะมาขอบคุณคุณหมอที่ช่วยตาหนูไว้” เสียงเจือสะอื้นบอก สองมือกระจิดริดยกขึ้นไหว้อย่างไร้เดียงสา ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าก่อนลอบมองไปยังคนไข้ชราคนเดียวกับเมื่อครู่ที่นอนอยู่บนเตียง เหตุและปัจจัยที่ประกอบกัน ทำให้พอเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร ปมขมวดบนคิ้วทั้งสองข้างถูกคลายออก พร้อมริมฝีปากได้รูปที่ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา กำลังเตรียมขยับเพื่อพูดอะไรบางอย่าง ก่อนต้องเปลี่ยนเป็นทรุดตัวลงนั่งชันเข่ายกมือรับไหว้แทบไม่ทัน เพราะหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างๆ หลานสาว ที่อยู่ดีๆ ก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นยกมือไหว้ขอบคุณเขาเสียยกใหญ่ “ไม่เป็นไรครับยาย ไม่เป็นไร” หลังจากนั้น เขาได้รับคำบอกเล่าทั้งน้ำตาเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของเด็กหญิงที่ยืนตรงหน้า รายได้ที่ไม่พอเลี้ยงดู ทำให้เด็กหญิงต้องถูกส่งกลับมาให้ตากับยายเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ ค่าเลี้ยงดูที่เคยได้รับมาจุนเจือบ้างในช่วงแรกๆ พักหลังกลับไม่มีส่งมาแม้สักบาท ข่าวคราวที่ค่อยๆ เงียบหายไปจนติดต่อไม่ได้ของผู้เป็นพ่อแม่ ชีวิตของเด็กหญิงหลังจากนั้นจึงมีแค่ยายที่ร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์แข็งแรง กับตาที่มีอาชีพรับจ้างรายวันเลี้ยงดูจนเติบโตมาได้ในทุกวันนี้ ไม่อยากจะคิด หากขาดผู้ที่เป็นเสมือนหางเสือของครอบครัว อีกสองชีวิตที่เหลือจะเป็นอย่างไร การรักษาคนไข้ให้กลับมาหายดี หากหมองเผินๆ อาจเป็นแค่การช่วยชีวิตคนหนึ่งคนให้กลับมาดำรงตนได้ตามปกติ แต่แท้จริงแล้ว หากมองให้ลึกไปกว่านั้น นั่นอาจหมายถึงการช่วยเหลือคนที่อยู่ข้างหลังของบุคคลนั้น ให้มีชีวิตที่สุขสบายตามอัธภาพได้ต่อไป “ไม่เป็นไรครับยาย ไม่ต้องขอบคุณผม มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว” รอยยิ้มละมุนถูกส่งไปให้หญิงชราคนเดิมอีกครั้ง ได้รับรอยยิ้มทั้งน้ำตาที่เอ่อมาเป็นดั่งคำขอบคุณที่ส่งผ่านมาจากหัวใจเป็นการตอบกลับ นี่สินะ ความสุขของคนเป็นหมอ “อ้าว หมอกิตติ มาแต่เช้าเชียวนะ เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเยินเลยไม่ใช่เหรอหมอ” พยาบาลวัยกลางคนหน้าห้องตรวจผู้ป่วยนอกทักอย่างอารมณ์ดี ‘เยิน’ เป็นคำเปรียบเทียบหยิกแกมหยอกเล่นขำๆ สำหรับแพทย์เวรที่อยู่เวรอย่างหนักมาทั้งคืน ไม่พอยังต้องมาทำงานราวน์วอร์ด ออกตรวจผู้ป่วยต่อในตอนเช้า นายแพทย์หนุ่มทำเพียงยิ้มรับ แต่ดูเหมือนหน้าตาที่ดูอิดโรยเพราะผ่านศึกการอยู่เวรหนักมาสองคืนติด จะทำให้คนที่อยู่แถวนั้นอดเป็นห่วงขึ้นมากะทันหันไม่ได้ “คุณหมอกินอะไรมาหรือยังคะ อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ข้าวต้มหน้าโรงพยาบาล โจ๊กที่โรงอาหาร หรือจะเอาน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋เดี๋ยวพี่เล็กจะไปซื้อให้” ไม่ใช่แค่พี่เล็กที่เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่อยู่ใกล้คุณหมอ เพราะลองเอ่ยชื่อ ‘คุณหมอกิตติภัส’ รับรองว่าทั้งหมอ ทั้งพยาบาลเป็นต้องร้องอ๋อบอกรู้จัก ตามด้วยอาการอยากเข้าใกล้ หน้าตาที่ดีอยู่แล้วเป็นส่วนเสริม แต่นิสัยใจเย็น ยิ้มง่ายสบายๆ พร้อมเป็นมิตรกับทุกคนกลับแซงหน้ามาเป็นส่วนหลัก ไม่รวมถึงกิตติศัพท์การใช้เวลายาวนานในการราวน์วอร์ด รวมถึงความใส่ใจในโรคของคนไข้ ไม่แปลกที่คนไข้ไม่เลือกอายุล้วนแต่ก็อยากเป็น ‘คนไข้ของหมอ’ “เป็นไงบ้างครับหมอปรับยาให้เมื่อคราวที่แล้ว ยังรู้สึกปวดหัวอยู่มั้ย” คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมรอยยิ้มสดใสกว่าครั้งที่แล้วของคนไข้ตรงหน้า กิตติภัสพูดคุยทำความเข้าใจกับญาติที่ติดตามมาด้วยอีกพัก ก่อนปิดแฟ้มประวัติ พาตัวเองขับรถกลับบ้าน ระยะทางจากโรงพยาบาลจังหวัดกลับที่พักซึ่งตั้งอยู่ห่างกันห้าสิบกว่ากิโลเมตร สำหรับคนอดหลับอดนอนมาเป็นเวลากว่าสองคืนติดต่อ เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นเรื่องหนักเอาการอยู่เหมือนกัน ยามเย็นแดดร่มลมตก แดดโพล้เพล้ด้วยพระอาทิตย์เตรียมลากลับลับจากขอบฟ้า มือหนาจัดการล๊อกรถ ไม่ลืมที่จะหันกลับมาปิดประตูรั้วบ้าน กล่าวทักทายป้าวัยกลางคนที่ถีบจักรยานกลับหลังจากเร่ขายขนมรอบหมู่บ้านตลอดทั้งวัน ได้รับข้าวต้มมัดชิ้นสุดท้ายเป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจที่ช่วยไปดูลูกชายป้าที่หกล้มถลอกปอกเปิดไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก่อนหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป มันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าสายตาไม่เผลอไปสะดุดลงตรงบ้านหลังข้างๆ อ้ายเป็นเพื่อนตั้งแต่ครั้งเรียนมหาวิทยาลัย อ้ายเรียนวิทยาศาสตร์ แต่เขาเรียนแพทย์ อ้ายเป็นคนอุทัยธานีโดยกำเนิด แต่เขาเป็นคนเชียงใหม่ที่บังเอิญจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่ ด้วยความรักดนตรีเหมือนกัน ทำให้ได้มาอยู่ชมรมเดียวกันและรู้จักกันในที่สุด แยกจากกันไปเป็นพัก ก่อนมารู้ตัวอีกทีว่ามีอ้ายเป็นเพื่อนบ้านใกล้ๆ ก็ครั้งที่อ้ายกลับมาเยี่ยมบ้านคราวที่แล้ว เจ้าของร่างสูงหยุดยืน กำลังตัดสินใจว่าควรจะเข้าไปทักทายอ้ายดีหรือไม่ เพราะตลอดระยะเวลาเกือบอาทิตย์ที่สังเกตได้จากไฟที่เปิดสว่าง เขายังไม่ได้เข้าไปทักทายอ้ายอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง อดแปลกใจนิดหน่อยไม่ได้ที่วันนี้แสงไฟของเพื่อนบ้านไม่ได้ถูกเปิดสว่างแม้เวลาล่วงเข้าพลบค่ำเหมือนวันก่อนๆ หรือบางทีอ้ายอาจจะไม่อยู่ ไม่เป็นไร ไว้เจอเมื่อไรค่อยเข้าไปทักทายก็แล้วกัน ชายหนุ่มให้คำตอบกับตัวเองอย่างนั้น ก่อนละสายตาพาตัวเองเดินกลับเข้าไปอย่างไม่คิดจะสนใจอะไรอีก จนกระทั่งรุ่งเช้าที่กำลังออกไปทำงานตามปกติ เสียงดังโครมใหญ่ที่ดังมาจากบ้านข้างๆ เรียกให้เขาต้องชะงักฝีเท้าที่เตรียมจะก้าวแล้วหันกลับไปมอง สัญชาตญาณพาขาให้ก้าวยาวๆ ผ่านอาณาเขตเพียงแค่รั้วดอกไม้กั้นไปหยุดลงตรงหน้าประตูบ้านหลังข้างๆ มือหนาเคาะประตูไปสองสามโครมใหญ่ แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบสนิท “อ้าย อยู่ข้างในหรือเปล่า เปิดประตูหน่อย” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาคนที่คาดว่าอยู่ด้านใน ได้รับคำตอบเป็นน้ำเสียงสดใสบอกกลับมาว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนอยู่ในบ้าน แต่คนที่อยู่ในนั้นกลับเป็นเพื่อน เพื่อน…แล้วเพื่อนที่อ้ายว่านั้นเป็นอะไร ไม่มีเวลาพอให้คิดอีกต่อไปแล้ว เพราะเสียงแว่วอ่อนแรงที่ลอยมากระทบหู มันมีอำนาจมากพอทำให้เขาตัดสินใจพังประตูเข้าไปในที่สุด บางที ‘เพื่อน’ ที่อยู่ในนั้นอาจกำลังต้องการความช่วยเหลือ ความช่วยเหลือทีหมออย่างเขาอาจพอช่วยได้ แต่ทันทีที่บานประตูพังเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือร่างบางที่นอนไร้สติอยู่เชิงบันไดบนพื้น เพื่อนคนนั้น….. ‘มัดหมี่’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD