ความเชื่อส่วนบุคคล
ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยเครื่องสักการะบูชาและเครื่องรางของขลัง มีชายวัยกลางคนที่ชาวบ้านต่างพากันเคารพนับถือกำลังนั่งสมาธิเพื่อแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณหนึ่งเหมือนเช่นทุกวัน เขาทำแบบนี้มาตลอดระยะเวลานานนับสิบหกปีเพื่อให้วิญญาณดวงนั้นอาฆาตพยาบาทน้อยลง ขณะที่กำลังนั่งปล่อยจิตให้ว่างจู่ ๆ เปลือกตาหนาก็ลืมขึ้นฉับไวพร้อมกับเสียงเล็ก ๆ ดังเข้ามาในหู
“พ่อครูจ๋าเขาหลุดออกมาแล้ว” แม้เปียกุมารทองที่เลี้ยงไว้มานานถึงสิบหกปีจะไม่บอกพ่อครูก็รับรู้อยู่ดีว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นในหมู่บ้านแล้ว ร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาแม้อายุจะเข้าเลขห้าแล้วก็ตามแต่ก็ยังดูดีไม่ต่างจากตอนยังเป็นหนุ่มเลยสักนิดถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วดันตัวขึ้นเปิดหน้าต่างออกกว้างยืนกอดอกมองกลุ่มก้อนควันสีดำลอยขึ้นเหนือท้องฟ้าของหมู่บ้าน ก่อนจะร้องโหยหวนพุ่งตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง
พ่อครูยืนมองภาพตรงหน้านิ่ง ๆ ก่อนสายตาจะสะดุดยังเรือนหลังเล็กเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยืนกอดอกมองกลุ่มก้อนควันนั้นเช่นกัน ทางด้านสายฟ้าละสายตาจากกลุ่มควันดำมองหน้าพ่อเขาใบหน้านั้นเต็มไปด้วยคำถาม เพราะรับรู้ถึงอานุภาพของผีตนนั้นว่าไม่ใช่แค่ผีธรรมดาแน่ ๆ เมื่อเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้า ขายาว ๆ ก้าวเดินไปยังเรือนใหญ่ทันที ขณะเท้าข้างที่ถนัดกำลังจะก้าวขึ้นบันไดก็ต้องชะงักเมื่อคนเป็นพ่อเดินลงมาก่อนพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงจริงจัง
“พาพ่อไปเฮือนผู้ใหญ่ยศแหน่” (พาพ่อไปผู้ใหญ่ยศหน่อย) สายฟ้าได้ยินแบบนั้นก็ไม่คิดจะถามอะไรต่อรีบไปคว้ารถมอเตอร์ไซค์แล้วขับพาพ่อมุ่งตรงไปยังบ้านมียศทันที
รถเวฟคันเก่าของพ่อที่เครื่องยนต์ไม่แรงเท่ารถคู่ใจของเขาถูกคนตัวสูงบิดคันเร่งจนแทบหมดเข็มไมล์ทำเอาคนเป็นพ่อที่นั่งอยู่ด้านหลังเกือบหงายหลัง ต้องเอื้อมมือไปจับราวเหล็กกั้นตกเอาไว้แน่น ไม่นานสองพ่อลูกก็มาถึงหน้าบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้หลังใหญ่ที่ปิดไฟมืดสนิท...
ภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ นั้นเงียบสงัดไม่มีแม้แต่ชาวบ้านสักคนออกมาเดินเพ่นพ่านในช่วงเวลานี้ มีเพียงเสียงสายลมเย็น ๆ พัดปลิวสม่ำเสมอเป็นระดับเดียวกัน ดวงตาคมกริบมองไปรอบบริเวณบ้านในขณะที่สุนัขเลี้ยงของชาวบ้านเริ่มเห่าหอนกันดังระงมขึ้นเรื่อย ๆ พ่อครูจึงรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์แล้วเดินนำหน้าลูกชายเข้าไปภายในบริเวณบ้านมียศ
เป็นจังหวะเดียวกับประตูไม้เก่า ๆ เปิดออกกว้างโดยเจ้าของบ้านเมื่อมียศได้ยินเสียงหมาเห่าดังระงมมาจากทางหน้าบ้านจึงลุกออกมาดู แต่พอเห็นพ่อครูกับลูกชายของเขามาบ้านตนในเวลานี้คิ้วสองข้างจึงขมวดขึ้นเป็นปม ใจคอของชายสูงวัยเริ่มไม่ดีแต่ก็พยายามถามออกไปด้วยน้ำเสียงคงที่ซ่อนความตื่นตระหนกไว้ในใจ
“พ่อครูมีอีหยังคือมาเฮือนข่อยดึกดื่นปานนี้?” (พ่อครูมีอะไรทำไมถึงมาบ้านฉันดึกดื่นขนาดนี้?) แต่ทว่ามียศกลับไม่ได้คำตอบเพราะพ่อครูหันไปพูดกับลูกชายเขาแทน ประโยคที่พ่อครูพูดออกมามันยิ่งทำให้มียศใจคอไม่ดีไปใหญ่
“สายกลับไปเอาใบหนาดอยู่เฮือนให้พ่อแหน่สองใบ” (สายกลับไปเอาใบหนาดที่บ้านให้พ่อหน่อยสองใบ) ที่เขาต้องเอามาสองใบนั้นใบแรกพ่อครูจะเอามาให้มียศนำไปไว้ในห้องนอนน้ำมนต์ ส่วนใบที่สองจะใช้ขี้ผึ้งเขียนยันต์ไว้ที่ใบหนาดแล้วเอาแขวนไว้หน้าบ้านเพื่อไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาด้านในบริเวณบ้านได้
ทางด้านสายฟ้าเมื่อได้ยินคนเป็นพ่อสั่งก็ไม่รอช้ารีบขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านทันที ขณะที่ขับรถไปตามถนนเล็ก ๆ ไฟถนนของหมู่บ้านก็ติด ๆ ดับ ๆ ตลอดทางแต่อีกคนกลับไม่หวั่นเกรงบิดรถมุ่งหน้าไปบ้านเรือนไทยที่อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้านให้เร็วที่สุด...
บนชั้นสองของบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้มีร่างเล็กนอนขดอยู่บนที่นอนภายใต้มุ้งกันยุงขนาดพอดีกับที่นอน ไม่นานนักดวงตาคู่สวยก็ลืมขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อน ๆ กระทบผิวพัดเข้ามาทางหน้าต่างจนผ้าม่านสีขาวโปร่งปลิวสั่นไหว ดวงตาคู่สวยมองหน้าต่างไม้ที่เปิดอยู่จึงดันตัวลุกขึ้นเพื่อไปปิด
สองขาเรียวเล็กเดินไปหยุดยืนยังริมหน้าต่างได้ยินเสียงนกฮูกร้องดังขึ้นบรรยากาศดูวังเวงไม่น้อยแม้เธอจะไม่เคยเจอผีมาก่อน แต่จิตใต้สำนึกก็นึกกลัวเพราะจิตปรุงแต่ง น้ำมนต์จึงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วรีบเอื้อมมือออกไปด้านนอกเพื่อจับบานหน้าต่างปิด ในขณะที่ดวงตาคู่สวยนั้นมองออกไปข้างนอกเห็นไฟถนนติด ๆ ดับ ๆ อยู่ก็เสียวหลังวูบวาบ
มือเล็กจับบานหน้าต่างแน่นจากนั้นก็เตรียมจะดึงปิดแต่จู่ ๆ สายตาก็สะดุดเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อแส่วสีดำมีสไบสีขาวพาดบ่า ด้านล่างเป็นผ้าซิ่นสีน้ำตาลอมดำลายขิดสีแดงกำลังเดินออกจากบ้านของเธอ น้ำมนต์เห็นเพียงข้างหลังก็จำได้ทันทีว่าเป็นแม่ของเธอเพราะจำชุดที่มะลิสวมใส่ก่อนเผาได้ เมื่อเห็นแบบนั้นปากเล็กจึงรีบตะโกนเรียกคนเป็นแม่ทันทีด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
“แม่!” เมื่อแม่เธอหยุดชะงักเท้า น้ำมนต์จึงไม่รอช้ารีบวิ่งลงไปข้างล่างแบบไม่คิดชีวิตโดยเธอไม่รู้เลยว่าภาพในตอนนี้เป็นเรื่องจริงหรือเพียงความฝันเท่านั้น รู้เพียงว่าเธอคิดถึงแม่เธอแทบขาดใจอยากเข้าไปกอดท่านอีกครั้งแม้จะเป็นแค่ในฝันก็ตาม สองขาเรียวเล็กวิ่งออกมาจากบ้านหยุดยืนกลางถนน ดวงตาคู่สวยพยายามมองหาแม่ของเธอแต่ก็ไม่เห็นแล้ว
นัยน์ตาเริ่มร้อนผ่าวขาเรียวยาววิ่งไปหยุดยืนกลางทางสามแพร่ง ไม่นานนักก็เหลือบเห็นแม่ของเธอเดินอยู่บนถนนรองเท้าไม่สวมใส่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ของหมู่บ้าน น้ำมนต์จึงรีบวิ่งตามไปแบบไม่คิดขณะปากเล็กก็ขยับเรียกคนเป็นแม่ดังไม่ขาดสาย ส่วนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตาแห่งความคิดถึง...
“แม่จ๋า แม่จะไปไหนเหรอจ๊ะ แม่รอหนูด้วย” น้ำมนต์ทั้งวิ่งทั้งเรียกแต่แม่เธอก็ไม่คิดจะหยุดเดินแล้วหันมามองเลยสักนิด ร่างเล็กยังคงวิ่งตามไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กระทั่งถึงบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่
ดวงตาคู่สวยมองบรรยากาศรอบข้างที่ดูเงียบสงัดไม่มีแม้แต่ลมเคลื่อนไหวแต่กลับรู้สึกเย็นยะเยือกจนต้องยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองพลาง ๆ แล้วเดินตามแม่ของเธอไปหยุดอยู่หน้าบ้านทรุดโทรมหลังนั้น
“แม่จ๋า แม่มาที่นี่ทำไมเหรอจ๊ะ” เมื่อเห็นมือหยาบกร้านเอื้อมไปจับประตูไม้เก่า ๆ ปากเรียวเล็กจึงเอ่ยถามแต่อีกคนก็ไม่ยอมตอบเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่นานนักน้ำมนต์ก็ได้ยินเสียงแม่เธอสะอื้นไห้ราวกับคนกำลังจะขาดใจจน คนที่ได้ยินเจ็บปวดหัวใจแทน ก่อนตัวเธอจะทนฟังต่อไปไม่ได้จึงจะเดินเข้าไปสวมกอดแม่ของเธอทางด้านหลังทว่า...
เสียงร้องไห้จวนเจียนจะขาดใจเมื่อสักครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะแทน น้ำมนต์ได้แต่ยืนนิ่งเมื่อปรับอารมณ์ตามไม่ทัน ขณะที่ขนแขนทั้งสองข้างเริ่มลุกชูชันขึ้นเมื่อเสียงหัวเราะนั้นแทรกด้วยน้ำเสียงโหยหวนเย็นยะเยือกวังเวงใจและน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ น้ำมนต์ทำอะไรไม่ถูกดวงตาคู่สวยเอาแต่จ้องมองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากำลังหัวเราะจนไหล่สองข้างเขย่า ร่างเล็กกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากขณะที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้เริ่มสั่นด้วยความกลัว
ยิ่งคนด้านหน้าค่อย ๆ หันหน้ามามองเธอทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุดเพียงแค่เห็นใบหน้าแค่ครึ่งเดียวน้ำมนต์ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่แม่ของเธอ ขาเรียวยาวจึงรีบก้าวถอยหลังทันที ขณะที่หัวใจก็เต้นสั่นระรัวไม่หยุด กระทั่งผู้หญิงคนนั้นหันศีรษะมาแต่บนใบหน้านั้นกลับไม่ปรากฏเครื่องหน้าที่แสดงตัวบุคคลเห็นเพียงท้องโต ๆ ของเธอเท่านั้น ก่อนร่างนั้นจะวิ่งพุ่งมาหาน้ำมนต์ จนเธอต้องรีบหันหลังแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต
“เฮือก!” ร่างเล็กสะดุ้งตื่นดวงตากลมโตมองไปรอบห้องที่มืดสนิท ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดหนัก ๆ เมื่อรับรู้ว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น ก่อนจะมองไปยังประตูห้องที่ถูกเปิดเข้ามาจากคนด้านนอก แต่พอเห็นหน้าคนที่พึ่งเดินเข้ามาชัด ๆ คิ้วสองข้างก็ขมวดขึ้นเป็นปม กระทั่งคนเป็นแม่ที่สวมใส่ชุดคลุมท้องสีขาวเดินมาหยุดอยู่ปลายเตียงแล้วเอ่ยถามเธอที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นอนหลับสบายไหมลูก” น้ำเสียงเย็น ๆ เอ่ยถามขณะจ้องมองมาที่เธอไม่ละสายตา น้ำมนต์ได้แต่มองภาพด้านหน้าด้วยความสับสนกระทั่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของแม่เธอแปรเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มจนน่ากลัวทำเอาร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกกลัว จึงจะดันตัวลุกขึ้นเพื่อวิ่งออกไปข้างนอก แต่เป็นเวลาอันแสนสั้นเท่านั้นคนที่เธอเห็นเป็นแม่ในคราแรกก็กระโดดมานั่งทับตัวไม่ให้ลุกไปไหน จากนั้นก็ค่อย ๆ ยืนคร่อมตัวแล้วกรีดร้องโหยหวนออกมาดังลั่นคล้ายเจ็บปวดทรมานมาก
น้ำมนต์ได้แต่นอนแน่นิ่งสติสตังกระเจิดกระเจิง ยิ่งสายตาเหลือบขึ้นเห็นผู้หญิงคนนั้นไม่มีหูตาจมูกปากก็ยิ่งกลัวจับใจ ถึงแม้จะไม่เห็นสีหน้าและแววตาของผู้หญิงคนนั้นแต่น้ำมนต์ก็รับรู้ได้ว่าเขามองเธอด้วยความอาฆาตแค้นมาก
หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นสั่นระรัวไม่หยุดขณะดวงตากลมนั้นเต็มไปด้วยน้ำสีใสหลั่งไหลออกมาด้วยความกลัวเพราะไม่เคยพบเจอเหตุการณ์น่ากลัวเท่านี้มาก่อน น้ำมนต์อยากขยับหนีออกมาแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างเล็กนอนตัวสั่นก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อปิดหน้าเมื่อทนมองภาพด้านหน้าต่อไปไม่ได้ แต่จังหวะที่เธอกำลังจะยกมือขึ้นผู้หญิงคนนั้นเบ่งท้องทำให้ลูกและรกของเธอหลุดออกมาทางช่องคลอดร่วงใส่หน้าเธอจึงร้องกรี๊ด ออกมาด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด
“กรี๊ด!”