หลังจากน้ำมนต์กลับมาถึงบ้านไม่นานมียศก็ออกไปวัดในช่วงเย็น น้ำมนต์จึงอยู่บ้านคนเดียว ร่างเล็กขะมักเขม้นทำกับข้าวอยู่ในครัวเพื่อให้เสร็จก่อนตาของเธอจะกลับมาถึง กระทั่งแสงอาทิตย์ลับฟ้าคนตัวเล็กก็เดินออกมาจากครัวเมื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อยและเป็นจังหวะที่รถกระบะสีดำขับเข้ามาในบ้านพอดี น้ำมนต์จึงรีบหาฝาชีมาครอบกับข้าวไว้แล้วเดินไปรอมียศที่หน้าบ้านก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“ตาจะกินข้าวเลยไหม?”
“กินเลยก็ได้” ไม่อยากให้ดึกเกินไปเพราะดูบรรยากาศครึ้ม ๆ เหมือนฝนกำลังจะมาเกรงว่าไฟฟ้าจะดับเอาจนต้องจุดเทียนนั่งกินข้าวอีก สองตาหลานนั่งกินข้าวกันอย่างมีความสุขแม้จะมีกันอยู่สองคนในตอนนี้ก็ตาม หลังจากกินข้าวเสร็จน้ำมนต์ก็เก็บจานไปล้าง แล้วไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยจากนั้นก็เข้านอนปกติ...
ช่วงเวลาเดียวกันมีชายวัยกลางคน คนหนึ่งกำลังนั่งทุกข์ระทมใจเมื่อเมียรักได้หอบลูกหนีไปแบบไม่มีวันกลับ แม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนแต่เขาก็ยังคิดถึงไม่จางหาย ส่วยมองไปรอบบ้านหลังเล็กที่เต็มไปด้วยภาพทรงจำของเขาและลูกเมียก่อนน้ำตาจะไหลออกมา ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างไร้เหตุผล มือหยาบกร้านที่สั่นเทาเอื้อมไปหยิบขวดเหล้าที่วางอยู่ด้านข้างมากระดกดื่มทว่ามันกลับไม่เหลือสักหยดจึงโยนขวดสีน้ำตาลกระแทกกับผนังปูนด้วยความโมโหทำเอาเศษแก้วแตกกระจายเต็มพื้น
ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นไปหาข้าวกินด้วยสภาพอิดโรย เนื่องจากไม่ยอมทำอะไรเลยนอกจากนั่งกินเหล้าทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันมานับเดือนจนสติฟั่นเฟือน แต่พอเข้าไปในครัวเพื่อหาข้าวปลากินประทังชีวิตก็พบกับความว่างเปล่า แม้แต่ข้าวสารสักเม็ดให้หุงหาก็ยังไม่มี ด้วยความหิวจนไส้จะขาดส่วยจึงเดินออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังวัดเพื่อขอเงินพระไปซื้อข้าวและเหล้ากิน
สองขาเดินโซซัดโซเซไปตามถนนเล็ก ๆ ที่มีไฟไล่ทางส่องแสงสว่างพอให้เห็นข้างหน้าเพียงรำไร ไม่นานนักก็มาถึงที่หมายก่อนจะพาตัวเองไปนั่งอยู่บนบันไดไม้หน้ากุฏิพระสมพงษ์เจ้าอาวาสของวัด ขณะพระสมพงษ์กำลังนั่งอ่านบทสวดพึ่งเสร็จกำลังจะจำวัด ทว่าได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากหน้ากุฏิจึงเปิดประตูออกไปดูเห็นส่วยนั่งมือสั่นเทาอยู่ท่านจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
“เป็นหยังคือมานั่งอยู่นี่ล่ะโยมส่วย” (ทำไมถึงมานั่งอยู่นี่ล่ะโยมส่วย) ทางด้านส่วยพอได้ยินเสียงพระสมพงษ์จึงรีบหันไปมองด้วยสีหน้าแววตาอิดโรยแล้วตอบออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หลวงพ่อข่อยหิวข้าวแฮง ขอเงินไปซื้อข้าวกินแหน่” (หลวงพ่อฉันหิวข้าวมาก ขอเงินไปซื้อข้าวกินหน่อย) พระสมพงษ์มองส่วยพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะรู้ดีหากให้เงินเขาไปในเวลานี้ก็คงไม่มีร้านไหนเปิดขายข้าวหรอก แล้วที่อีกคนขอก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อข้าวกินแน่
“คั่นโยมหิวเดี๋ยวให้เด็กวัดพาไปหาอาหารแห้งในครัวกินกะได้” (ถ้าโยมหิวเดี๋ยวให้เด็กวัดพาไปหาอาหารแห้งในครัวกินก็ได้) คนหิวเหล้ามากกว่าข้าวพอได้ยินแบบนั้นก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไรเพราะถ้าหากหลวงพ่อไม่ให้เงินไปซื้อข้าวตัวเขาก็จะไม่ได้กินเหล้าด้วยจึงพูดย้ำขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“บ่! เดี๋ยวข่อยไปซื้อกินเอง หลวงพ่อเอาเงินมาให้กะพอ” (ไม่! เดี๋ยวฉันไปซื้อกินเอง หลวงพ่อเอาเงินมาก็พอ)
“เหล้ามันกินมากบ่ดีดอก คั่นหิวข้าวแฮงกะไปหาอาหารแห้งในครัวกินพู้น” (เหล้ามันกินมากไม่ดี ถ้าหิวข้าวมากก็ไปหาอาหารแห้งในครัวกินนู่น) พูดจบพระสมพงษ์จะเดินกลับเข้าไปในกุฏิเพื่อพักผ่อน ส่วนส่วยเมื่อได้ยินแบบนั้นก็โมโหไม่น้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงลุกขึ้นเพื่อเดินออกจากวัดทั้งที่มือสองข้างยังคงสั่นเทาเพราะร่างกายต้องการแอลกอฮอล์มาก หูเริ่มแว่ว ตาเริ่มพร่ามัวเหมือนจะอาเจียนเนื่องจากผลข้างเคียงของคนติดเหล้า
ก่อนจะได้ยินเสียงหมาเห่าจึงช้อนตาขึ้นมองตรงไปข้างหน้าเห็นทางเข้าไปยังป่าช้าใหญ่ ทำให้ภาพในอดีตย้อนกลับมาด้วยความหิวกระหายที่ไม่อาจฝืนทน ชายวัยกลางคนผู้ไม่กลัวผีสางตนใดไปมากกว่าการไม่ได้กินเหล้าหันไปคว้าจอบที่พิงอยู่ที่ต้นไม้ขึ้นพาดบ่าแล้วเดินมุ่งหน้าเข้าไปในป่าช้าทันที
ทางด้านสิงห์หลังจากอาบน้ำเสร็จเมื่อได้ยินเสียงมาเห่าหอนดังระงมมาทางป่าช้าจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นเงาดำตะคุ่มไม่แน่ใจว่าเป็นคนหรือผีกันแน่จึงรีบเดินไปที่กุฏิหลวงพี่มอสพระลูกวัดทันที…
ชายวัยกลางคนถือจอบเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในป้าช้าจุดประสงค์เพื่อไปเอาบางอย่าง ไม่นานก็หยุดยืนอยู่หน้าหลุมศพที่มีป้ายชื่อผู้ตายติดอยู่ เนื่องจากเป็นศพตายทั้งกลมและไร้ญาติจึงไม่ได้ทำการเผาแต่ได้ทำการสะกดวิญญาณไว้แล้ว ส่วยยืนมองหลุมศพนั้นครู่หนึ่งภาพในอดีตก็หวนมาในวันที่เขายกศพใส่โลงดวงตาเหลือบไปเห็นมือศพที่ประสานกันแน่นถูกพันด้วยสายสิญจน์มีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในมือ ส่วยจึงไม่รอช้าจัดการขุดหลุมทันที
มือสองข้างที่สั่นเทาจับจอบให้มั่นแล้วขุดหลุมศพอย่างมุ่งมั่นแม้จะยากลำบากแค่ไหนแต่ก็ไม่ย่อท้อยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำต่อ ใช้เวลาพอสมควรก็ขุดหลุมศพที่ไม่มีใครคิดจะกล้าเข้ามายุ่งจนสำเร็จ ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองโลงผุพัง จากนั้นก็ไม่รีรอคว้าจอบมางัดฝาโลงเปิดออกทำให้ได้กลิ่นสาบของศพลอยขึ้นแตะจมูกแม้ศพนั้นจะเหลือเพียงกระดูกสีดำแห้งกรังเท่านั้นก็ตาม...
ชายวัยกลางคนงัดฝาโลงเปิดออกกว้างขึ้นทำให้เห็นศพที่เหลือแต่กระดูกมือสองข้างยังคงพนมเพราะถูกพันด้วยสายสิญจน์มัดไว้ไม่คลายออกเหมือนเมื่อครั้นสิบหกปีที่ผ่านมา เมื่อเห็นเงินจำนวนหนึ่งถูกกุมเอาไว้แน่นยังคงอยู่จึงไม่รอช้าจัดการตัดสายสิญจน์ออกแล้วรีบหยิบเงินยัดใส่กระเป๋ากางเกง จากนั้นก็รีบปิดฝาโล่งไว้อย่างเก่าทำทุกอย่างด้วยความเร่งรีบเพราะกลัวชาวบ้านจะเข้ามาเห็น
ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังกลบดินเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงหมาเห่าหอนดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ลมในป่าช้าจากที่พัดปลิว สัตว์แมลงที่เคยเคลื่อนที่จู่ ๆ ก็หยุดนิ่งโดยไร้เหตุ ส่วยยังคงตั้งหน้าตั้งตากลบดินต่อกระทั่งเสร็จสรรพจากนั้นก็รีบเดินออกจากป่าช้าไปทันที…
โลกมืดมิดปิดตัวทั่วพิภพ ดวงจิตหนึ่งต้องทนทุกข์ทรมานทั้งกายใจไม่มีใครใคร่รู้เท่าในใจเธอ แม้วันคืนจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ภายในใจก็ยังอาฆาตแค้นพยาบาทขุ่นเคืองไม่จางหาย ยิ่งเห็นลูกอีตนชั่วยังอยู่สุขสบาย ก็อยากให้มันทุกข์ระทมช้ำใจตกตายตามแม่มันไป...
วิภายืนอยู่บนหลุมศพตัวเองในชุดคลุมท้องสีขาว สายตาเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น แม้วันเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม...
วิภาคือใคร...?
แล้วเกี่ยวอะไรกับน้ำมนต์...?
(ใครรอฉากหวาน ๆ มีแน่นอนค่ะ)
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรักที่แทรกไสยศาสตร์นะคะ ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับไรท์มาก ๆ
อยากให้ลองเปิดใจอ่านนะคะ