ความเชื่อส่วนบุคคล
สายลมในยามดึกพัดผ่านไปตามกระแสลม ขณะที่เวลายามค่ำคืนยังคงเดินไปเรื่อย ๆ จวบจนจะถึงรุ่งสาง ร่างเล็กนอนหลับใหลอยู่ภายในมุ้งสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่ พอได้ยินเสียงเด็กดังมาจากข้างล่างดวงตาคู่สวยก็ลืมขึ้น เมื่อเห็นว่าสว่างแล้วน้ำมนต์ก็ดันตัวลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง ก่อนจะเห็นเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ผิวขาว ๆ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูกำลังวิ่งเล่นกับแม่ของเธออยู่หน้าบ้านด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
ไม่นานก็มีรถเก๋งคันหนึ่งขับมาจอดหน้าบ้านหลังนั้น สองแม่ลูกจึงหันไปมองผู้ชายคนนั้นที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบลงมาจากรถ พอเด็กน้อยเห็นก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดพร้อมกับเรียกเขาคนนั้นว่า
‘พ่อ’ น้ำมนต์มองภาพด้านล่างด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวนนึกถึงตัวเองตอนยังเป็นเด็กในวันที่พ่อเธอกลับมาบ้านเธอก็มักจะวิ่งไปกอดท่านแบบนั้น
‘พ่อมีของมาให้ด้วยอยากเห็นไหม?’
‘อยากเห็นค่ะ’ เด็กน้อยตอบด้วยท่าทีดีใจก่อนที่พ่อเธอจะเดินกลับไปที่รถเก๋งแล้วถือกล่องใบใหญ่ลงมา จากนั้นทั้งสามก็เดินไปนั่งที่แคร่ไม้หน้าบ้าน คนเป็นพ่อก็เปิดกล่องทำให้เด็กน้อยเห็นเค้กเจ้าหญิงก้อนโตจึงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจในขณะที่พ่อแม่ของเธอได้แต่มองด้วยความเอ็นดู
‘ชอบไหมลูก?’
‘ชอบค่ะ หนูชอบวันเกิดที่สุดเลยหนูอยากให้มีงานวันเกิดทุกวันหนูจะได้เป่าเค้ก’ เด็กน้อยหน้าตาน่ารักเอ่ยตอบพ่อด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ ก่อนที่พ่อของเธอจะจุดเทียนเลขหกซึ่งเป็นอายุของเธอที่ปักอยู่บนเค้ก จากนั้นเขาและเมียก็ช่วยกันถือเค้กเจ้าหญิงไปนั่งลงด้านหน้าลูกสาวอันเป็นที่รัก...
น้ำมนต์เกาะขอบหน้าต่างนั่งมองภาพด้านหน้าด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตาแห่งความสุข อยากย้อนกลับไปในตอนที่ยังเป็นเด็กแบบนี้บ้าง ซึ่งตอนนั้นเธอจำได้ว่าเธอก็มีความสุขไม่ต่างจากเด็กน้อยคนนั้นเลย
‘น้ำมนต์เป่าเทียนได้แล้วลูก’ ขณะน้ำมนต์นั่งมองภาพด้านหน้าอยู่พอได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดกับลูกของเธอคิ้วสองข้างก็ขมวดขึ้นเป็นปมเพราะไม่คิดว่าเด็กน้อยคนนั้นจะบังเอิญชื่อเหมือนเธอขนาดนี้ แต่น้ำมนต์ก็เลือกที่จะไม่สนใจ ดวงตาคู่สวยยังคงมองภาพด้านล่างกระทั่งเด็กน้อยคนนั้นเป่าเทียนจู่ ๆ ควันมากมายก็ลอยเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เธอมองไม่เห็นอะไรเลยจึงรีบขยี้ตาแรง ๆ เพื่อมองครอบครัวนั้นอีกครั้งกระทั่งหมอกควันสีขาวค่อย ๆ จางหายไป
บรรยากาศที่เคยสว่างจ้าในคราแรกแทนที่ด้วยความมืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาด้านในแถมยังอึดอัดมากเหมือนนอนขดอยู่ในที่คับแคบมีผนังสี่ด้านล้อมรอบ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบคล้ายศพเน่าลอยอบอวลอยู่รอบตัวจนร่างเล็กเริ่มหวาดกลัว น้ำมนต์พยายามผลักดันผนังที่อยู่ด้านหน้าออกแต่ก็ไม่เป็นผล ปากเล็กพยายามส่งเสียงร้องเพื่อให้คนด้านนอกได้ยินแต่ก็ดูเหมือนจะไร้วี่แวว
เธอไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นเพียงความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ รู้เพียงว่ามันช่างโดดเดี่ยวและน่ากลัวเอามาก ๆ มือเล็กพยายามทุบผนังกั้นที่อยู่ด้านหน้าและส่งเสียงร้องไม่หยุด ขณะที่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลหลั่งออกมา ไม่นานก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างนอก น้ำมนต์จึงหยุดทุบแล้วยกมือขึ้นปิดปากทั้งที่หัวใจดวงน้อยเต้นสั่นระรัวไม่หยุดจนเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอก
ขณะนั้นดวงตาก็จ้องมองผนังที่เธอพยายามทุบในคราแรกดังกึกกึกค่อย ๆ เลื่อนออกช้า ๆ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามันเปิดออกได้ยังไง กระทั่งมองเห็นภาพเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ใบไม้กำลังพัดปลิวพลิ้วไหวฝูงนกน้อยใหญ่บินแตกตื่นร้องดังระงม บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจ ร่างเล็กนอนมองภาพด้านหน้าด้วยความรู้สึกสับสนและหวาดกลัว เมื่อมองตรงหน้าขัดเจนมากขึ้นจึงได้รู้ตัวว่าในตอนนี้ร่างของเธอกำลังนอนในโลงศพ และผนังที่เธอทุบก็คือฝาโลง... ก่อนจะได้ยินเสียงร้องวี้ด ๆ ฟังแล้วโหยหวนมาตามสายลม อีกทั้งเสียงฝีเท้าจำนวนมากกำลังเดินมุ่งตรงมาที่เธอ น้ำมนต์จึงตัดสินใจดันตัวเพื่อลุกขึ้นแต่เป็นเวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้นฝาโลงก็ปิดลงอีกครั้ง
มือเล็กสั่นเทาจึงยกขึ้นทาบหน้าอกด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก น้ำตาสองข้างหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสาย ก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างกระโจนมาอยู่บนฝาโลงตรงที่เธอนอนแล้วตามมาด้วยเท้าหนัก ๆ คู่หนึ่งกระโดดกระทืบผนังด้านบนที่กั้นไว้เพียงบาง ๆ ซ้ำ ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นไม่หยุด จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสะอื้นไห้ดังโหยหวนครวญครางเหมือนจะขาดใจทั้งที่ยังกระโดดกระทืบฝาโลงอย่างบ้าคลั่งจนเหมือนมันจะพังลงมา
ทำเอาคนตัวเล็กนอนหวาดกลัวจนตัวสั่นขวัญแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ยิ่งได้ยินเสียงหนูจำนวนมากเหมือนว่ามีเป็นร้อย ๆ ตัววิ่งร้องกันเสียงดังระงมรอบตัวเธอจนต้องรีบยกมือขึ้นปิดหูแล้วร้องกรี๊ดออกมาอย่างสุดจะทน...
ก่อนรุ่งสางมียศรู้สึกตัวตื่นกำลังเดินออกไปเข้าห้องน้ำ แต่รู้สึกตงิดใจจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เมื่อเห็นประตูห้องนอนของน้ำมนต์เปิดอยู่คิ้วสองข้างจึงขมวดขึ้นเป็นปมก่อนจะรีบเดินขึ้นไปข้างบนพอไม่เห็นหลานสาวนอนอยู่ในห้องภายในใจก็เริ่มกระวนกระวายไปหมดจึงรีบลงไปข้างล่างคว้าเสื้อมาสวมใส่แล้วหยิบกุญแจรถเดินออกไปข้างนอกบ้านทันที...
ทางด้านพ่อครูขณะหลับใหลอยู่พอได้ยินเสียงเปียเอ่ยบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นผ่านกระแสจิต ดวงตาคมกริบก็ลืมขึ้น ทางด้านเมียพ่อครูเมื่อเห็นสามีตื่นด้วยทางทีร้อนรนจึงเอ่ยถามทั้งที่ยังงัวเงียอยู่
“มีอะไรเหรอพี่พา?”
“ไปตามลูกมานี่หน่อย” ฟ้าใหม่เห็นสีหน้าสามีดูไม่ค่อยดีจึงรีบหยิบเสื้อมาคลุมไหล่แล้วออกไปตามสายฟ้าทันที
ทางด้านสายฟ้าเมื่อโดนปลุกเขาก็รีบเดินนำหน้าแม่ไปยังเรือนใหญ่ เป็นจังหวะเดียวกับที่แสงไฟหน้ารถสีส้มสาดเข้ามาในบ้านพอดี เจ้าของใบหน้าเหล่อเหลาจึงหันไปมองเห็นมียศเดินลงจากรถไปยังบันไดด้วยสีหน้าร้อนใจสายฟ้าจึงเดินตามขึ้นไป...
พ่อครูนั่งอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อทำจิตให้สงบปล่อยวางทุกอย่างให้โล่งเพื่อพาดวงจิตตนไปยังที่หนึ่ง เมื่อกุมารทองไม่สามารถมองเห็นได้ว่าตอนนี้น้ำมนต์อยู่ที่ไหน เขามองเห็นเพียงร่างไร้จิตเธอเดินออกมาจากบ้านเท่านั้น พ่อครูเดินย่ำเข้าไปในป่าช้าใหญ่ของหมู่บ้าน สอดส่ายสายตาพยายามมองหาน้ำมนต์ว่าตอนนี้เธออยู่แห่งหนไหนแต่ก็ไม่เจอ สองขายังคงเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงหลุมศพของวิภาแต่ก็ไม่เห็นน้ำมนต์ ดวงตาคบกริบของผู้เก่งกาจในวิชาไสยเวทมองไปรอบ ๆ กระทั่งสะดุดกับโลงไม้เก่า ๆ สภาพผุพังตั้งอยู่ พ่อครูจึงจะเดินไปใกล้ ๆ เพื่อเปิดออก แต่เท้าสองข้างก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นดวงวิญญาณที่อาฆาตแค้นมานานกว่าสิบหกปียืนเหยียบโลงนั้นไว้พร้อมกับชี้หน้าพ่อครูด้วยความไม่เกรงกลัวเปล่งเสียงพูดออกมาด้วยความคับแค้นใจที่ฝังอยู่กลางอก
“มึงอย่ามายุ่ง!”
“ปล่อยเขาไปเถอะ”
“มึงไม่ต้องมาเสือกเรื่องของคนอื่น” พ่อครูเห็นวิภาไม่มีทีท่าจะยอมจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วนั่งลงด้านหน้าวิญญาณดวงนั้น มือหยาบกร้านยกขึ้นประนมก่อนจะสื่อจิตถึงลูกชาย...
ด้านสายฟ้านั่งชันเข่าพิงฝาบ้านมองคนเป็นพ่อที่นั่งสมาธิอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยม ก่อนจะได้เสียงแว่วเข้ามาในหูเป็นน้ำเสียงแผ่วเบาเย็น ๆ แต่หนักแน่นในที ก็รับรู้ทันทีว่าเป็นใคร เมื่อได้ยินคำบอกกล่าวของพ่อสายฟ้าจึงไม่รอช้าเดินไปหยิบกุญแจรถในห้องนอนของแม่แล้ววิ่งลงไปคว้าจอบหลังบ้านขับรถเก๋งมุ่งตรงไปยังป่าช้าใหญ่ของหมู่บ้านทันที
ขายาว ๆ ก้าวเดินเข้าไปในป่าลึกโดยที่ไม่เกรงกลัวผีสางตนใด แววตามุ่งมั่นมีความคิดเดียวในตอนนี้คือเข้าไปช่วยน้ำมนต์ให้เร็วที่สุด ตลอดทางเดินมีสายลมเย็น ๆ กระทบผิวเย็นยะเยือกไม่ขาดสายอีกทั้งเสียงนก แสกร้องเสียงดังระงมเหนือศีรษะแต่ก็ไม่ทำให้อีกคนหวั่นเกรง เมื่อย่างก้าวเข้ามาในป่าช้าลึกสายฟ้าก็พยายามมองหาโลงศพของชาวบ้านที่พึ่งตายได้ไม่กี่วันเนื่องจากญาติสงสัยในสาเหตุการตายและยังหาข้อสรุปไม่ได้จึงนำศพกลับไปชันสูตรอีกครั้ง
ตาคมกริบรับกับใบหน้าหล่อเหลาพยายามมองหาตามที่คนเป็นพ่อบอกแต่ก็ไม่เจอ ร่างสูงโปร่งนั้นพยายามสูดดมกลิ่นแต่ก็ได้เพียงกลิ่นศพเหม็นอ่อน ๆ โชยมาเพียงบางเบาเนื่องจากเสียชีวิตมานานแล้ว แต่ยังไม่เจอกลิ่นศพเหม็นเน่าจวนเจียนจะอ้วก...
ทางด้านพ่อครูหลังจากเอ่ยบอกลูกชายให้ไปช่วยน้ำมนต์แล้วก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองดวงวิญญาณด้านหน้า ก่อนจะประนมมือขึ้นตั้งจิตให้มั่นขออาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ให้ภูตผีเลิกแล้วต่อกัน จบเป็นวิญญาณไปแล้วก็อยู่ส่วนวิญญาณอย่ามาผูกจิตยึดติดคิดอาฆาตแค้นต่อกัน เมื่อปล่อยจิตให้ว่างพ่อครูก็เตรียมเปล่งเสียงบทสวดแผ่เมตตาออกมาเพื่อให้วิภาคลายความอาฆาตแค้นลง
“อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ...”
“กูไม่เอาไม่ต้องมาสวดให้กู”
ทางด้านสายฟ้าขณะที่เขากำลังเดินวนไปวนมาเพื่อหาโลงศพแต่ก็ไม่เจอจนเริ่มโมโห จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงเลือกนั่งลงที่พื้นดินปล่อยจิตให้ว่าง เมื่อจิตรวมกันเป็นหนึ่งก็เปล่งบทสวดไล่ดวงวิญญาณออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แม้จะไม่อยากสวดไล่เพราะมีผลกระทบกับวิญญาณดวงอื่นก็ตาม...
“พุท ธัง กันจะ ธรรมมัง กันจะ สังฆัง กันจะ นะระ นะจะ...”
ริมฝีปากหนาขยับท่องบทสวดออกมาเสียงดังก้องกังวานไม่ขาดสาย ต้นไม้น้อยใหญ่สั่นไหวตามแรงลม ดวงวิญญาณที่ไม่แข่งพอก็ไม่อาจทนต่อเสียงสวดได้ต่างพากันหนีแตกกระเจิง กรามสองข้างขบกันแน่นด้วยความโกรธกรุ่นเมื่อวิญญาณอาฆาตแค้นนั้นยังไม่หยุดบังตาเขา เพราะสำหรับสายฟ้าแล้วพ่อเขาเป็นเหมือนพายุที่คอยปัดเป่าทุกอย่างให้สงบลง ส่วนตัวเขาพร้อมฟาดฟันทุกอย่างที่เข้ามาขวางจนกว่ามันจะมอดไหม้ตายกันไปข้างหนึ่ง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดยังคงเปล่งออกมาไม่หยุด กระทั่งได้กลิ่นศพเหม็นเน่าลอยมาจากทิศเหนือตาคมจึงลืมขึ้นมองเห็นโลงศพผุพังวางอยู่ จึงรีบลุกขึ้นคว้าจอบเพื่องัดฝาโลงเปิดออกก่อนจะได้ยินน้ำเสียงเดือดดาลแทบคลั่งดังเข้ามาในหู
“มึงอย่าคิดว่าจะช่วยมันได้ ยังไงกูก็จะเอามันให้ถึงตายเหมือนแม่มัน” ดวงวิญญาณอาฆาตพยาบาทบันดาลโทสะออกมาด้วยความโกรธ เมื่อรับรู้ถึงแรงแกร่งกล้าของลูกชายผู้เก่งกาจที่เคยสะกดจิตตนไว้เข้ามายุ่งเรื่องนี้ก่อนจะค่อย ๆ หายไป
สายฟ้าไม่คิดจะสนใจ ดวงตาจ้องมองไปยังโลงนั้นอย่างน่ากลัว ก่อนจะจับจอบมางัดฝาโลงเปิดออกกระทั่งเห็นร่างเล็กนอนสลบขดตัวอยู่ด้านในมือสองข้างยกขึ้นปิดหูเอาไว้แน่น เขาจึงรีบอุ้มน้ำมนต์ออกจากโลงแล้วเดินออกไปจากป่าช้าทันที...
หลังจากสายฟ้าพาน้ำมนต์มาถึงบ้าน ฟ้าใหม่ก็รีบช่วยทำความสะอาดเนื้อตัวให้เธอทั้งที่ร่างเล็กยังไม่ฟื้นคืนสติ ส่วนบรรยากาศด้านนอกห้องนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเมื่อคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ดี สายฟ้านั่งขวางบันไดเพื่อฟังผู้ใหญ่สองคนคุยกันสักพักกระทั่งทนไม่ไหวกับกลิ่นเหม็นสาบที่ติดตัวจึงรีบไปอาบน้ำทันที
“เรื่องที่เกิดขึ้นมื้อนี้สิมีทางไหนช่วยน้ำมนต์ได้บ่พ่อครู” (เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้จะมีทางไหนช่วยน้ำมนต์ได้บ้างไหมพ่อครู) เพราะนับวันมันยิ่งหนักขึ้นไปทุกที ทั้งที่พ่อครูให้ของดีน้ำมนต์พกติดตัวไว้แล้วก็ตามแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย พ่อครูนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงคงที่
“มี ต้องให้หลานผู้ใหญ่มาอยู่นี่จักคร่าวก่อน” (มี ต้องให้หลานผู้ใหญ่มาอยู่ที่นี่สักพักก่อน) เหตุที่ต้องให้น้ำมนต์มาอยู่ที่นี่เพราะช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณวิภาดับลงเป็นวันเดียวกันกับวันตกฟากของน้ำมนต์ จึงทำให้ดวงชะตาของทั้งคู่สัมพันธ์กันบวกกับแรงอาฆาตแค้นจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ในใจจึงทำให้ทั้งสองเชื่อมโยงถึงกันได้ง่าย
ทางด้านมียศแม้จะไม่อยากให้หลานมาอยู่ที่นี่แต่หากมันจะช่วยน้ำมนต์ได้ก็จำต้องยอม...
“คั่นมาอยู่นี่สิช่วยได้แม่นบ่?” (ถ้ามาอยู่ที่นี่จะช่วยได้ใช่ไหม) พ่อครูไม่ได้ตอบแต่พยักหน้ากลับไปเบา ๆ
“โดนเบาะ?” (นานไหม?)
“ให้ผ่านช่วงวันเกิดน้ำมนต์ไปสักอาทิตย์ก่อนกะสิดีขึ้น” (ให้ผ่านช่วงวันเกิดน้ำมนต์ไปสักอาทิตย์ก่อนก็จะดีขึ้น)
ผู้ใหญ่สองคนนั่งคุยกันจนเกือบรุ่งสางมียศจึงรีบกลับไปบ้านเพื่อเอาเสื้อผ้าของน้ำมนต์มาให้ ฟ้าใหม่ก็ลงไปอาบน้ำให้ตาแจ้ง หลังจากนั่งเช็ดตัวและเฝ้าน้ำมนต์จนสว่างซึ่งไม่ต่างจากพ่อครูที่กำลังนั่งล้างหน้าแปรงฟันอยู่ข้างโอ่งที่ชานบ้านหลังจากมียศกลับบ้านไป
ส่วนสายฟ้าหลังจากกลับมาอาบน้ำที่เรือนเล็กภายในห้องของเขาก็เข้าไปนอนต่อ...