คุณหญิงรินเดินทางกลับมาที่บ้านในเวลาต่อมา ท่านยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีที่กำลังจะสมหวังในสิ่งที่หวังไว้ เธอเล็งไว้แล้วว่าลูกสะใภ้จะต้องเป็นหนูนาเดียคนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครหน้าไหนก็จะไม่ได้มายืนอยู่ในฐานะนั้นเด็ดขาด
“คุณแม่อารมณ์ดีเชียวนะครับ”
คุณหญิงชะงักไปก่อนจะหันไปมองหน้าลูกชายที่ยืนกอดอกมองเธออยู่ตรงหน้าประตู
“แน่นอนสิ มีอะไรจ๊ะลูกชาย”
“ส่งเลขาที่ไหนมาให้ผม”
เขาเอ่ยถามอย่างจับผิด ที่ถามไม่ใช่เพราะไม่โอเคกับการส่งเลขามาช่วยงานแต่เกรงว่าจะส่งมาจับผิดมากกว่า คุณแม่ของเขาคงกลัวว่าเขาจะมีผู้หญิงอื่นแล้วลูกสะใภ้ที่หมายปองไว้จะไม่สมหวัง
“มีคนฝากมาน่ะคนรู้จักกัน ทำงานเก่งภาษาดีเลิศมากฝากทดลองงานกับลูกไง”
“แล้วทำไมไม่สมัครอย่างคนอื่นเค้า เดินไปยื่นฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์งานอย่างคนปกติไม่ได้หรือไง ผมไม่อยากให้มีเส้นสายในบริษัท”
“อย่าเยอะมากนักตามิน แม่ฝากนาเดียคนเดียวเองจะอะไรนักหนา”
เขาชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อนาเดีย เขาหันไปมองคุณแม่อย่างต้องการคำตอบ
“นาเดียเหรอครับ…”
“ทำไมเหรอ ชื่อคุ้นเคยเหรอไง”
“น้องเรียนอยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ”
มินจ้องหน้าคนเป็นแม่อย่างจับผิด ท่านหลบสายตาลูกชายกระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามในสิ่งที่เขาอยากรู้
“ไม่ใช่น้องหรอก หลานคนรู้จักอีกคนนะเขาฝากมา แกก็ช่วยสอนงานน้องด้วย อย่าไปร้ายใส่ล่ะผู้ช่วยแกบอกว่าเลขาคนไหนก็ไม่อดทน อะไรจะขนาดนั้น”
คนเป็นแม่เอ่ยดุลูกชาย เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“เลือกมาแต่ละคนเน้นสวยแต่ทำงานห่วยแตก ผมต้องการคนที่สวยแล้วก็ฉลาดครับไม่ใช่สวยแต่ทำอะไรไม่เป็น”
“คนนี้แหละสวยและฉลาดมากถูกใจแกแน่นอน”
คุณหญิงรินเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะเดินออกไปทันทีทิ้งให้ลูกชายมองตามอย่างแปลกใจ ก็หวังว่าจะฝากทำงานอย่างเดียวไม่ใช่พามาจับผิดเขาถึงที่ทำงานนะ
สองวันต่อมา…
นาเดียตื่นนอนแต่เช้าลุกขึ้นมาแต่งตัวไปทำงานวันแรก เมื่อวานเธอไปช็อปปิ้งมาแล้วก็ซื้อโทรศัพท์อีกเครื่องเอาไว้ใช้ทำงานไม่อย่างนั้นพี่มินจับได้แน่นอน เธอซื้อแว่นตาชุดคุณป้าหลายชุด รองเท้าคัทชูอีกสองคู่เอาไว้ใช้ไปทำงานโดยเฉพาะ เชื่อสิว่าพี่มินจำเธอไม่ได้แน่นอน เราไม่ได้เจอกันนานเกือบห้าปีแค่เธอเปลี่ยนสไตล์แต่งตัวแบบนี้เขาก็จำไม่ได้แล้ว
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
หญิงสาวสะพายกระเป๋าพร้อมกับเอกสารใส่แฟ้มถือติดตัวไปด้วย เมื่อลงมาถึงชั้นล่างคุณพ่อคุณแม่และพี่ชายมองเธออ้าปากค้างอย่างตกใจ ทำไมลูกสาวที่มีฉายาเจ้าแม่แฟชั่นอย่างนาเดียถึงได้แต่งตัวอย่างกับครูเพ็ญศรี
“แต่งตัวอะไรของแกเนี่ยนาเดีย”
“ก็แต่งตัวไปทำงานไงคะ”
นาเดียวางของลงก่อนจะนั่งทานข้าวต้มกุ้งร้อนๆตรงหน้า ทั้งสามคนหันไปมองหน้ากันอย่างงงงวย ไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรแปลกๆแบบนี้
“เล่นตลกอะไร ไอ้มินไล่แกออกห้องทำงานแน่ เลขามันแต่ละคนสวยๆทั้งนั้น”
“นาเดียจะแต่งแบบนี้ค่ะ ไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก นาเดียรู้จักพี่มินดีนาเดียเอาอยู่ค่ะ”
“จ้ะแม่คนเก่ง โดนมันแกล้งให้จะรู้สึก”
นาเดียเบะปากใส่พี่ชายก่อนจะตักกินอาหารต่ออย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นเธอก็ขับรถออกไปถึงบริษัทใช้เวลาเดินทางไม่นานมากนักก็ถึงที่หมาย เธอลงจากรถหยิบกระเป๋ากับแฟ้มเอกสารก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ที่นี่จะเป็นสำนักงานใหญ่ของโรงแรมเครือดีเพรสกรุ๊ป จะมีท่านประธานอยู่ที่นี่ส่วนสาขาย่อยก็แล้วแต่ว่าเขาอยากจะไปตรวจที่ไหน เลขาก็ต้องตามไปด้วยทุกที่
“สวัสดีค่ะ นาเดียค่ะมาทำงานที่นี่วันแรก”
พนักงานฝ่ายบุคคลมองนาเดียตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยิ้มแห้งออกมาก้มมองกระดาษแล้วขยี้ตาว่าเธอไม่ได้ฝันไป
“ทำงานตำแหน่งเลขท่านประธานเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ มีอะไรเหรอคะ”
นาเดียก้มมองตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองพนักงานอย่างสงสัย เธอส่ายหน้าไม่ว่าอะไรก่อนจะพาไปส่งที่หน้าห้องทำงานของท่านประธาน
“ไม่มีอะไรค่ะงั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ”
หญิงสาวเดินตามไปมองไปรอบๆอย่างคุ้นเคย เมื่อก่อนเธอมาบ่อยแต่ว่าตั้งแต่ไปเรียนที่ต่างประเทศเธอไม่ค่อยกลับบ้านจะเป็นครอบครัวเองที่บินไปหาซะส่วนใหญ่ ส่วนพี่มินเขาเรียนจบก็ต้องมารับผิดชอบโรงแรมต่อจากพ่อ แค่เวลาคุยเขายังไม่ค่อยมีเลย เพิ่งจะช่วงตอนเธอเรียนใกล้จบเนี่ยแหละเขาค่อนข้างทักมาคุยด้วยบ่อยๆ
“นี่เป็นโต๊ะทำงานของคุณนาเดียค่ะ ท่านประธานน่าจะอยู่ในห้องจะเข้าไปพบเลยมั้ยคะหรือว่ายังไงดี”
“เดี๋ยวนาเดียขอจัดของแป๊บหนึ่งแล้วจะเข้าไปแนะนำตัวเองค่ะ ขอบคุณนะคะที่พามาส่ง”
“ค่ะงั้นฉันไปก่อนนะคะ”
นาเดียยกมือไหว้ขอบคุณพนักงานคนนั้นก่อนจะวางกระเป๋าแฟ้มเอกสารลงแล้วมองสำรวจโต๊ะทำงาน ก็ถือว่าพออยู่ได้แหละไม่ได้แย่อะไร เธอจัดนั่นนี่ซักพักก่อนจะเคาะประตูห้องท่านประธานเพื่อเข้าไปแนะนำตัวเอง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
นาเดียสูดลมหายใจเข้าลึกๆเอาจริงเธอก็กลัวว่าเขาจะจับได้นะเพราะหน้าตาของเธอใช่ว่าจะเหมือนคนอื่น หญิงสาวค่อยๆเปิดประตูเข้าไปพี่มินในตอนนี้กำลังยกกาแฟขึ้นจิบ เขามองสบตาเธอพอดีก่อนจะสำลักกาแฟออกมาทันที
“แค่กๆๆๆๆ”
นาเดียตาโตอย่างตกใจก่อนจะรีบวิ่งไปช่วยลูบหลังให้เขาพร้อมกับส่งขวดน้ำเปล่าไปให้ เขาสำลักอยู่นานก่อนจะตั้งสติได้ดื่มน้ำลงไปแทบหมดขวด
“ท่านประธานโอเคมั้ยคะ”
“อะ..แฮ่ม ฮึ่ม”
เขากระแอมออกมาก่อนจะใช้สายตามองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่เธอแต่งตัวมาเป็นเลขาของเขาหรือว่ามาสอนหนังสือ ทำไมถึงเรียบร้อยอย่างกับครูประถมแบบนี้อ่ะ
“เธอแต่งตัวอะไรเนี่ย”
“ก็แต่งตัวปกติค่ะ ทำไมเหรอคะมันดูไม่ดีเหรอ”
นาเดียมองตัวเองก่อนจะมองสบตากับชายหนุ่มตาใสแป๋ว เมื่อสบตากันตรงๆเขาก็ชะงักไปความรู้สึกคุ้นเคยมันแวบเข้ามาในหัว ทำไมถึงรู้สึกคุ้นแบบนี้
“เธอชื่ออะไรนะ”
“นาเดียค่ะ ทำไมท่านประธานมองแบบนี้คะ”
เขาลุกขึ้นยืนขยับเข้าไปใกล้เธอจ้องหน้าอย่างจับผิด ทำไมหน้าตาเหมือนนาเดียที่เขารู้จัก แต่เด็กคนนั้นรสนิยมการแต่งตัวดีกว่านี้เยอะและใบหน้าสวยไม่มีที่ติ อย่างกับคนละโลกคงไม่น่าใช่คนเดียวกัน
“หน้าคุ้นเหมือนเคยเจอที่ไหน”
นาเดียได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลงไม่ยอมสบตากับเขา หรือว่าเขาจะจำเธอได้ทำยังไงดีอ่ะ
“นาเดียเพิ่งเคยเจอท่านประธานค่ะ น่าจะจำผิดรึเปล่า”
“คนงั้นมั่ง แม่ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอว่าเลขาของฉันต้องแต่งตัวดูดีและฉลาดมีไหวพริบ”
“แล้วแบบนี้แต่งไม่ดูดีเหรอคะ”
เธอเอ่ยถามด้วยแววตาใสซื่อ เขาเริ่มกุมขมับตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่ตกลงเธอใสซื่อจริงๆหรือว่าแกล้งโง่เนี่ย
“ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่ฉันไม่ชอบแบบนี้”
“แต่นาเดียมาทำงานนะคะไม่ได้มาแต่งตัวตามใจท่านประธานซะหน่อย”
“นี่เธอเถียงฉันเหรอ…”
เขาชี้หน้าตัวเองอย่างทึ่ง มาวันแรกก็ต่อปากต่อคำเขาที่เป็นเจ้านายแล้ว แบบนี้แหละเขาถึงไม่ชอบเด็กเส้นที่พ่อกับแม่ฝากมาทำงานเพราะปากเก่งแบบนี้เนี่ยแหละ
“ไมได้เถียงค่ะกำลังอธิบายเหตุผลให้ฟัง อีกอย่างคุณหญิงบอกว่าแต่งตามที่นาเดียชอบ ก็ชอบแบบนี้นี่คะนาเดียสะดวกแบบนี้ผิดเหรอคะ”
เธอยังถามเขาด้วยความใสซื่อตามสไตล์ มินถึงกับส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจก่อนจะทำมือไล่ให้เธอออกไป
“ไปทำงานข้างนอกเถอะมีไรฉันเรียกเอง อ่อ เดี๋ยวช่วยเอายาพารากับน้ำเปล่ามาให้ด้วยนะ”
“ท่านประธานปวดหัวเหรอคะ”
“เออ ปวดมากถ้าเธอยังอยู่ตรงนี้จากกินยาพาราฉันน่าจะได้ไปพบจิตแพทย์ ออกไป”
เขานั่งลงตรงเก้าอี้ก่อนจะกุมขมับด้วยสีหน้าที่เครียดหนัก ปกติเลขาของเขาจะแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเองเป็นตำแหน่งเดียวที่เขาจะให้แต่งตัวสวยที่สุดเพราะเธอต้องไปพบลูกค้ากับเขาบ่อยพอๆกับผู้ช่วย และนี่เป็นเลขาคนแรกที่แต่งตัวตามสไตล์ตัวเองแล้วเขาไม่ถูกใจเอามากๆ
‘นี่แม่ของเขากำลังเล่นตลกอะไรถึงได้ส่งคนแบบนี้มา เฮ้อ! แกล้งกันป่ะเนี่ย’