ฉันชื่อเพียงฝัน
บทที่1
ฉันชื่อเพียงฝัน
สายลมและกลิ่นดอกมะลิพัดผ่านเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ เพียงฝัน หรือคุณหนูเพียงฝัน เธอเรียนจบการตลาดได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแต่ยังไม่ทันได้เข้ามาบริหารงานที่บริษัทของคุณพ่อ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อคุณแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ครอบครัวของเธอเลยทรุดหนัก แต่คุณพ่อก็ยังโชคดีที่มีคุณน้าทิพย์วรรณเพื่อนสนิทของคุณแม่ยื่นมือเข้ามาช่วย
"เพียงฝันวันนี้พ่อกับน้าทิพย์ต้องไปดูสินค้าที่ท่าเรือนะ อยากไปเที่ยวกับมิเกลก็ไปได้นะลูกพ่อไม่ว่า" พิสุทธิ์ลูบหัวลูกสาวเบาๆ ตั้งแต่ภรรยาของตนเสียไปลูกสาวก็ไม่เคยออกไปไหนเลย
"ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ" ฉันรอพบคุณอชิระทนายความของคุณแม่ฉันต่างหากล่ะ วันนี้ฉันนัดกับคุณยายเอาไว้แต่คุณยายสั่งห้ามบอกคุณพ่อของฉันเด็ดขาด
"ถ้างั้นพ่อไปก่อนนะ ถ้างานยุ่งมากพ่ออาจจะต้องค้างที่โรงแรม มีอะไรก็โทรหาพ่อนะลูก" พิสุทธิ์หอมหัวลูกสาวที่เป็นดั้งดวงใจ เมื่อรถของทิพย์วรรณขับเข้ามาจอดพิสุทธิ์ก็รีบเดินออกไปทันที
หลังจากที่พิสุทธิ์ออกไปเพียงฝันก็รีบขับรถออกมาจากบ้านเพื่อตรงไปยังบ้านของคุณยาย ตอนนี้รถของคุณอชิระทนายความของคุณแม่เดินทางมาถึงพอดี ฉันเลยยืนรอเพื่อกล่าวสวัสดีทนายความหนุ่มหล่อไฟแรงที่เข้ามาดูแลเรื่องพินัยกรรมของคุณแม่ที่คุณพ่อยังไม่รู้
“คุณอชิระสวัสดีค่ะ” เพียงฝันยกมือไหว้ทนายความที่มีอายุมากกว่าเธอ5ปีซึ่งอชิระก็รับไหว้แถมยังตะลึงในความสวยของเพียงฝันทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า
“สวัสดีครับน้องเพียงฝัน” อชิระพยายามเก็บความเขินอายเอาไว้ในใจจากนั้นก็เดินตามเพียงฝันเข้ามาในบ้าน
ด้านคุณยายของเพียงฝันที่กำลังนั่งรออยู่พอได้เห็นทั้งสองเดินคุยกันเข้ามาก็ยิ้มกริ่มเพราะตนนั้นถูกชะตากับอชิระเหลือเกิน เด็กหนุ่มที่มีความสุภาพเรียบร้อย หน้าที่การงานก็ดี อนาคตไกล ตอนนี้ลูกสาวของตนก็ลาจากไปเสียก่อนส่วนตนนั้นก็คงจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ หากหลานสาวได้เจอคนที่ดีก็คงจะนอนตายตาหลับ
“คุณยายสวัสดีค่ะ” เพียงฝันเข้ามาสวมกอดคุณยายด้วยความคิดถึง ถ้าไม่ติดว่าเธอต้องอยู่ช่วยงานของคุณพ่อเธอก็คงได้มาอยู่กับคุณยายแล้ว
“สวัสดีครับคุณยาย” อชิระเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะหยิบเอกสารสำคัญออกมาจากกระเป๋าสีดำ
“พร้อมนะเพียงฝัน วันนี้ทุกอย่างมันกำลังจะเป็นของหลานแล้วนะลูก” มือของหญิงชราลูบหัวหลานสาวพร้อมกับพยักหน้าให้ทนายหนุ่มได้เปิดพินัยกรรมเพื่ออ่านให้ตนและหลานสาวได้ฟัง
“ข้าพเจ้า นางขวัญทิพย์ เจริญเกียรติปรีชา อายุ50ปี ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ไว้เพื่อแสดงเจตนาว่า เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรมข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สินของข้าพเจ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือแม้แต่หุ้นส่วนของบริษัทKBจำกัด รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินใดๆ ทั้งหลาย ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในอนาคต ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ นางสาว เพียงฝัน เจริญเกียรติปรีชา แต่เพียงผู้เดียว
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ขณะที่ข้าพเจ้าทำพินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ และการทำพินัยกรรมฉบับนี้มิได้เกิดจากการถูกข่มขู่แต่อย่างใด
ข้าพเจ้าได้อ่านและเข้าใจข้อความในพินัยกรรมฉบับนี้โดยตลอดและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของข้าพเจ้าทุกประการ จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพยานทั้งสองคนพร้อมกันอย่างครบถ้วนและถูกต้องตามวันที่และสถานที่ดังระบุไว้ข้างต้น”
อชิระอ่านพินัยกรรมให้ทุกคนได้ฟังจากนั้นก็ส่งเอกสารให้เพียงฝันได้ดูเพื่อความแน่ใจว่าลายมือนี้เป็นลายมือของคุณแม่เธอจริงๆ เพียงฝันนั่งอ่านทั้งน้ำตา เธอคิดถึงแม่ของเธอเหลือเกินตั้งแต่แม่ของเธอจากไปเธอก็ไม่มีแม้แต่คนให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต เธอรู้ว่าตอนนี้บริษัทKBของคุณพ่อกำลังมีปัญหา จนน้าทิพย์เพื่อนของคุณแม่ต้องยื่นมือเข้ามาช่วย แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ
“ขอบคุณ คุณทนายมากนะคะ วันนี้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเพียงจะลงมือทำกับข้าวเอง” รอยยิ้มที่พึ่งปาดน้ำตาส่งมาหาอชิระที่นั่งมองเธอด้วยความเป็นห่วง
“ครับ ยังไงรบกวนด้วยนะครับ”
คุณยายส่งซิกให้คนดูแลพาขึ้นไปพักโดยปล่อยให้ทั้งสองคนได้ช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว เพียงฝันลงมือทำแกงมัสมันไก่ที่เป็นเมนูโปรดของอชิระ อีกทั้งเธอยังทำอาหารอร่อยจนใครๆ ก็ต่างติดใจฝีมือของเธอ
อีกด้าน...
พิสุทธิ์รับสายจากเจ้าหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบจนต้องปิดเครื่องเพื่อตัดความรำคาญ ตอนนี้บริษัทKBกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย เครื่องเพชรของภรรยาที่อยู่ในเซฟก็ถูกนำไปขายใช้หนี้จนจะหมดแล้ว
“ไอ้พวกเวร คนไม่มีมึงยังจะหน้าด้านโทรมาอีก!” พิสุทธิ์บ่นอุบเมื่อถูกเจ้าหนี้โทรหาไม่ขาดสายจนทิพย์วรรณคู่ขาที่ลักลอบมีความสัมพันธ์กันมานานต้องเดินเข้ามาหา
“ทำหน้าแบบนี้มีปัญหาเรื่องเงินอีกแล้วใช่ไหมคะพิสุทธิ์” ร่างกายเปลือยเปล่าเดินเข้ามาหาชายวัยกลางคนพร้อมแก้วไวน์ในมือ
“ช่วงนี้บริษัทของผมกำลังมีปัญหา ตั้งแต่ขวัญเสียไปหุ้นในบริษัทก็ตกจนติดตัวแดง พาให้รายได้หดหายไปด้วย”
“แย่จัง ฉันเองก็ช่วยคุณไปเยอะแล้วเหมือนกัน จะขอเงินที่เจ้าดินมาช่วยก็คงไม่ได้แล้ว” ร่างอรชรเดินมานั่งตักของพิสุทธิ์พร้อมป้อนจูบที่มีไวน์อยู่ในปาก
“คุณนี่มันถูกจริตผมจริงๆ เลยคุณทิพย์”
บทเพลงรักที่ทิพย์วรรณมอบให้ทำให้พิสุทธิ์ลืมเรื่องราวเครียดๆ ไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความใคร่ในรสชาติเผ็ดร้อนเท่านั้น หลังจากบทเพลงรักจบลงทิพย์วรรณก็หันไปสวมกอดพิสุทธิ์ด้วยความรักใคร่
“ผมกำลังแย่อาจจะดูแลคุณได้ไม่เต็มที่นะคุณทิพย์”
“ไม่ลองฟังข้อเสนอของฉันดูก่อนล่ะคะ บางทีลูกชายของฉันอาจจะเข้ามาพลิกวิกฤตให้บริษัทของคุณได้นะคะ”
พิสุทธิ์มองหน้าสาวสวยตรงหน้าอย่างมีเลศนัยทำไมตนจะไม่รู้เพราะวิธีนี้ตนก็เคยใช้กับภรรยาเก่าอย่างขวัญทิพย์เหมือนกัน
“ตอนนี้ลูกชายของฉันกำลังทำกำไรให้บริษัทได้เป็นกอบเป็นกำ ถ้าคุณให้ยายเพียงมาแต่งงานกับเจ้าดินบางทีทุกอย่างมันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะคะ คุณอย่าลืมนะว่าพ่อของเจ้าดินมีหุ้นส่วนกับธนาคาร เครดิตของคุณจะได้ง่ายขึ้นด้วย”
ข้อเสนอที่มีแต่ได้มีหรือที่พิสุทธิ์จะไม่สนใจ ทั้งได้เงินสินสอดไหนจะได้ลูกเขยที่เข้ามาบริหารบริษัทที่กำลังแย่ แต่การที่จะเข้าไปคุยกับลูกสาวเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะคนของตนรายงานมาว่าเห็นลูกสาวไปทานข้าวกับทนายความที่ชื่ออชิระบ่อยๆ