หลังจากนั้นทุกคนก็ออกไปจากห้องหอของเธอกับเขา นุชพินตายังนั่งนิ่งเก้กังไม่รู้จะเริ่มทำอะไรก่อนดี
“ตามสบายนะ พอดีฉันนัดกับเพื่อน ๆ เอาไว้ เพื่อนฉันรอสังสรรค์ต่อกันอีกนิดหน่อย ฉันจะลงไปดื่มกับเพื่อน” ที่จริงเขาควรจะอยู่กับเธอ แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ค่ะ” รับเสียงเบา ใจสั่นที่ได้อยู่กับเขาสองต่อสอง แต่ตอนนี้เริ่มเบาใจที่เขาจะออกไปข้างนอก
“มีคนยกกระเป๋าของเธอขึ้นมาไว้บนห้องนี้แล้วล่ะ และคงจะจัดเข้าไปในตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ยังไงก็หาดูเอานะ”
“ค่ะ”
ปุลวัชรลุกยืน เขาพร้อมจะออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณปุ่น” นุชพินตาเรียกเขาเอาไว้
“มีอะไรรึ” ชายหนุ่มหันมามองหน้าของเธอ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย เขาแทบจะไม่ยิ้มให้เธอเลย และไม่เคยมองมาแบบอ่อนโยน
นุชพินตาได้แต่คิด เธอจะต้องทนอยู่กับผู้ชายแบบนี้จริงหรือ การแต่งงานที่ไม่มีความรักเป็นจุดเริ่มต้น มันจะลงเอยแบบไหน
ปุลวัชรยังจ้องเขม็ง มองร่างที่เล็กกว่าลุกขึ้นยืน
“คือว่ายะหยาอยากจะให้พี่ช่วยรูดซิปด้านหลังให้หน่อยค่ะ” เธอพูดด้วยความเขินอาย แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ เพราะซิปมันดันไปอยู่ข้างหลังเสียนี่
“หันหลังมาสิ เดี๋ยวฉันจะรูดให้” พูดอย่างรีบเร่ง เธอรีบทำตามที่เขาบอกในทันที
ในตอนที่เขารูดซิปให้กับเธอนั้น ปุลวัชรเผลอส่งมือไปแตะที่แผ่นหลังของนุชพินตาแผ่วเบา ผิวที่เนียนขาวสะอาดน่ามองของเธอ เขาสังเกตได้เลยว่าบนผิวหนังเนียนเรียบนั้น ไม่มีแม้แต่แป้งผัดให้ผิวขาวผ่องขึ้น เป็นผิวกายของเธอล้วน ๆ
‘นี่มันผิวของคนจริง ๆ หรือนี่’ เขาอดใจไม่ไหวลูบไล้ฝ่ามืออย่างตั้งใจ
“อุ๊ย!” หญิงสาวอุทานออกมา พลางเบี่ยงตัวหลบ ใจเต้นแรงหนักขึ้น เพียงแค่สัมผัสเดียวจากเขาเป็นคนแปลกหน้าก็ทำให้สั่นไหว แต่ทว่าคนแปลกหน้าคนนี้ คือเจ้าบ่าวของเธอ
“เอ่อ... พี่ปุ่นจะไปดื่มกับเพื่อน ๆ ไม่ใช่หรือคะ” ละล่ำละลักพูดกับเขา สองมือตะปบเกาะอกด้านหน้าไม่ให้ชุดที่สวมใส่หลุดร่วงลงไป
ปุลวัชรพยักหน้าและรีบเดินออกจากห้อง เขาทำเหมือนตัดใจอย่างเสียไม่ได้ ก้าวฉับ ๆ ผ่านบานประตูไปอย่างรวดเร็ว
นุชพินตาที่ออกอาการสั่น หายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอตกใจมากที่เขาแตะแผ่นหลังของเธอเมื่อกี้ แล้วก็ลูบไล้เบา ๆ ด้วย หญิงสาวถึงกับกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงไปในลำคอ การแต่งงานและได้นอนห้องเดียวกับเขา มันคงไม่ใช่นอนอย่างเดียว แต่มันหมายถึงต้องทำอย่างอื่นด้วย แค่คิดเธอก็หน้าออกสีแดง
เธอเป็นแฟนกับไตรเทพ ไม่เคยแม้กระทั่งจะหอมแก้มกันเลย มีแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ที่เธอยินยอมให้ไตรเทพจับมือ หญิงสาวอดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้
นุชพินตาเดินไปหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง กำลังตัดสินใจว่าจะส่งข้อความไปบอกไตรเทพดีหรือไม่
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่กล้าอยู่ดี เธอกลัวว่าเขาจะเสียใจ
‘ขอโทษนะคะพี่ไตร ขอให้ยะหยาทำใจอีกนิดนึงค่ะ ถ้ายะหยาทำใจได้แล้ว ยะหยาจะบอกพี่ค่ะ’ เธอคิดได้แค่นี้ ตอนนี้ในหัวคิดอะไรไม่ออกเลย
แล้วยิ่งคุณย่ากับคุณลุงบอกว่า จะกลับไปที่สระบุรีหลังจากจบงาน ทิ้งให้เธออยู่กับเขานับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นุชพินตาก็ไม่รู้แล้วว่าเธอจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้
ตอนที่อยู่ในงานแต่งงาน แม้สถานที่จัดงานนั้นจะสวยงามอลังการ บริเวณโดยทั่วถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้สีขาวทั้งงาน ดูดีและราคาแพงแค่ไหน
แต่มันก็ไม่เข้าตาของนุชพินตาเลย
เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงหน้าที่ที่เธอต้องทำ
คุณปภินวิทย์กับคุณคำรักเดินมาส่งแขกเหรื่อที่หน้างาน
“เห็นว่าจะกลับสระบุรีเลยหรือคะ” คุณคำรักถามคุณย่า
“ใช่... แปลกที่ก็นอนไม่หลับอยู่เป็นทุนแล้ว นี่คืนนี้ แม่จะต้องนอนคนเดียวอีก ปรกติยะหยาจะนอนกับแม่นะ” แววตาของท่านเป็นห่วงนุชพินตามาก
“คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหนูยะหยาไปนะคะ รักสัญญาว่าจะดูแลหนูยะหยาให้เป็นอย่างดีค่ะ”
“ได้ยินแบบนี้ แม่ก็ดีใจ หวังว่าแม่คงเลือกหลานเขยให้กับยะหยาไม่ผิด”
“ไม่ผิดหรอกครับคุณแม่” คุณเกตุสิงห์รั้งตัวของคุณแม่ให้เดินไปข้างหน้า เพราะอาการของคุณสุรัตนายังรีรอ
“สวัสดีครับคุณแม่ พี่สิงห์ครับไว้ผมจะโทรหานะครับ”
“อื้ม”
แขกในงานทยอยกลับ มีเพียงกลุ่มเพื่อนสนิทของปุลวัชรที่ยังคงอยู่ในงานเกือบสิบห้าคน
เสียงหยอกเย้าดังพอสมควร คงกำลังสนุกกับการดื่มกิน
“ลูกออกมาจากเรือนหอแบบนี้ มันจะดีหรือคะ ตอนนี้ปุ่นจะต้องอยู่ในห้องกับเจ้าสาวของเขานะคะ คำโบราณก็พูดเอาไว้แล้วว่า เจ้าบ่าวควรอยู่กับเจ้าสาวทั้งคืน” สีหน้าของผู้เป็นแม่ไม่ค่อยดีนัก คุณคำรักหันไปสบตากับคุณสามี
“คุณรัก คุณจะไปบังคับลูกได้หรือ ปล่อยเจ้าปุ่นไปเถอะ แค่เราบังคับให้มันยอมเข้าพิธีแต่งงานได้ โดยที่มันไม่โวยวาย ก็เป็นบุญนักหนาแล้ว”
“รักทราบค่ะ”
“ถ้ารักอยากจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของหมอดูคนนั้นละก็ ก็ต้องยอมให้เจ้าปุ่นทำแบบนี้แหละ”
“หมอดูของรักคนเดียวเสียที่ไหนล่ะคะ ของคุณพี่ด้วย ที่รักทำไปทุกอย่างนั้น ก็เพราะว่ารักหวังดีกับลูกนะคะ”
“ที่รักจ๋า ที่รักทำถูกแล้วล่ะ พี่ก็เห็นด้วย ถ้าเราไม่บังคับเจ้าปุ่นให้แต่งงาน ชาตินี้เราสองคนจะได้อุ้มหลานหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ค่ะ รักขอภาวนานะคะ ให้หนูยะหยามัดใจปุ่นได้”
“ลูกสะใภ้ของเราออกจะสวย ออกจะน่ารัก และได้ฟังจากปากของคุณแม่สุแล้ว พี่คิดว่า เราสองคนไม่น่าจะผิดหวัง”
“รักก็หวังเอาไว้อย่างนั้นค่ะ”
ทั้งสองสามีภรรยามองไปยังกลุ่มของลูกชายที่กำลังสรวลเสเฮฮากันอย่างสนุกสนาน