ณ บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทย ร่างอรชรของ นางสาวน้ำผึ้ง เกษมราช กำลังก้าวเท้าไปตามทางเดินที่ทอดยาวตรงไปยังลิฟต์ตัวใหญ่ เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุดซึ่งเป็นห้องทงานของผู้บริหารสูงสุดของบริษัทด้วยความคุ้นเคยแต่ก็เร่งรีบไม่น้อย
พนักงานต่างพากันทักทายหล่อนอย่างคุ้นเคย แต่ก็มีพนักงานบางคนที่รีบหลบมุมไปและยกโทรศัพท์ถือขึ้นแนบหูทันที
“อะไรนะ คุณหนูน้ำผึ้งมาเหรอ”
เสียงเลขาหนุ่มที่มีชื่อเสียงเรียงนามว่าเอกภพเต็มไปด้วยความตกใจ
“แล้วตอนนี้คุณน้ำผึ้งเธออยู่ไหนแล้ว อะไรนะ กำลังขึ้นมา ทำไมไม่โทรมาให้เร็วกว่านี้ครับ ท่านประธานจะหนีทันไหมเนี่ย”
แล้วเอกภพก็โยนโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะทำงานอย่างไม่สนใจไยดี สองเท้ารีบก้าวพรวดพราดเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายทันที
“มีอะไร ทำไมไม่เคาะประตูก่อน”
ผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาเกินมนุษย์มนาเงยหน้าขึ้นจากแล็ปท็อปตรงหน้า และถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
หากเป็นในยามปกติเอกภพคงตกใจกลัวตกงานไม่น้อย แต่ตอนนี้มัวแต่ตกใจไม่ได้แล้ว
“ท่านประธานครับ หนีเร็วครับ”
“อะไรของนาย”
“คุณหนูน้ำผึ้งมากครับ”
สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของวิศรุตมีสีสันขึ้นในทันตา
เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้หนังสีดำตัวใหญ่ และก็คว้าเสื้อสูทมาพาดแขนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“รีบไปดักที่ลิฟต์ อย่าเพิ่งให้มาถึงห้องทำงานฉันนะ”
“ครับท่านประธาน”
คนที่ตั้งใจจะหนีออกทางประตูหนีไฟสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดเข้ามาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย และเมื่อเขาหันไปมอง ก็พบว่าเป็นฝีมือของน้ำผึ้งนั่นเอง
เขาถึงกับถอนใจออกมาอย่างท้อแท้ รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นมากะทันหัน
“หนีไม่พ้นอีกแล้วเหรอวะนี่”
ชายหนุ่มถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้ำผึ้งเดินเข้ามาประชิดตัวพอดิบพอดี
“จะหนีไปไหนคะพี่วิศ”
“มาทำไม”
“ก็มารับพี่วิศไงคะ ยังไงวันนี้เราก็ต้องไปลองชุดแต่งงานด้วยกันค่ะ”
“พี่มีประชุม”
“ก็เลื่อนสิคะ”
“พี่ไม่ใช่คนแบบนั้น งานต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ”
วิศรุตคิดว่าเหตุผลเป็นการเป็นงานจะทำให้ตัวเองรอดพ้น แต่กลับไม่สำเร็จ
“ถ้าพี่วิศเบี้ยวผึ้ง...”
หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น และก็ยกมือขึ้นแตะท่อนแขนของชายหนุ่ม ลูบไล้ไปมาคล้ายกำลังลองเชิง
“เย็นนี้ผึ้งจะไปค้างคืนที่ห้องนอนกับพี่วิศ และผึ้งก็คงไม่แค่นอนข้างๆ พี่วิศเฉยๆ แน่นอนค่ะ ผึ้งจะจับพี่วิศกินหัวกินหางกินกลางตลอดตัวด้วยค่ะ”
“เธอนี่... มันเอาแต่ใจชะมัดเลยนะ”
“ที่ผึ้งเอาแต่ใจ ก็เพราะพี่วิศเอาแต่หนีผึ้งนี่คะ แต่ยังไงซะ พี่วิศก็หนีผึ้งไม่พ้นหรอกค่ะ”
คนพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและมั่นใจ
แต่คนฟังรู้สึกสยดสยองเหลือเกิน...!
“ไปหาผู้ชายคนอื่นแทนพี่ไม่ได้หรือไง พี่ไม่เต็มใจแต่งงานกับเธอสักหน่อย”
“ไม่ได้ค่ะ เพราะว่าผึ้งรักพี่วิศ ไม่ได้รักผู้ชายคนอื่น ไม่เอาล่ะ ไม่ต้องมาถ่วงเวลาเลย เราไปลองชุดแต่งงานกันเถอะค่ะ”
หญิงสาวเปลี่ยนจากจับท่อนแขนกำยำมาเป็นคว้ามือของเขาแทน แต่ชายหนุ่มจะสะบัดออกยังไงก็ไม่หลุด จึงทำได้แค่ถอนใจเหนื่อยหน่าย
“ตั้งแต่เธอเกิด จนเธออายุยี่สิบสาม ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ชีวิตพี่จะสงบสุข บ้าบอชะมัดเลย”
หล่อนรู้ดีว่าโมโห แต่หล่อนก็ไม่สนใจหรอก เพราะวิศรุตเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เขาแสดงออกว่ารำคาญหล่อน เบื่อหน่ายหล่อนตั้งแต่เด็กจนโต แต่หล่อนก็ไม่เคยคิดจะละความพยายามหรอก
ยังไงซะ สักวันหล่อนก็ต้องเอาชนะใจของวิศรุตได้อยู่แล้ว
“เราต้องอยู่ด้วยกันไปจนแก่หัวขาวเลยล่ะค่ะพี่วิศขา”
“เด็กบ้า”
“ผึ้งไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ เป็นสาวเต็มตัวแล้ว และเดือนหน้าก็จะได้เป็นเมียของพี่วิศแล้วค่ะ”
สีหน้าของวิศรุตเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายเต็มอัตรา แต่กระนั้นก็รู้ดีว่าไม่สามารถหนีชะตากรรมของตัวเองพ้น
เขาหันไปมองหน้าเอกภพ ก่อนจะออกปากสั่งงานอย่างเสียไม่ได้
“มีอะไรก็โทรเข้ามือถือแล้วกันนะ”
“แล้วท่านประธานจะกลับเข้าบริษัทอีกไหมครับ”
“กลับ”
“ไม่กลับแล้วล่ะค่ะคุณเลขาฯ”
น้ำผึ้งแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส ทำเอาวิศรุตพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“เดี๋ยวลองชุดแต่งงานเสร็จแล้ว เราสองคนก็จะไปเดทกันค่ะ”
“บ้าหรือไง ใครจะไปเดทกับเธอล่ะ”
“ก็ว่าที่สามีของผึ้งไงคะ ไปกันเถอะค่ะ นี่ใกล้ถึงเวลานัดกับร้านเวดดิ้งแล้วด้วย”
“เฮ้ยยย เดี๋ยวสิ ช้าๆ อย่าลากแบบนี้”
วิศรุตพยายามขืนตัวเอาไว้ แต่น้ำผึ้งก็ลากเขาออกจากห้องตรงไปยังลิฟต์จนได้
เฮ้อออ...
เมื่อชะตาชีวิตของเขาจะหลุดพ้นจากอุ้งมือของยัยเด็กแสบอย่างน้ำผึ้งเสียทีนะ
เพราะพ่อกับแม่ของเขานั่นแหละ ไม่รู้จะเอ็นดูอะไรน้ำผึ้งนักหนา รู้หรอกว่าสนิทสนมกับพ่อแม่ของน้ำผึ้งมาก่อน แต่ก็ไม่ควรมัดมือชกเขา บังคับให้เขาแต่งงานกับเด็กที่ปากเพิ่งสิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างน้ำผึ้งแบบนี้
โธ่...
ชะตาชีวิตลูกผู้ชายที่รักอิสระอย่างเขา จะต้องจบสิ้นลงในเดือนหน้าจริงๆ เหรอเนี่ย
บ้าบอชะมัดเลย