"อาเหยาเอาสุรามาให้ข้าสักไหสิ"
ฝนตกลงมาอย่างยาวนานหลายวัน แต่ทว่าที่โรงเตี๊ยมซูฮวานั้นยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แน่นอนว่าเรื่องการจัดการทุกอย่างภายในร้าน มันคือหน้าที่ของอาเหยา
เขาคือปีศาจงูที่เธอบังเอิญช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน อาเหยาก็เลยนับว่านั่นคือบุญคุณเขาจึงอุทิศตัวทำงานและดูแลเธอไปในเวลาเดียวกัน
"อย่าดื่มมากนักนะขอรับ เถ้าแก่เนี้ยช่วงนี้ดื่มมากเกินไปแล้วนี่จะเป็นไหสุดท้ายของวันนี้ที่ข้าน้อยจะยินยอมให้ท่านดื่มสุราพวกนี้เข้าไป"
เจ้าปีศาจงูนี่ขี้บ่นมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก
เธอส่งยิ้มให้เขาก่อนจะยกไหสุราขึ้นมาดื่ม นานเท่าไหร่แล้วที่สุราพวกนี้มันไม่สามารถทำให้เธอเมาได้ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เมาคือเธอดื่มมันมาก..จนเผลอหลับไปคากองไหสุรา
ดื่มให้ลืมเลือนความเศร้า ดื่มเพื่อให้ความเจ็บปวดในใจคลายลง
เย่วเล่อทิ้งตัวลงบนพื้น ที่นี่คือห้องพักของเธอ เป็นห้องที่ติดกับแม่น้ำที่ยาวไกลจนสุดลูกหูลูกตา เธอชื่นชอบที่นี่มากจึงทำงานตั้งหลายปีกว่าที่จะสามารถซื้อที่ดินตรงนี้ได้
จุดประสงค์ของการเปิดโรงเตี๊ยมนั่นคือเธออยากพบเจอผู้คนมากมาย แต่ทว่าก็มิได้อยากรู้จักจนถึงขนาดที่ว่าจะผูกพันอะไร เพราะมนุษย์ทุกคนจะตายในขณะที่เธอจะยังมีชีวิตอยู่ การจากลาโดยถูกความตายพรากไปนั่นคือสิ่งที่เย่วเล่อเกลียดชังที่สุด เธอจึงระมัดระวังในทุกความสัมพันธ์เสมอ
เธอล้มตัวนอนลงบนพื้น โดยเงยหน้าขึ้นมามองหน้าต่าง ฝนยังคงโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ถ้าเป็นเธอในเมื่อก่อนคงจะห้ามตัวเองไม่ได้ ต้องเดินทางไปที่บ้านริมชายแดนนั่นแล้ว
ริมฝีปากบางหยักยิ้มขึ้นมา
ตั้งแต่ที่ได้พบเจอเขาคนนั้น ชายซื่อบื้อที่ช่วยชีวิตเธอ ความคิดต่างๆพลันเปลี่ยนไป เธอไม่อยากจะไปที่นั่นอีกแล้วเพราะยามนี้มีนายพรานเข้ามาที่ป่ามากมายทีเดียว การพาตัวเองไปยังที่ที่เสี่ยงอันตรายเช่นนั้นถือว่ามันคือการกระทำที่โง่งมโดยแท้
เธอจะไม่ไปที่นั่นอีกแล้วล่ะ...
ไม่อยากจะฟังทั้งคำปฏิเสธและอะไรทั้งนั้นที่เกี่ยวกับอาจารย์ เธอปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยมานานหลายร้อยปีโดยที่ตัวเองยังจมอยู่กับความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้
หากจะหาคนที่โง่งมจริงๆ คนผู้นั้นย่อมเป็นตัวเธอเองอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากที่ดื่มสุราไหนี้หมด เย่วเล่อคิดว่าเธอจะตัดใจ...
จะลืมเลือนความรักในครั้งอดีตให้หมดสิ้นแล้วปล่อยใจไปกับความสุขกับความสัมพันธ์ชั่วพักชั่วครู่กับบุรุษผู้งดงามสักสองสามคน...
เย่วเล่อล้มตัวนอนพร้อมกับหลับตาลงช้าๆ มีเพียงเสียงฝนตกกับกลิ่นหอมอ่อนๆของไผ่...เหมือนในวันนั้นเลย
วันที่เธอได้พบเจอกับชายผู้นั้น
"!!"
นิ้วมือเรียวยาวของเธอเปิดผ้าม่านออกเพื่อมองไปเบื้องล่าง..
เป็นเขาจริงๆด้วย เขาเดินทางมาที่นี่พร้อมกับทหารราวยี่สิบคน ที่โรงเตี๊ยมซูฮวามิได้มีเพียงที่พักอย่างเดียว แต่ทว่าเหลาอาหารของที่นี่ก็ขึ้นชื่อว่าเลิศรสยิ่ง
มิแปลกที่เขาจะมาที่นี่ เพราะเมืองที่ทุรกันดารเช่นนี้ มีเพียงเหลาอาหารของเธอเท่านั้นที่หรูหราที่สุด ไม่มีใครอยากจะมาทำการค้าที่ชายแดนหรอก ที่นี่มิได้มีคุณชายหรือว่าเหล่าบัณฑิตผ่านมาพัก แต่ทว่าแขกส่วนใหญ่คือทหารรับจ้างเดนตาย หรือกลุ่มชนเผ่าและกลุ่มนายพราน
เรื่องอันตรายอะไรแบบนั้นเธอมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย
เย่วเล่อคว้าเสื้อคลุมสีส้มขึ้นมาใส่ เธอเดินมาที่กระจกก่อนจะจัดการแต่งแต้มชาดลงไปบนผิวหน้าที่ขาวเนียน ในบางคราวันนั้นเขาอาจจะมองเห็นความงดงามบนใบหน้านี้ไม่ชัดเจน
เช่นนั้นก็เน้นย้ำให้เขามองเห็นชัดเจนกว่านี้สักหน่อยเถิด ว่าสตรีที่เขาโยนออกมาจากห้องนอนนั้นงดงามแค่ไหน
"เป็นอย่างไรบ้างขอรับแม่ทัพหนิง เหลาอาหารที่นี่เลื่องชื่อยิ่งนัก ถึงมิอาจเทียบเคียงเมืองหลวงแต่ทว่าไม่น้อยหน้าอย่างแน่นอน อีกทั้งเถ้าแก่เนี้ยที่นี่ก็ยัง...งดงามมากอีกด้วย"
จุนเฟิงคือทหารที่รับหน้าที่ดูแลท่านแม่ทัพหนิงที่พึ่งจะย้ายมาใหม่ ความเก่งกล้าสามารถของท่านแม่ทัพนั้นทุกคนรวมทั้งเขาประจักษ์แจ้งแก่สายตาหมดแล้ว ท่านแม่ทัพหนิงสามารถเอาชนะศึกที่ยาวนานหลายสิบปีได้
และในข่าวลือก็ยังกล่าวถึงความรักที่เจ็บปวดของท่านแม่ทัพอีกด้วย ตามข่าวลือกล่าวว่าคนรักของท่านแม่ทัพนั้นพบรักใหม่เมื่อครั้งที่ท่านแม่ทัพมาออกรบ
จุนเฟิงทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น เพราะสาเหตุนั้นเหล่าทหารทุกนายต่างเข้าใจกันดี เพราะทุกคนล้วนเคยโดนกันถ้วนหา มีน้อยยิ่งนักสตรีที่รอคอยสามีที่กลับจากไปรบ..
ส่วนใหญ่จะเขียนจดหมายมาพร้อมใบหย่า หรือไม่ก็เขียนขอจบความสัมพันธ์มา
เขาคิดว่าหากว่าเขาพาท่านแม่ทัพหนิงผู้เก่งกาจมาที่นี่ ให้มาพบเจอกับเถ้าแก่เนี้ยผู้งดงาม บางทีในใจของท่านแม่ทัพอาจจะดีขึ้นก็ได้...
เจ็บปวดจากสตรีก็ต้องใช้สตรีในการช่วยเยียวยา
ในขณะที่จุนเฟิงคิดอยู่นั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างบางที่กำลังเดินลงบันไดมา แน่นอนว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่กำลังตกตะลึงแต่คนทั้งร้านต่างจับจ้องไปที่สตรีที่กำลังก้าวเดินลงบันไดมา
นางอยู่ในชุดสีส้มที่ดูฉูดฉาด แต่ทว่าพออยู่บนร่างกายของนางกลับเหมาะสมยิ่งนัก ดวงหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะสามารถบอกกล่าวเล่าขานถึงความงามนั้นได้ชัดเจน
ราวกับว่าเขากำลังตกอยู่ในมนต์สะกดยังไงอย่างนั้นเลย
"นี่คือ..สาวงามที่เจ้าว่าอย่างนั้นหรือ?"
รอยยิ้มของจุงเฟิงค่อยๆจางหายไปเมื่อท่านแม่ทัพหนิงยังคงทำหน้าเย็นชาเช่นเดิม ท่านแม่ทัพคือคนแรกเลยก็ว่าได้ที่สามารถต้านทานความงดงามของเถ้าแก่เนี้ยได้
"ไม่คิด..หวั่นไหวสักหน่อยเลยหรือครับ ความงามเช่นนั้นใช่จะมีอยู่ทั่วไป..."
ก็ใช่นะสิ ความงามที่ลึกล้ำนั้นคือว่างดงามของปีศาจจิ้งจอกน่ะสิ ดูจากสายตาของเหล่าบุรุษที่อยู่ในร้านก็พอจะเดาได้ว่านางได้รับความนิยมมากขนาดไหน
"เรื่องรสชาติอาหาร ปฏิเสธมิได้ว่าดีเยี่ยมทีเดียว ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ขอออกความคิดเห็น"
หนิงหลงก้มหน้าลงเพื่อทานอาหารต่อโดยไม่สนใจเย่วเล่อที่กำลังเดินมาเลยแม้แต่น้อย
"ไม่บ่อยนักที่เหล่าทหารกล้าจะมาที่โรงเตี๊ยมของข้า..."
จุนเฟิงรีบลุกขึ้นแล้วยกเก้าอี้มาให้เย่วเล่อนั่งลงข้างท่านแม่ทัพหนิง ในทันที
"พวกเราพาท่านแม่ทัพคนใหม่มาครับเถ้าแก่เนี้ย"
เย่วเล่อเลิกคิ้วขึ้นมามองหน้าของหนิงหลง เธอส่งยิ้มให้เขา..
นี่คือรอยยิ้มที่สามารถทำให้บุรุษตกอยู่ในภวังค์นับไม่ถ้วน และแน่นอนมันไม่สามารถทำให้หนิงหลงหวั่นไหวได้แม้แต่นิดเดียว
"นี่ท่านแม่ทัพหนิงขอรับเถ้าแก่เนี้ย แม่ทัพหนิงหลง"
"ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ หวังว่าท่านจะมาที่นี่บ่อยๆทางโรงเตี๊ยมซูฮวาจะจัดการต้อนรับท่านเป็นอย่างดี"
เขาปรายตามองหน้าเธอ ก่อนจะหันไปมองอาหารที่วางเรียงรายบนโต๊ะต่อ
"...คงจะดีหากการต้องรับของเถ้าแก่เนี้ย มันคือการลดราคาอาหารพวกนี้"
เยว่เล่อยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
"สำหรับท่านแม่ทัพ ข้าไม่คิดเงินก็ได้เจ้าค่ะ หวังเพียงท่านจะมีเวลาว่างมากพอที่จะร่ำสุรากับข้าแบบที่เป็นการส่วนตัวสักครั้ง..."