1.เทพจิ้งจอก
ทิวทัศน์ป่าเขา นั่นเป็นสิ่งที่เห็นมาจนชินชาในสายตา การอาศัยอยู่ในป่าเขาเช่นนี้มิใช่วิสัยของจิ้งจอกหิมะอย่างเย่วเล่อแม้แต่น้อย
ดวงหน้างดงามฉายแววเศร้าสร้อย นางยกจอกสุราขึ้นมาดื่มอึกแล้วอึกเล่า ก่อนจะปรายตามองไปยังเมืองติดชายแดนที่แสนวุ่นวาย
"...อย่าได้คิดจะหนีเย่วเล่อ เจ้าคงไม่อยากถูกท่านเทพบรรพกาลล่ามโซ่ที่ขาเอาไว้หรอกใช่หรือไม่?"
รอยยิ้มหยักขึ้นมาราวกับนางกำลังสมเพชตนเอง เย่วเล่อลอบมองหน้าสหายรักด้วยใบหน้าที่มิได้สนใจคำขู่นั้นแม้แต่น้อย
"ลี่ถิง เจ้ารู้ดีว่าข้านั้นหมายมั่นจะหนีออกไปจากที่นี่มากแค่ไหน แล้วเหตุใดใจของเจ้าจึงได้ไร้เมตตาต่อสหายอย่างข้าเช่นนี้"
ความรักนั้นเป็นดาบสองคมที่พร้อมจะเชือดเฉือนจิตใจและให้ความสุขแสนงดงามหวานล้ำไปพร้อมๆกัน ที่สหายรักมีสภาพเช่นนี้ลี่ถิงรู้ดีว่ามันเป็นเพราะเหตุใด
เย่วเล่อคือจิ้งจอกหิมะที่มีขนเงางามราวเส้นไหม นางบำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยปีกว่าจะได้ร่างเซียนที่แสนสะกดสายตานี้มา
ความงามล้ำเลิศที่ยากต่อการละสายตาของเทพจิ้งจอกเย่วเล่อ
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยบำเพ็ญเพียรภายใต้ความเมตตาของท่านเทพบรรพกาลที่ปลีกวิเวกมาอาศัยที่ป่าแห่งนี้เป็นการชั่วคราว ความรักที่เกินเลยระหว่างจิ้งจอกน้อยที่ไร้เดียงสากับท่านเทพบรรพกาลผู้สูงศักดิ์
ลี่ถิงพยายามตักเตือนเย่วเล่อหลายรอบกับความรักที่เกินเอื้อมมือนี้ แต่ทว่านางก็ยังคงปักใจกับความรักครั้งแรกไม่มีท่าทีว่าจะเสื่อมคลาย
แน่นอนว่าความรักนี้มันอัดแน่นจนล้นใจของเย่วเล่อ แต่ทว่านางก็มิได้กล่าวหรือว่าแสดงท่าทีที่อยู่ในใจออกไปให้ท่านเทพบรรพกาลได้รับรู้ เย่วเล่อยังคงเป็นจิ้งจอกหิมะตัวน้อยที่แสนน่ารักของท่านเทพบรรพกาลอยู่เสมอ
แต่ทว่าความรักนั้นเดินมาจนถึงทางตัน เมื่อท่านเทพบรรพกาลต้องแต่งงานกับเทพีจันทรางานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่สะเทือนไปถึงสี่ทะเลแปดดินแดนเช่นนี้มีแต่ผู้คนมากมายมาร่วมยินดี
ยกเว้นเย่วเล่อที่ปลีกวิเวกมาอยู่ผู้เดียว...
สุราเหล่านี้คือคำปลอบใจ เสียงนกร้องคือเสียงเพลงปลอบประโลมหัวใจที่แตกสลาย เสียงสายลมที่พัดผ่านคือเสียงพิณขับกล่อมความเศร้าโศกที่อยู่ในใจ
ยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยความในใจออกไป ก็ต้องรับความผิดหวังและพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว มิมีผู้ใดจะเก็บงำความปวดร้าวนี้เอาไว้ได้
มีเพียงต้องดื่มให้หลับไปเท่านั้น ตื่นมาจึงจะรู้สึกดีขึ้น
"ข้าจะร่ำสุราเป็นเพื่อนเจ้าเอง"
เย่วเล่อซบใบหน้าของนางลงบนหัวเข่า วันนี้คงจะดีขึ้นกว่าเดิมหน่อยเพราะไม่มีน้ำตาไหลลงมาอีกแล้ว แต่ทว่าความเจ็บปวดยังไม่จางหายไปเสียที
"ข้า..ไม่อาจทำใจอยู่ที่นี่ได้ลี่ถิง ข้ามิรู้ว่าจะต้องทำหน้าเช่นไรเมื่อท่านอาจารย์กลับมาพร้อมกับเทพีจันทรา มีแต่ต้องหนีไปจากที่นี่เท่านั้น..."
"...."
ลี่ถิงก้มหน้าลง ก่อนที่นางจะยกจอกสุราขึ้นมากรอกใส่ปาก
"ข้าได้รับมอบหมายจากท่านเทพให้มาเฝ้าเพื่อไม่ให้เจ้าหนีไป ท่านเทพย่อมรู้ว่าใจเจ้าคิดการเช่นไรแต่เย่วเล่อ ป่าด้านนอกมันมิได้มีความปลอดภัย ถึงแม้อายุของเจ้าจะอยู่มาหลายร้อยปีแต่ทว่าเจ้ายังไม่เคยพบเจอมนุษย์มาก่อนเลย..."
"ในยามนี้ ไม่ว่าที่ไหน ก็ล้วนแล้วแต่ดีกว่าที่นี่ทั้งนั้น"
ต้องมองท่านอาจารย์รักกับเทพีจันทราผู้เหมาะสมและคู่ควร ให้เธอควักลูกตาทั้งสองออกมาเสียยังจะเป็นการดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรต้องอาศัยช่วยเวลานี้
หนีออกไปจากที่นี่ให้ได้
ในเมื่อไร้วาสนา เช่นนั้นข้าก็มิขอเกี่ยวพันด้วยอีกแล้ว
สายใยรักจะขาดสะบั้นลง หลงเหลือเอาไว้เพียงแค่สายใยลูกศิษย์และอาจารย์เท่านั้นพอ...
"ตุบ!"
ลี่ถิงฟุบลงกับโต๊ะ นั่นทำให้ใบหน้าที่เศร้ามาหลายวันของเย่วเล่อแย้มยิ้มขึ้นมา
ขอโทษนะลี่ถิง สักวันหนึ่งเมื่อหัวใจของข้าเข้มแข็งดีแล้ว ข้าจะกลับมาเพื่อไถ่โทษเรื่องที่ข้ากระทำในวันนี้นะ
จิ้งจอกหิมะกระโดดลงไปยังภูเขาเบื้องล่างที่มิใช่หุบเขาเทพเซียน การเป็นจิ้งจอกน่าจะเหมาะสมกับการวิ่งอยู่ในป่ามากกว่าการใช้ร่างเซียน
เย่วเล่อพึ่งได้สัมผัสกับความอิสระเป็นครั้งแรก สายลมที่ปะทะใบหน้าทำให้ลืมเลือนความเจ็บปวดไปจนหมดสิ้น หยาดน้ำตาปลิวหายไปตามสายลม ผสมปนเปกับหยาดน้ำฝนที่โปรยปรายลงมา
ข้ามิได้หนีปัญหา เพียงแต่หนีออกมาเพื่อขอเวลาในการทำใจ
คงจะมีสักวันที่หัวใจของข้า สามารถยินดีกับความรักของอาจารย์ได้อย่างจริงใจ คงจะมีสักวันที่ข้าสามารถตัดใจจากท่านอาจารย์ได้อย่างแท้จริง
......
"...เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ ข้าไม่อาจรั้งนางเอาไว้ได้"
มู่หยางยังอยู่ในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ เขานั่งอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ ใบหน้าปานรูปสลักนั้นมิได้แสดงท่าทีใดๆเมื่อลี่ถิงกล่าวจบ แต่ทว่าดวงตาที่เย็นชานั่นฉายแววเจ็บปวดขึ้นมา
ไม่อาจเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดมีเพียงต้องทำใจ ปล่อยนางไปเท่านั้นเอง
"ได้เวลาแล้วขอรับท่านเทพมู่หยาง..."
"มิรู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะเจ้าเขียนโชคชะตาของข้าเอาไว้อย่างนั้นหรือซือมิ่ง"
เทพซือมิ่งถึงกับรีบคุกเข่าลงกับพื้น
"หามิได้ ข้ามีหน้าที่เพียงแค่ลิขิตโชคชะตาของมนุษย์ ไม่อาจหาญไปยุ่งเกี่ยวกับชะตาลิขิตของท่านเทพบรรพกาลหรอกขอรับ ซื่อมิ่งผู้นี้มิกล้า"
"เช่นนั้นโชคชะตาของข้า ข้าก็สามารถลิขิตเองได้อย่างนั้นสินะ"
......
"ได้โปรดเถอะขอรับ ท่านแม่สื่อก็ล่วงรู้ว่าหัวใจของข้ามีเพียงแม่นางอ้ายฉิงเท่านั้น ของหมั้นและสินสอดพวกนี้ข้านำมันมามอบให้เพื่อแสดงความรักที่จริงใจ..."
แม่สื่อถึงกับยกมือขึ้นมาเพื่อกุมขมับ ของหมั้นมากมายที่เหล่าชายหนุ่มในเมืองส่งมาเพื่อให้เธอนำมันไปมอบให้กับอ้ายฉิง
เถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมซูฮวาที่กำลังเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทุกคนในเมืองนี้ สตรีผู้นั้นมีใบหน้างดงามราวกับรูปปั้นที่บรรจงปั้นแต่งขึ้นมาด้วยฝีมือของเทพเซียน เพราะมนุษย์ไม่มีทางที่จะสามารถสร้างผลงานที่วิจิตรเช่นนั้นขึ้นมาได้
นางงดงามและชื่นชอบการสวมชุดสีสันฉูดฉาดเพื่อให้ตัดกับผิวสีขาวผ่อง...
"อาเหยา เถ้าแก่เนี้ยอยู่รึเปล่า?"
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แม่สื่อต้องมาที่นี่ แต่โชคดีหน่อยที่นางได้รับการต้อนรับที่ดีจากเถ้าแก่เนี้ยทุกครั้งที่มาเยือน
"อยู่ขอรับแม่สื่อ ข้าน้อยจะไปรายงานเถ้าแก่เนี้ยให้นะ เชิญนั่งรอสักครู่"
หวีไม้ถูกยกขึ้นมาหวีลงไปผมเส้นผมที่นุ่มลื่นราวกับเส้นไหม ในกระจกสะท้อนดวงหน้าที่ยังคงความงดงามถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปยาวนาน
นานมากจนเย่วเล่อจำไม่ได้ว่านางมาอยู่ที่นี่นานเท่าใด รู้เพียงแต่ว่านางแต่งงานนับครั้งไม่ถ้วนพร้อมกับเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ
ใบหน้านี้ไม่มีทางแก่ชรานั่นทำให้มันเป็นปัญหามากทีเดียวกับการใช้ชีวิต
ความเจ็บปวดในใจเริ่มทุเลาลงไปตามกาลเวลา สิ่งที่ช่วยเยียวยานั่นคงจะเป็นบรรดาเหล่าบุรุษรูปงามพวกนั้น
"เถ้าแก่เนี้ย แม่สื่อมาขอพบขอรับ"
ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มขึ้นมาพร้อมกับนิ้วมือเรียวยาวที่คว้าชุดสีแดงสดขึ้นมาสวม มาดูกันเถอะว่า..สามีของเธอในครั้งนี้จะเป็นชายหนุ่มประเภทใดกัน?