2.ความรู้สึกที่เกินเลย

1402 Words
อาเหยาวางถ้วยน้ำชาเอาไปเบื้องหน้าของหญิงวัยกลางคน แม่สื่อผู้นี้มาที่โรงเตี๊ยมหลายรอบมากทีเดียว เรื่องนั้นเขาพอที่จะทำความเข้าใจได้ เพราะเถ้าแก่เนี้ยนั้น..งดงามมากจริงๆ คราแรกที่พบกัน กว่าเขาจะควานหาสติของตัวเองพบเจอก็ปาเข้าไปพักใหญ่ ความงดงามที่มิได้มีอยู่บนใบหน้าของมนุษย์.. ความงดงามของเทพจิ้งจอก "คราวนี้เป็นคุณชายตระกูลหยวนเจ้าค่ะ เป็นบัณฑิตที่พึ่งจบการศึกษามาอนาคตดีเพราะกำลังจะเข้าสอบเป็นขุนนางในราชสำนัก ใบหน้านั้นดูหล่อเหลาเข้าที แถมบิดามารดายังไม่มีกฎระเบียบมากมาย ทั้งสองท่านยินดีรับเถ้าแก่เนี้ยไปเป็นลูกสะใภ้เจ้าค่ะ" ผมยาวสลวยราวกับเส้นไหมนั่นสลายลงมาพร้อมกับใบหน้างดงามที่กำลังเปิดกระดาษวาดภาพบุรุษพวกนั้นดู เรื่องครอบครัวหรือว่าเรื่องการเงินเรื่องนั้นเธอมิได้สนใจทั้งสิ้น แค่ดูว่าบุรุษผู้นั้นงดงามหรือว่า..หล่อเหลารึเปล่าก็เท่านั้น คนที่จะนอนด้วย...ก็ต้องเลือกมากเสียหน่อย "ตัวข้านั้นเป็นเพียงหญิงหม้าย น่าละอายเกินกว่าจะแต่งงานเข้าจวนของผู้ใด เรื่องนี้ข้าเคยบอกกล่าวกับแม่สื่อไปแล้ว ว่าข้ามิแต่งงานเข้าจวนชายใด แต่เหล่าบุรุษพวกนั้นจะต้องแต่งงานแล้วมาอยู่ที่นี่แทน" ในครั้งแรกที่เย่วเล่อมาอยู่ที่เมืองมนุษย์ เรื่องภายในบ้านมันน่าปวดหัวมากทีเดียว ไหนจะเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้หรือว่าเรื่องเกี่ยวกับบรรดาอนุต่างๆของสามี กว่าจะทำความเข้าใจได้ นั่นทำให้เย่วเล่อมิคิดที่จะแต่งงานเข้าจวนของผู้ใดอีก เธอจึงประกาศออกไปว่าตัวเองนั้นเป็นหญิงหม้ายที่ถูกสามีทิ้ง ด้วยเหตุผลเพราะไม่อาจมีคุณธรรม และกฎของภรรยาทั้งแปดประการได้ แต่ก็ยังไม่วายมีบุรุษที่มาขอให้เย่วเล่อแต่งเข้าจวนอีก... "อ่า..เถ้าแก่เนี้ย คุณชายหยวนนั้นปักใจต่อท่าน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับความรักที่ลึกซึ้งเช่นนั้นจะสามารถหาได้จากที่ไหนอีกเจ้าคะ เชื่อข้าน้อยเถิดว่าคุณชายผู้นี้เหมาะสมกับท่านมากจริงๆ..." เหมาะสมหรือว่าเขามีเงินมากพอที่จะจ่ายให้แม่สื่อในจำนวนมากกันแน่ "วันนี้ข้าปวดหัว เรื่องเช่นนี้อาจจะต้องใช้เวลาคิดให้มากเสียหน่อย อาเหยา...ส่งแขก" นี่คือภาพที่ไม่อาจทำใจให้ชินตาได้ ยามที่เย่วเล่อเยื้องย่างมันราวกับว่านางกำลังล่องลอยขึ้นยังไงอย่างนั้น ห้องพักที่โรงเตี๊ยมเต็มแทบทุกวันเพราะผู้คนต่างมาพักเพราะต้องการพบเจอเถ้แก่เนี้ยที่งดงามราวกับภาพวาด... "อ้ายฉิง วันนี้เจ้าก็ปฏิเสธแม่สื่ออีกแล้วอย่างนั้นหรือ?" ดวงตาที่งดงามปรายตามองชูชาง ก่อนที่จะนั่งลงเพื่อร่ำสุรากับเขา ชายผู้นี้เป็นคนดี เย่วเล่อมองเห็นความดีได้จากจิตใจของเขาอย่างชัดเจน ความสัมพันธ์ของเรานั้นมิได้พัฒนาไปมากกว่าความเป็นสหาย ทั้งที่ใบหน้าและนิสัยของเขามันเป็นแบบที่เธอชอบ แต่เพราะความเป็นคนดีของเขา เธอจึงไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจไปกับเธอ มิตรภาพนั้นยาวนานมากกว่าความรักที่ฉาบฉวยพวกนั้น "น่าแปลกที่เห็นเจ้าที่นี่ ค่ายทหารจะทำเยี่ยงไร ในเมื่อแม่ทัพมาร่ำสุราที่โรงเตี๊ยมของข้าตั้งแต่หัววัน กล้าหนีงานอย่างนั้นหรือชูชาง.." เขาหัวเราะเบาๆพร้อมกับรินสุราใส่ถ้วนให้อ้ายฉิง "มีแม่ทัพคนใหม่เดินทางมาแล้ว แน่นอนว่าหลังจากนี้งานของข้าก็จะน้อยลง และสามารถมาที่นี่ได้ มาร่วมร่ำสุรากับเจ้าในทุกค่ำคืน" เย่วเล่อรู้สึกยินดีมากทีเดียวที่ชื่ออ้ายฉิงถูกเรียกออกมาจากริมฝีปากของเขา อ้ายฉิงนั้นแปลว่าความรัก ในเมื่อเย่วเล่อมิเคยได้รับความรัก เธอก็คิดว่าตัวเองในชื่อใหม่จะได้รับความรักจากใครสักคน... ความรักที่สามารถสัมผัสและมองเห็นได้ด้วยสายตา "เช่นนั้นก็นับว่าดียิ่งนัก.." เธอยกมือขึ้นมาเท้าคางเพื่อมองไปด้านล่าง นางรำกำลังเดินขึ้นมาเพื่อทำการแสดง...เสียงพิณแว่วหวานดังกังวานขึ้นมาตามสายลม เสียงพูดคุยมากมายดังขึ้นมาเพื่อกล่าวชื่นชมนางรำและสตรีผู้งดงามที่กำลังบรรเลงเพลงพิณ เนิ่นนานที่เธอหนีออกมาจากหุบเขาแห่งเซียน นานจนจำมิได้แล้วว่ามันผ่านไปกี่ร้อยปี ในทุกวันที่ฝนตกลงมา เย่วเล่อจะต้องเดินไปที่เขตป่าริมชายแดน ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปที่นั่นทำไม เพราะไม่ว่าจะไปในยามไหน เธอก็ไม่อาจทำใจเดินข้ามไปที่หุบเขาแห่งเซียนสักที ความหวาดกลัวในใจมันทำให้ขาทั้งสองข้างเกิดความขี้ขลาดขึ้นมา ในเวลาเดียวกันเธออยากจะไปขอโทษลี่ถิง แต่ทว่าก็ยังมีความหวาดกลัวตั้งคำถามขึ้นมามากมายในใจ หากพบเจออาจารย์จะทำหน้าเช่นไร หรือหากพบว่าท่านอาจารย์และเทพีจันทราครองรักกันพร้อมพยานรักตัวน้อยๆเธอจะสามารถกล่าวคำยินดีออกไปได้หรือไม่? เย่วเล่อแค่นหัวเราะให้กับตัวเอง พอหันไปมองชูชางก็พบว่าสายตาของเขากำลังจับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอ "...ข้ามีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้เจ้าฟัง" "ว่ามาสิ ชาง...ข้ากำลังตั้งใจฟังอยู่" "ไม่ใช่ที่นี่.." เดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ว่าเรื่องราวมากมายที่ชูชางจะเล่าให้ฟังมันคือเรื่องอะไร แต่ทว่าเธอไม่อยากจะให้เขาล้ำเส้น เพราะเย่วเล่อคิดว่าตัวเธอนั้นมีสหายน้อยมากถ้าเทียบกับอายุขัยที่ยืนยาวเช่นนี้ "ชาง เจ้าคือสหายที่ดีที่สุดของข้า แน่นอนว่ามันจะเป็น...เช่นนั้นตลอดไป" เป็นเช่นนี้เสมอ เรื่องที่อ้ายฉิงขีดเส้นที่หนาทึบเอาไว้กับความสัมพันธ์ของเขาและเธอ เรื่องที่ไม่อาจทำความเข้าใจนั่นคือทำไมต้องเป็นเขาที่ได้ยืนอยู่เพียงแค่ความสัมพันธ์ที่เรียกว่าสหาย เขามิได้เป็นคนรักทั้งที่ชายอื่นสามารถรักเธอได้ แต่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกล่าวออกไปด้วยซ้ำ ไม่มีสิทธิ์คาดหวัง ไม่มีสิทธิ์รักนาง... "ทั้งที่เจ้ารู้ แต่ก็ยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ ความรู้สึกของข้า...เจ้าก็รู้ใช่ไหมอ้ายฉิง...?" "ข้าคิดว่าวันนี้ข้าเริ่ม...เมาแล้วละสิ สงสัยว่าจะต้องขอลาไปนอนก่อน" เขาจับข้อมือของเธอเอาไว้แน่น "ไม่เอาอีกแล้วอ้ายฉิง ข้าน่ะถ้าวันนี้ไม่ได้บอกกล่าวความรู้สึกที่มีในใจนี้ออกไป ข้าก็จะไม่ขอมาที่นี่อีก ข้าไม่อยากเป็นสหายกับเจ้าแล้วอ้ายฉิง" เธอปรายตามองใบหน้าที่เห่อร้อนของเขาด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เมื่อย้อนคิดถึงครั้งอดีต ท่านอาจารย์เองก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่ เหตุการณ์ละม้ายคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ แตกต่างกันแค่เพียงในครั้งนั้น เธอมิได้เอ่ยเรื่องราวความรักที่อยู่ในใจดวงนี้ออกไปเท่านั้นเอง "ชาง...ข้ามิได้คิดกับเจ้าแบบนั้น ข้าให้เจ้าได้แค่เพียงฐานะของสหาย ไม่อาจ..เกินเลยกว่านั้นได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม..." ทั้งที่พอจะเดาคำตอบได้ แต่ทว่าเขาก็ยังกล่าวมันออกไป "ข้าจะไปจากที่นี่ สิ่งที่บอกกล่าวไม่หมดนั่นคือข้าต้องย้ายไปประจำที่ชายแดนเมืองฟู่หนาน จะเป็นหรือตายไม่อาจคาดคิด ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่สมหวัง แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกดีมากทีเดียว เพราะว่าข้านั้นได้กล่าวเรื่องราวที่เก็บงำมาตลอดกับเจ้า..." มือของเย่วเล่อกำแน่น "หวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งนะ ชาง..."
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD