“ว่าไงจ๊ะนวล… ”
เจ้าของบ้านเงยหน้ามองสาวใหญ่ที่ทรวดทรงยังสะสวยไม่สร่าง กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาซึ่งพิเดชไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“เจมส์… นี่พ่อเลี้ยงพิเดช”
นวลจันทร์แนะนำหลานชายกับเจ้าของบ้าน
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง”
เจมส์ยกมือไหว้นายใหญ่ของบ้าน พิเดชเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าปี เป็นคนตัวสูงใหญ่มาดแมน ผิวสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างกำยำตามแบบฉบับของเกษตรกรผู้ใช้ชีวิตกลางแจ้งเป็นส่วนใหญ่ จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าคมคร้ามหล่อเหลาสะดุดตา สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อต บนศีรษะสวมหมวกปีกกว้างเหมือนคาวบอย
“เห็นหน้าฝรั่ง… นึกว่าจะพูดภาษาไทยไม่ได้”
พ่อเลี้ยงกล่าวพลางจ้องมองหน้าหนุ่มลูกครึ่งสเปนรูปร่างสูงใหญ่ด้วยแววตาฉงน เพราะว่าเมื่อหลายวันก่อนนวลจันทร์เพิ่งขออนุญาตฝากหลานชายเข้ามาทำงานในไร่อ้อยของเขา
“อ๋อ… ไอ้เจมส์เป็นลูกครึ่งค่ะพ่อเลี้ยง”
นวลจันทร์บอก พิเดชไม่รู้มาก่อน ว่าหลานชายของหล่อนเป็นหนุ่มลูกครึ่งสเปนหน้าตาหล่อเหลา หน่วยก้านสูงใหญ่สะดุดตาจนน่าจะไปเป็นพระเอกหนังมากกว่ามาทำงานในไร่อ้อย
“หล่อนะเรา… หน่วยก้านดีจัง… ทำอะไรเป็นบ้างล่ะเอ็ง”
พ่อเลี้ยงถามเจมส์
“ทำได้ทุกอย่างครับพ่อเลี้ยง ผมขับรถได้ งานช่าง งานไร่งานฟาร์มได้ทั้งนั้น หนักเบาผมไม่เกี่ยงครับ… แล้วแต่พ่อเลี้ยงจะสั่งครับ”
เจมส์ตอบ สุ้มเสียงหนักแน่นอย่างคนสู้งาน
“แบบนี้ก็ดี… ตอนอยู่อเมริกาเคยทำงานในฟาร์มมาก่อนรึ?”
พ่อเลี้ยงสงสัย รู้สึกแปลกใจที่เจมส์เลือกมาทำงานในไร่อ้อยของเขา
“ครับ… ตอนเด็กๆ ผมอยู่เท็กซัสครับ”
เจมส์ตอบ
“อ๋อ… แบบนี้นี่เอง”
ในชีวิตของพิเดช เขาเคยไปเที่ยวรัฐเท็กซัสของอเมริกามาแล้วหลายครั้ง ด้วยชื่นชอบเมืองนั้นถึงขั้นหลงใหลไลฟ์สไตล์ชีวิตแบบอเมริกันคาวบอยแท้ ที่นั่นมีฟาร์มมากมาย ผู้คนในชนบทยังทำการเกษตรเป็นอาชีพ
“ถ้ามาจากเท็กซัส งั้นก็ต้องขี่ม้าเป็นสินะ”
พ่อเลี้ยงกำลังต้องการคนงานดูแลม้า
“ครับนาย”
ชายหนุ่มพยักหน้า ขี่ม้าไม่ใช่ปัญหาของลูกผู้ชายที่เติบโตมาจากเมืองคาวบอยเท็กซัสอย่างเจมส์
“ดี… งั้นวันนี้ทำงานที่คอกม้าไปก่อน ทำไปสักระยะเดี๋ยวฉันจะหางานที่เหมาะสมให้อีกที”
เจ้าของบ้านสั่งพลางยกหลังมือขึ้นมองนาฬิกา วันนี้เขามีนัด
“ครับนาย”
เจมส์พยักหน้ารับ
“นวลจ๋า… เธอช่วยดูแลเรื่องที่พักให้หลานชายด้วยนะ”
“ค่ะพ่อเลี้ยง”
สาวใหญ่พยักหน้ารับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม พิเดชเรียกหล่อนว่า ‘นวล’ จนติดปาก เพราะว่าเขามีอายุมากกว่าหล่อนถึงสิบปี ตอนนี้พิเดชอายุสี่สิบห้า แต่นวลจันทร์เพิ่งแตะสามสิบห้าเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
สายตาของพิเดชที่มองนวลจันทร์ น้ำเสียงที่พูดกัน ทำให้เจมส์พอจะรู้ว่าสองคนนี้น่าจะมีอะไรมากกว่านายกับบ่าว
“นวลจ๊ะ… วันนี้ยัยเกดจะมาถึงบ่ายๆ เดี๋ยวเย็นๆ ฉันกลับมาคงได้เจอกัน… ฝากดูแลลูกสาวฉันด้วย”
พ่อเลี้ยงเปรยถึง ‘เกดสุดา’ ลูกสาวคนเดียวที่เขารักปานแก้วตาดวงใจ กำลังเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ตามที่ได้นัดหมายล่วงหน้าเอาไว้ ว่าจะมาพักผ่อนที่ไร่ของเขาในช่วงปิดเทอมใหญ่
“ค่ะพ่อเลี้ยง”
นวลจันทร์พยักหน้ารับ รู้ว่าวันนี้พ่อเลี้ยงพิเดชมีธุระรออยู่ เขาต้องไปประชุมที่อำเภอร่วมกับสมาคมเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง
วันต่อมา
ตอนเช้าตรู่ ที่สนามหญ้า หน้าบ้านไม้สักหลังใหญ่ ของพ่อเลี้ยงพิเดช ตระหง่านอยู่ท่ามกลางเนินดินทำเลงาม โอบล้อมไปด้วยไร่อ้อยและข้าวโพดหลายร้อยไร่
“ป้านวลคะ… นั่นใครคะ”
เกดสุดาลูกสาวพ่อลเลี้ยง หล่อนมาถึงแล้ว คุณหนูอยู่ในชุดกางเกงผ้ายืดขาสั้น เสื้อยืดแขนกุดสีขาวครีม กำลังยืนออกกำลังกาย ชูแขนแอ่นสะโพกโยกซ้ายโยกขวาอยู่ท่ามกลางสนามหญ้าหน้าบ้าน เสียงใสร้องถามนวลจันทร์ที่กำลังเดินถือขวดน้ำดื่มตรงเข้ามาหาหล่อน
“อ๋อ… ไอ้เจมส์หลานป้าจ้ะคุณหนู”
นวลจันทร์เหลือบมองไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ท้ายบ้าน เห็นหลานชายรูปร่างสูงใหญ่ไซส์ฝรั่ง กำลังเตรียมตัวจะออกไปทำงานในไร่
“คนงานหรือคะ?”
หัวคิ้วโค้งเป็นแนวสวย รับกับกรอบดวงตา ชิดเข้าหากันด้วยความฉงนใจ ถ้าผู้ชายคนนี้เป็นคนงานในไร่ ก็เรียกได้ว่าเป็นคนงานที่หล่อเหลาสะดุดตาที่สุด เท่าที่เกดสุดาเคยได้พบเห็นมา
“ใช่ค่ะคุณหนู… ต้องขอบคุณพ่อเลี้ยงที่อุตส่าห์รับไอ้เจมส์หลานป้าไว้ทำงานในไร่ ไม่งั้นมันคงจะต้องเข้าไปหางานทำในกรุงเทพฯ”
“หรอคะ… ”
เกดสุดายังไม่หายสงสัย ในเวลาต่อมานวลจันทร์จึงเล่าให้ฟัง ว่าแม่ของเจมส์ซึ่งก็คือน้องสาวของหล่อน ไปได้สามีเป็นคนสเปนแต่ย้ายมาตั้งรกรากอยู่ในอเมริกัน
แม่กับพ่อของเจมส์พบรักกันที่เมืองพัทยา หลังจากแต่งงานกันเงียบๆ ก็พากันย้ายไปทำฟาร์มอยู่ที่รัฐเท็กซัสในสหรัฐอเมริกา
พ่อของเจมส์เป็นฝรั่งรักสันโดษ ฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก บรรพบุรุษของเขาสืบเชื้อสายมาจากคาวบอยเก่าในรัฐเท็กซัส เจมส์เกิดและเติบโตมาจากที่นั่น จึงไม่แปลก ถ้าเขาจะหลงใหลชีวิตชนบทจนตัดสินใจเข้ามาทำงานในไร่ของพ่อเลี้ยงพิเดช ตามคำแนะนำของนวลจันทร์ผู้เป็นป้าที่ทำงานอยู่ก่อน
“แล้วพ่อกับแม่ของเขาล่ะคะ”
เกดสุดาสงสัย แววในดวงตาของนวลจันทร์ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตอบว่า
“โชคร้ายที่พ่อกับแม่ของเจมส์ต้องมาจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อห้าปีก่อน… ฝนตกถนนลื่น ขับรถตกเขาตายทั้งคู่”
“ตายจริง… ”
เกดสุดายกมือขึ้นแตะอก อุทานตกใจ
“ค่ะ… ตอนนั้นเจมส์อายุได้ยี่สิบปีพอดี หลังจากพ่อแม่ตายชีวิตก็ผกผัน เพราะว่าที่อเมริกาเจมส์ไม่มีญาติที่ไหน สุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่กับตายายที่เมืองไทย ก่อนที่ป้าจะพามาทำงานที่นี่”