ผ่านมานานจนตอนนี้เจ้าตัวเล็กของเธอเติบโตอยู่ในท้องได้เจ็ดเดือนสองสัปดาห์แล้ว ระหว่างที่มาใช้ชีวิตใหม่ที่นี่ มะลิลาไม่เคยคิดเสียใจที่ตัดสินใจแบบนั้นในวันนั้น ตัวตนของเธอที่เมืองไทยได้ตายไปจากทุกคน หากย้อนเวลากลับไปได้ก็จะเลือกแบบนี้ เธอจะเลือกจากมาแบบนี้ จากคนใสซื่อไร้เดียงสาพอได้ตีปีกออกจากกรงทองที่พ่อกับพี่ชายสร้างให้เธอก็ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและเติบโตขึ้นในแบบของเธอ เธอเรียนออกแบบอย่างที่ใฝ่ฝันและพอได้เจอผู้คนมากขึ้น ได้ไปช่วยงานแฟชั่นโชว์มากขึ้นก็สร้างความมั่นใจให้เธอ จากคนที่แต่งตัวเฉิ่มเชยตอนนี้กลายเป็นสาวมั่น
ตุ๊ด! ตุ๊ด! ตุ๊ด!
มะลิลายิ้มให้กับสายที่วิดีโอคอลข้ามประเทศมาหาตัวเองที่แทบจะทุกวันก็ว่าได้
“คะ พี่หิน” เธอกดรับสายเปิดกล้องพร้อมทักคนที่โทรหาตัวเอง
“วันนี้เป็นยังไงมั่งหอม”
“ก็เหมือนเดิมค่ะ หลานพี่หินดื้อซนเหมือนเดิมอย่างทุกวันค่ะ” เธอตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับหยิบขนมกินไปด้วย
“แน่นอนอยู่แล้ว หลานลุงหินซะอย่าง”
“ลุงหินเตรียมเลี้ยงได้เลยค่ะ เดี๋ยวทำงานโปรเจกต์นี้เสร็จ หอมก็จะกลับไทยแล้ว กลับไปรอคลอดเจ้าตัวเล็ก” แม้ว่าเวลาของทั้งสองประเทศต่างกันหกชั่วโมง แต่ก็ไม่เคยทำให้หัสดินขี้เกียจโทรหาเธอเลยสักครั้งและเธอเองก็รอสายจากพี่ชายทุกวันเพื่อจะได้บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองในแต่ละวันให้อีกฝ่ายฟัง
“คุณตาก็เตรียมพร้อมแล้ว แล้วเนี่ยเรียนจบแล้วรึยังหอม และเรื่องการเดินทางตอนท้องแก่ใกล้คลอดไม่เป็นอันตรายใช่ไหม ปรึกษาคุณหมอรึยังฮึ”
“จะจบคอร์สต้นเดือนหน้านี้แล้วค่ะพี่หิน หอมเรียนคอร์สสั้นๆ หกเดือน ใจก็อยากเรียนต่อ แต่ก็ต้องหยุดก่อน เพราะเจ้าตัวเล็กใกล้จะคลอดแล้ว ท้องหอมก็โตมาก เดินเหินไม่ค่อยสะดวกเหมือนเดิมด้วยค่ะตอนนี้ ส่วนอันตรายไหม ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่ะ หอมปรึกษาคุณหมอแล้ว เดินทางได้ค่ะ เพราะหลานพี่หินแข็งแรงและหอมก็แข็งแรงด้วยเลยไม่มีปัญหาค่ะ ก่อนจะเดินทางหมอจะออกใบรับรองแพทย์ให้ด้วยค่ะ” เธอบอกพี่ชายพร้อมก้มลงมองท้องที่กลมโตของตัวเองแล้วลูบไปมา
“ดีแล้ว เดี๋ยวยังไงแค่นี้ก่อนนะน้องรัก”
“ค่ะ พี่หิน คิดถึงพี่หินและพ่อนะคะ”
“พี่กับพ่อก็คิดถึงเรา” แล้วหัสดินก็กดวางสายไป ส่วนเธอลุกขึ้นไปเปิดประตูบ้านเมื่อเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
“มาแล้วเหรอโทนี่” เธอทักทายเพื่อนสนิทที่มาหาทุกวัน
“สวีทพร้อมรึยัง” เสียงทุ้มอ่อนโยนถามกลับมาเป็นภาษาอังกฤษเหมือนคำทักทายของเธอที่ทักอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ
“ขอไปหยิบกระเป๋าแป๊บนะ โทนี่เข้ามารอข้างในก่อน” เธอบอกตอบพร้อมเชิญแขกเข้ามาในบ้าน
โทนี่เดินตามเจ้าของบ้านตามคำเชิญ เขาและหญิงสาวรู้จักกันที่งานแฟชั่นโชว์ และโทนี่เป็นรุ่นพี่ที่ทางสถาบันออกแบบจัดให้มาดูแลมะลิลา จะว่าเป็นพี่เลี้ยงก็ว่าได้ และทุกคนที่ปารีสรู้จักมะลิลาในชื่อ ‘สวีท’ เพราะชื่อภาษาไทยของเธอมันเรียกยาก ทุกคนเลยตั้งให้ว่า ‘สวีท’ เรียก ‘สวีท’ มาตลอดตั้งแต่รู้จักทุกคน
ระหว่างเดินเลือกซื้อของกับโทนี่อยู่นั้น มะลิลาหยุดเท้าที่กำลังจะเดินทันทีเมื่อมองเห็น ‘อดีตสามี’ อย่างพัดยศ ไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่ เกือบปีที่หนีมาอยู่ที่นี่ เกือบปีที่ตายไปจากชีวิตของผู้ชายใจร้ายมักมาก หรือจะว่าตายไปจากโลกของคนที่เมืองไทยก็ว่าได้
ด้านพัดยศที่พาแฟนสาวออกมาเดินซื้อของก่อนกลับเมืองไทยไม่รู้เลยว่าตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของ ‘อดีตภรรยา’ ที่ตนไม่อาจลืมได้ แม้จะเกือบปีที่ภรรยาจากไป จากวันนั้นที่ได้ลาครั้งสุดท้ายที่หน้าเมรุ เขาก็คืนทุกอย่างให้กับครอบครัวเธอหมดทุกอย่าง เขาเป็นแค่ลูกชายบุญธรรมของบ้านนั้นจึงทำให้ได้แต่งงานกับลูกสาวผู้มีพระคุณอย่างเลี่ยงไม่ได้
“พี่ยศคะ กี้ซื้อกระเป๋าใบนี้ได้ไหมคะ” เพณิตายกกระเป๋าใบที่ชอบขึ้นให้แฟนหนุ่มดู
“ได้สิ จะกี่ใบก็ได้ ถ้ากี้ต้องการ พี่ซื้อให้ได้หมดแหละครับ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยตอบพร้อมส่งยิ้มแห้งๆ อมเศร้าให้แฟนสาว
“ขอบคุณนะคะ กี้รักพี่ยศที่สุดเลยค่ะ” หล่อนวิ่งมาจุ๊บแฟนหนุ่มแล้วกลับไปหยิบกระเป๋าให้พนักงานต่อ
“ยืนทำอะไรอยู่สวีท” น้ำคำภาษาอังกฤษไม่เบาเท่าไหร่นักทำให้พัดยศหันไปมองตามทางต้นเสียง แต่ก็ไม่ทันได้เห็นหนั้า เห็นแต่แผ่นหลังของหญิงสาวผมดำยาวสลวยเดินจากไปพร้อมกับชายต่างชาติร่างใหญ่และก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อท่าทางการเดินคล้ายกับใครบางคนจนทำให้ต้องเดินตามไป แต่แล้วก็ต้องหยุดเท้าเมื่อเพณิตาเรียกให้ไปจ่ายค่ากระเป๋าให้ ‘จะเป็นหอมได้ยังไง หอมตายแล้วไอ้ยศ’ เขาสะบัดหัวบ่นพึมพำในใจพร้อมไล่ความคิดถึงอดีตภรรยาแล้วเดินไปหาแฟนสาวพร้อมกับยิ้มฝืดๆ เหมือนเดิม
แปลก...พัดยศไม่เข้าใจตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต จากที่เคยคิดว่าจะมีความสุขหากได้อยู่กับเพณิตา หญิงสาวที่ตัวเองรักและคบหามานาน แต่พอได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ เขากลับไม่รับรู้ถึงความสุขอย่างที่เคยคิดวาดฝันไว้ ยิ่งนานวันเขากลับยิ่งคิดถึงคนที่จากไป คนที่ตัวเองไม่เคยเห็นค่า และนั่นยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วที่ผ่านมาตัวเองมีความสุขดีรึเปล่ากับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้