บทที่ 4 ฉันจีบเธออยู่ไม่รู้หรือไง

1906 Words
อาหารหน้าตาน่ารับประทานและหรูหราไม่หยอกถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำความตื่นเต้นและอยากอาหารของดอกรักไม่เหลือสักนิด เพราะมันถูกแทนด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไปหมดแล้ว หลังจากหญิงสาวปริศนาหน้าตาดีเข้ามาหอมแก้มพยัคฆ์แล้ว ก็ทักทายกันนิดหน่อยก่อนจะลาไป เธอคนนั้นทำเพียงเหลือบมามองดอกรักสลับกับพยัคฆ์ด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้แต่พยัคฆ์ก็ไม่ได้แนะนำเธอแต่อย่างใด ส่วนดอกรักก็เอาแต่หน้าก้มตาอย่างเจียมตัว ไม่ใช่แค่การมีคนเข้ามาทักทายพยัคฆ์ แต่ทุกคนที่นี่ล้วนแต่งตัวดูดี ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม หรือเครื่องประดับอื่นที่สวมใส่บนร่างกาย แตกต่างจากดอกรักที่สวมเพียงชุดนักศึกษาเก่าหมอง แม้ว่ามันจะสะอาดสะอ้านแต่ความหมองคล้ำตามประสาเสื้อสีขาวที่ต้องใส่ทุกวันก็เผยให้เห็นอย่างชัดเจน ต่างจากคนตรงข้ามที่แม้จะอยู่ในชุดนักศึกษาผิดระเบียบ แต่แค่มองก็รู้แล้วว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนั้นคงเป็นของแบรนด์ดังสักยี่ห้อ ‘พยัคฆ์แตกต่างจากเธอเหลือเกิน’ ดอกรักคิดในใจ “เธอลองอันนี้" สเต๊กถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำส่งมายังจานใบใหญ่ “ขอบคุณค่ะ” แม้ในใจจะเศร้าตรมแต่ดอกรักก็ไม่อยากแสดงออกให้บรรยากาศกร่อย เพราะนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้ทานอาหารกับเขา และหลังจากมื้ออาหารเสร็จสิ้นพยัคฆ์ก็มาส่งเธอถึงหน้าหอพัก “ขอบคุณนะคะ” “อื้อ เข้าไปเถอะ” “ค่ะ” ดอกรักตอบทั้งรอยยิ้มก่อนจะหันหลังเข้าไปในอาคารหลังเก่า เมื่อเข้าไปด้านในก็ได้ยินเสียงรถสปอร์ตคันหรูขับออกไป ดวงหน้าสวยหันกลับไปมองจนรถคันนั้นลับสายตา ไม่รู้ว่าเพราะพยัคฆ์ใจดีหรือสงสารกันแน่ถึงได้มาทำดีกับเธอแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่ที่ดอกรักไม่เข้าใจมากที่สุดเห็นจะเป็นอาการหัวใจเต้นแรงยามได้อยู่ใกล้อีกฝ่าย และอาการเจ็บหน่วงตอนที่เห็นพยัคฆ์อยู่กับผู้หญิงคนอื่น เฮ้อ... … จากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์ที่ดอกรักพยายามหลบหน้าหลบตารุ่นพี่นามว่าพยัคฆ์ แต่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นเมื่อวิชาที่เราเรียนด้วยกันบรรจบมาถึง ดอกรักเห็นร่างสูงที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว แถมสายตาคมคายยังจ้องมาทางเธอทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ปกติดอกรักจะนั่งที่เดิมตามความเคยชิน แต่เมื่อเห็นว่าที่ตรงนั้นมีร่างสูงใหญ่ยึดเก้าอี้ข้าง ๆ ไปแล้ว จึงเลือกจะนั่งลงแถวหน้าสุดเพื่อรักษาระยะห่าง นักศึกษาคนอื่นค่อย ๆ ทยอยเข้ามาเมื่อใกล้ถึงเวลาเรียน ส่วนดอกรักที่ไม่ได้รู้จักใครอยู่แล้วก็ก้มหน้าก้มตาแสร้งทำเป็นว่ากำลังทบทวนบทเรียนอย่างแข็งขันตามประสาเด็กทุน ทว่าขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่นั้นเก้าอี้ว่างข้างตัวก็มีคนมานั่ง และกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นจมูกทำให้ดอกรักไม่กล้าเงยขึ้นมาดู พลางคิดในใจว่าน้ำหอมแบบนี้ใครก็ใช้ได้ คงไม่ใช่พยัคฆ์หรอก แต่เหมือนเธอจะหนีความจริงได้ไม่นาน... “อ้าว ไอ้เสือ ทำไมมานั่งตรงนี้” ไม่ต้องเงยหน้าก็รู้ว่านี่คือเสียงของดราก้อน และเดาว่าคนที่จะพูดต่อไปก็คงไม่พ้นเจ้าป่า “นั่นสิ มาเร็วแปลก ๆ” “ตั้งแต่ตามรับส่งบางคนก็มาเรียนเร็วเชียวนะมึง” “เออ แต่ดูท่าแล้วเหมือนเขาไม่ค่อยเล่นด้วยปะ” “รำคาญ ไอ้สัตว์” ดอกรักที่ได้ยินกลุ่มเพื่อนสนิทเถียงกันอยู่หน้าห้องก็ยิ่งก้มหน้าจนแทบจะสิงเข้าในโต๊ะอยู่แล้ว คนพวกนี้ทั้งที่อยู่เฉย ๆ ก็โดดเด่นมากแล้ว แต่นี่มายืนรวมกลุ่มเถียงกันอยู่หน้าชั้นเรียนมีหรือที่นักศึกษาคนอื่นจะไม่มอง ได้ยินพยัคฆ์ถกเถียงกับเพื่อนจึงคิดว่าเขาคงไม่ได้สนใจเธอแล้วจึงค่อย ๆ กวาดของที่จัดเตรียมอยู่บนโต๊ะลงถุงผ้าใบเก่ง แล้วตั้งใจจะลุกออกไปเงียบ ๆ แต่ไม่ทันจะได้เลื่อนเก้าอี้ออกจากก้นเสียงดุก็ดังขึ้น “นั่งลง” กึก ! ร่างบางหยุดชะงักทันทีในท่าทางประหลาด และเหมือนจะไม่ได้มีแค่ดอกรักที่หยุดเพราะทั้งเจ้าป่ากับดราก้อนที่กำลังคุยกันก็ชะงักตามไปด้วย ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่เธอ “เอ่อ...คือ” “นั่งลง ก่อนที่ฉันจะอุ้มเธอออกจากห้อง” “เฮ้ย ไอ้เสือมันเอาวะ” เป็นดราก้อนที่เอ่ยแซวทันที ส่วนดอกรักที่ได้ยินอย่างนั้นใบหน้าขาวก็ขึ้นริ้วสีแดงไม่รู้เพราะเขินหรือเพราะอายกันแน่ ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งที่เดิม และไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่ออาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามา เป็นสัญญาณให้นักศึกษาทั้งหลายที่กำลังพูดคุยเสียงเจี๊ยวจ๊าวเงียบลง และเข้าสู่บทเรียนของวันนี้ เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงคาบเรียนก็จบลง ดอกรักที่ตั้งใจว่าเมื่ออาจารย์ปิดคลาสแล้วจะพุ่งตรงออกประตูด้านหน้าทันที แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ยืนขึ้นกระเป๋าผ้าใบเก่งก็ถูกจับยึดไว้จากคนด้านข้าง “มะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ” ดอกรักถามเสียงสั่น แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เพราะสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันของพยัคฆ์มันน่ากลัวเลยน่ะสิ “ตามฉันมา” พยัคฆ์ดึงลากคนตัวเล็กกว่ามายังลานจอดรถหลังอาคาร ซึ่งตลอดทางมือใหญ่ยังคงกำสายกระเป๋าเธอไว้แน่นจนดอกรักไม่กล้าขัดขืน และแน่นอนว่าภาพนี้ย่อมเรียกสายตานักศึกษาที่ผ่านไปมาให้จับจ้องได้ไม่ยาก บางคนก็มองด้วยความสงสัย บางคนก็มองด้วยความอิจฉา และบางคนก็มองด้วยความเวทนาตามที่แต่ละคนจินตนาการสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ เมื่อพยัคฆ์ปล่อยมือจากกระเป๋าผ้า ดอกรักก็รีบดึงมันเข้ามากอดอย่างหวงแหน ตากลมมองใบหน้าคมตรงหน้าอย่างหวาดระแวง เพราะแถวนี้เป็นด้านหลังของอาคารทำให้ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาเท่าไหร่ ไหนจะหน้าดุ ๆ ที่มองเธอไม่ละสายตานั้นอีก ดอกรักไม่รู้ว่าพยัคฆ์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ “พี่พยัคฆ์มีอะไรเหรอคะ” “เธอหลบหน้าฉัน” “เปล่าสักหน่อย” ตอบเสียงแผ่วเพราะตัวเองทำอย่างนั้นจริง แต่พอโดนพูดต่อหน้าโต้ง ๆ แบบนี้ใครจะกล้าไปยอมรับ “หลบหน้าฉันทำไม” “ไม่ได้หลบ- “ “ถ้าพูดโกหกอีกเธอโดนแน่” “อึก !” ปากเล็กที่ตั้งท่าจะปฏิเสธกลืนคำพูดลงคอในทันทีเพราะฟังจากน้ำเสียงแล้วคิดว่าพยัคฆ์คงจะทำอย่างนั้นจริง ๆ ถึงอีกฝ่ายยังไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร แต่มันคงไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอแน่นอน! “ฉันทำอะไรให้เธอโกรธเหรอ ทำไมต้องหลบหน้ากันขนาดนี้ด้วย” ในช่วงที่ผ่านพยัคฆ์ไปรอรับอีกฝ่ายหน้าคณะก็เจอแค่เพื่อนสนิทดอกรักสองคน ส่วนยัยตัวดีก็วิ่งหนีไปทางด้านหลังอาคารทุกทีที่เห็นรถเขา ไหนจะยามที่ไปรอรับที่หน้าหอก็ไม่รู้ยัยคนดื้อแอบหนีไปได้ยังไง ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยต้องมาตามใครแบบนี้เลย โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงมีแต่คนอยากจะเข้าหาเขากันทั้งนั้น จะมีก็แต่คนตรงหน้าที่พยัคฆ์ยินดีจะตามและคว้ามาอยู่เคียงข้าง “ไม่ได้โกรธ” “แล้วทำไมหลบหน้าฉันล่ะ” “ก็...แบบว่า ฉันกลัวพี่จะเสียหาย” “เสียหาย ?” “อะ...อื้อ พี่หล่อขนาดนี้ ฐานะก็ดี ไม่รู้จะมาทำดีกับฉันทำไม ไหนจะมารับมาส่ง ไปรอรับหน้าคณะแบบนั้นอีก ต้องการอะไรจากฉันเหรอ” “เพราะฉันชอบเธอ” “ฉันไม่มีอะไรจะ- หา พี่ว่าไงนะ” “ยัยโง่ที่ตามอยู่แบบนี้ก็ฉันชอบเธอไงเล่า” ร่างขาวนิ่งแข็ง ใบหน้าร้อนผ่าว ปากสีระเรื่อปากอ้าพะงาบพูดอะไรไม่ออกเพราะไม่คิดว่าพยัคฆ์จะสารภาพออกมาตรง ๆ ไหนใบหูสะอาดของคนตรงหน้าที่ขึ้นสีแดงจัดทำให้รู้ว่าเขาก็คงเขินอายไม่แพ้กัน “ชอบฉัน ?” ดอกรักทวนคำพูดเมื่อกี้กับตัวเอง แต่ในตอนที่กำลังจะดีใจภาพที่หญิงสาวคนนั้นหอมแก้มพยัคฆ์ฟอดใหญ่ก็วาบเข้ามาในหัว “พี่อย่ามาล้อฉันเล่น วันก่อนพี่ยัง-” “ฉันทำไม” “ให้คนอื่นหอมแก้มอยู่เลย” ดอกรักพูดเสียงเบา “ใครนะ” “ก็คนที่พี่ปล่อยให้เธอหอมแก้มกลางร้านอาหารนั่นไง” เสียงหวานตอบดังขึ้น ที่เธอทำแบบนี้ใช่ว่าจะไม่อึดอัด เธอก็อยากเจออยากพูดคุยกับเขาเหมือนกัน และไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้คืออะไร “นั่นมันลิลลี่ น้องสาวไอ้กร” ดอกรักฟังอีกฝ่ายอธิบาย แต่ก็ยังไม่เข้าใจเพราะไม่รู้ว่าเป็นน้องสาวดราก้อนแล้วยังไง พยัคฆ์เห็นหน้าตาไม่เข้าใจก็อธิบายต่อ “พี่น้องคู่นี้โตอยู่ต่างประเทศเลยติดวัฒนธรรมพวกนี้มาด้วย เหมือนตอนแรกที่เจอกันหมอนั่นจะจับมือเธอมาจูบนั่นแหละ” “อ่า” ก็จริงอย่างที่พยัคฆ์พูดเพราะทันทีที่เจ้าป่าชวนเข้ากลุ่มทำงาน ดราก้อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ตั้งท่าจะจับมือเธอขึ้นไปจูบจริง ๆ แต่เพราะเสียงกระแฮ่มจากพยัคฆ์ดังขัดขึ้นก่อน “อีกอย่างฉันกับไอ้กรรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ลิลลี่ก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ไม่มีอะไรแน่นอนเธอสบายใจได้” “ค่ะ เดี๋ยว ฉันไม่ได้ไม่สบายใจสักหน่อย” “งั้นเหรอ” เสียงเข้มพูดล้อเลียนจนดอกรักต้องก้มหน้าหลบสายตา แต่มีหรือที่คนตัวสูงจะยอม มือใหญ่เชิดคางเล็กให้เงยหน้ามาสบตาก่อนจะพูดเสียงจริงจัง “มีอะไรที่เธอสงสัยในตัวฉันอีก” “พี่เจ้าชู้” ดอกรักพูดอ้อมแอ้มเพราะมันเป็นหนึ่งในเรื่องที่เธอเคยได้ยินมาจริง ๆ ไม่ใช่แค่จากเพื่อนสนิทที่เล่าให้ฟัง แต่เธอก็เคยเห็นเขาควงผู้หญิงไปทานข้าวร้านที่เธอเคยทำงานเหมือนกัน “ใครบอก” “เขาพูดกันไปทั่ว” “แค่ได้ยินจากคนอื่นก็เชื่อเลยงั้นเหรอ” “ก็ มัน...” “เธอคงไม่ได้ใจแคบถึงขั้นไม่ให้โอกาสฉัน เพราะสิ่งที่ยังไม่พิสูจน์หรอกใช่ไหม” “เปล่าใจแคบสักหน่อย” “งั้นก็ดี” “คะ ?” “จากนี้เตรียมตัวโดนจีบได้เลย ที่รัก” พยัคฆ์พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ปรับความเข้าใจกับคนตรงหน้า ใบหน้าคมคายที่มักจะนิ่งเรียบบัดนี้มีรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่แค่รอยยิ้มเล็ก ๆ นี่แหละที่ทำเอาดอกรักจ้องมองไม่ละสายตา “ทำไม หลงเสน่ห์ฉันแล้วหรือไง” “พี่ยิ้ม” “อื้ม” “เพิ่งเคยเห็น” “ฉันยิ้มเพราะเธอ” “อะ...อื้อ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD