ในความทรงจำของไพลิน ไร่รุ่งอรุณเป็นไร่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นขี้วัว และผู้คนที่พูดจาเสียงดังโหวกเหวก คนงานในไร่ล้วนเป็นแรงงานข้ามชาติทำให้เธอมักถูกดุที่แอบมุดรั้วมาที่ไร่แห่งนี้ เพราะทุกคนเป็นห่วงเธอ แต่เธอในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะคิดอะไรได้นอกจากหาเรื่องสนุกสนานเที่ยวเล่นกลับมองว่าคนพวกนี้ใจดีมีรอยยิ้มให้เสมอ
“เข้าไปข้างในก่อน ยืนอยู่แบบนี้เพลินจะไม่สบายเอา” น้ำเสียงของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความเป็นคนที่ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี
“ฉันขอโทษค่ะ” เธอส่ายหน้าอย่างงง ๆ “ที่นี่เปลี่ยนไปมาก”
“ฉัน?” มาโปรดเลิกคิ้ว แน่นอนว่าเขาคุ้นชินกับคำว่า ‘เพลิน’ มากกว่า แต่ก็ใช่สินะ เวลานี้เพลินของเขาเป็นสาวแล้วนี่
นึกแล้วใจหาย เพลินเป็นสาวแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยตัวเล็ก ๆ แสนซุกซนที่เขาเคยให้ขี่คอเล่นอีกแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า” น้ำเสียงของเขาดูสงบลงอีกครั้ง และแฝงด้วยความห่วงใย
“ฉัน...” เธออ้ำอึ้ง เรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่ได้เล่าให้ใครฟัง มันรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทันด้วยซ้ำไป
เห็นดังนั้นมาโปรดก็ตัดบท ไม่อยากคาดคั้นกดดันอะไรหญิงสาวในตอนนี้
“ยังไม่ต้องตอบอะไรตอนนี้ก็ได้แต่เข้าบ้านกันก่อนเถอะ ตัวเปียก ๆ แบบนี้เดี๋ยวจะจับไข้”
ชายหนุ่มก้าวเท้ายาว ๆ สบายๆ ทว่ามั่นคง ประคองไพลินให้เดินตามเข้าไปในบ้าน เธอพยายามที่จะเดินให้ตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทว่าแขนขาของเธอช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย คล้ายความเข้มแข็งที่มีมาหายไปหมดสิ้น ทันใดนั้นร่างของเธอทรุดฮวบลงไป
“เพลิน!” มาโปรดเรียกอย่างตื่นตระหนก รีบช้อนร่างเบาหวิวไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงไปกองกับพื้น
แม่บ้านที่เห็นว่าเจ้านายเพิ่งกลับบ้าน จะออกมาคอยรับใจ เข้ามาเห็นก็อ้าปากกว้างด้วยความตกใจแต่ยังไม่ทันจะส่งเสียงร้อง เขาก็สั่งการน้ำเสียงเฉียบขาด
“ตามหมออนันต์มาด่วน”
“ค่ะพ่อเลี้ยง”
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ไพลินรับรู้ก่อนหลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบรอบข้าง ใบหูแนบแผ่นอกได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะมั่นคงที่ชวนให้ใจสงบ
เธอเหนื่อยล้าเกินกว่าจะฝืนทนต่อไปและต้องการพักผ่อนหลังจากที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตมาตลอดทั้งวัน
บางทีหากลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างอาจเป็นแค่ความฝัน