"อ๊าก"
เสียงร้องอย่างเจ็บจุกของเขา ขวัญข้าวคิดไปถึงคำที่ได้ยินคนพูดเปรียบเปรยว่า ‘ร้องเหมือนควายถูกเชือด’ เธอดันร่างงอของเขาออกห่างตัวอย่างง่ายดาย เมื่อมือที่กำข้อมือของเธอไว้แน่นนั้นคลายออก ร่างใหญ่ทรุดลงไปกองกับพื้นใบหน้าเขาบิดเบี้ยว อย่างเจ็บปวดยากอธิบายได้ แวบแรกเธอรู้สึกสงสารและสำนึกผิด ว่าอาจทำรุนแรงเกินไป แต่เพราะเธอไม่รู้ว่าจุดยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ชายหนุ่มเจ็บปวดนั้นมีส่วนไหนนอกจากกล่องดวงใจสุดรักสุดหวง
“เจ็บมากหรือคุณ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เธอพูดเสียงอ่อยๆ เพราะสำนึกผิดและรู้สึกสงสาร
อาติณณ์ไม่ตอบ แค่เหลือบตามองเธออย่างเคืองขุ่น ทำเขาขนาดนี้แล้วยังมาถามหน้าตาเฉยว่าเจ็บไหม เขายันตัวลุกขึ้นยืนแม้ตัวยังงอ แล้วเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอทำเขาฝ่ายเดียวโดยไม่ตอบโต้ ร่างสูงที่ยืดยังไม่เต็มความสูงโผเข้าหาหญิงสาวที่ไม่ทันตั้งตัว สองร่างล้มลงบนเตียงนอน
“ว้าย! ปล่อยนะ อย่าทำอะไรฉันอีกนะ” ขวัญข้าวร้องเสียงหลงอย่างตกใจ ดิ้นอยู่ใต้ร่างใหญ่ที่คร่อมทับ แต่เหมือนเขาจะจงใจทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมา
บ้าที่สุด เธอไม่น่าสงสารเขาเลย น่าจะหาอะไรทุบซ้ำให้หัวแบะไปยังดีกว่า
“ไม่ต้องคิดไปไกลขนาดนั้น ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ยังไม่มีอารมณ์ แต่เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง พูดให้จบกันวันนี้ เข้าใจไหม” เขาพูดเสียงเข้ม อยู่ใกล้ใบหน้าเธอแค่คืบ
“แค่พูดจาให้เข้าใจ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ ขยับออกไปนะ นั่งคุยกันดีๆ ก็ได้”
“ไม่! คุณเคยคิดจะคุยกันดีๆ ไหม ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเสียหาย ผมไม่เคยพบไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไหนเรื่องมากอย่างคุณเลย ให้ตายสิ” เขายังยืนกรานไม่ยอมขยับออกห่าง ทั้งยังจ้องตาหญิงสาวไม่ยอมละลด และไม่ยอมให้เธอเบือนหน้าหนี
ขวัญข้าวหน้างอเมื่อหลบเลี่ยงและผลักไสเขาไม่ได้ แต่จะให้นอนสบตาเขาอยู่ในสภาพแบบชิดอย่างนี้ก็กระไรอยู่ เธอรีบเบือนสายตาหนี จึงไม่เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของอาติณณ์ ชายหนุ่มใช้ช่วงเวลานี้มองเสี้ยวหน้าของหญิงสาว ผิวหน้าเธอเนียนละเอียด จมูกโด่งเป็นสันสวยงาม ดวงตากลมขนตาของเธอเมื่อมองด้านข้างเน้นความหนาและยาวให้เห็นชัดมากขึ้น จนเขาอดใจไม่ได้ใช้ปลายนิ้วสัมผัสเล่นแล้วรำลึกถึงหญิงสาวที่เป็นรักแรกของเขา ขนตาเธอหนาและงอนช้อยเช่นนี้...ป่านนี้คุณจะอยู่ที่ไหนนะ แพรว
“โอ๊ย!” ชายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในภวังค์เมื่อคิดถึงคนรักเก่าของตนเอง ร้องเสียงหลง เมื่อถูกเจ้าของขนตาที่เขากรีดเล่นนั้นหันกลับมางับนิ้วเขาอย่างแรง
“ทำผมเจ็บอีกแล้วนะ ขวัญข้าว” เขาตวาดอย่างเหลืออด และเรียกชื่อเธอตรงๆ เหมือนคนสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อน
“จะพูดอะไรก็พูดมาสิ แล้วกรุณาขยับออกไปเสียที ฉันหนัก” เธอพูดใส่หน้าเขาอย่างเหลืออด มานอนทับบนตัวเธอแล้ว ยังมาเขี่ยขนตาเธอเล่นอีก ไม่ใช่คู่รักกันเสียหน่อยจะมาทำแบบนี้ แต่จะว่าไปตอนคบหากับพีรัชเป็นคนรักเขาก็ไม่เคยมีโอกาสมาแตะโน่นแตะนี่ในตัวเธออย่างอาติณณ์ทำ
“อ้อ” อาติณณ์ยิ้มเก้อๆ แต่ไม่ยอมขยับหนีไปเสียที เพราะอะไรนะหรือ ก็อาการเสียศูนย์จากการที่แกนกลางร่างกายของเขาถูกกระแทกด้วยเข่าของหญิงสาวอย่างแรงยังไม่หายไปนั่นเอง ถ้าให้เขาลุกยืนหรือเดินดู มีหวังเดินไม่ตรงทางเท่าไหร่ อาติณณ์จึงเลือกนอนอยู่อย่างเดิม เพียงแต่ผ่อนน้ำหนักที่กดทับเธอให้น้อยลงแล้วตั้งใจพูดคุยตกลงกันเสียที ไม่ไขว้เขวพิศมองเครื่องหน้าของเธออีกแล้ว
“เรื่องทั้งหมด”
ติ๊งต่อง...ติ๊งต่อง...
เสียงกริ่งสัญญาณบอกว่ามีแขกมาเยือนดังขึ้น ทำให้อาติณณ์ชะงักคำพูด เขามองหน้าหญิงสาว แล้วดันตัวขึ้นสูงมองผ่านหน้าต่างกระจกที่ขวัญข้าวรูดม่านไปผูกไว้สองข้างอย่างเป็นระเบียบ เห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วเหล็กดัด ชะเง้อมองเข้ามาในบ้าน เขาลดตัวลงมาบอกหญิงสาว หน้าตาเขาไม่ต่างจากคนทำความผิดแล้วถูกจับได้นัก เช่นเดียวกับขวัญข้าวที่หน้าถอดสี เธอกลัวว่าถ้าใครมารู้มาเห็นว่าอาติณณ์อยู่ในห้องกับเธอสองต่อสอง ข่าวซุบซิบนั่นก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีก จากคนที่ไม่เชื่อก็พากันเชื่อเสียทั้งหมด
“มีผู้ชายอยู่ที่หน้าบ้านคุณ” เขากระซิบ เหมือนกลัวเสียงจะเล็ดลอดไปให้แขกผู้มาเยือนได้ยิน ทั้งที่รั้วกับตัวบ้านนั้นห่างกันหลายเมตรทีเดียว
“หรือว่าพี่ชายคุณ” อาติณณ์ตั้งท่าจะขยับ ถ้าเป็นพี่ชายของหญิงสาวก็ดีจะได้พูดจากันให้รู้เรื่อง จะเอายังไง หรือเขาจะไม่เรียกร้อง เหมือนน้องสาวก็ว่ามา
“ไม่ใช่” ขวัญข้าวตวัดวงแขนกอดเขาเอาไว้ ให้เขาออกไปไม่ได้แน่นอนไม่ว่าคนที่มากดกริ่งอยู่นั้นจะเป็นใครก็ตามที
อาติณณ์แปลกใจกับท่าทีของหญิงสาว แต่ลอบยิ้มกับการกระทำของเธอ เมื่อครู่เธอผลักไสเขา มาครานี้กอดเขาเสียแน่น หรือกลัวชายคนนั้นจะมองเข้ามาเห็นเขาอยู่ในห้องนอนเธอ ไกลขนาดนี้ใครจะเห็น ถึงเห็นเป็นเงาของคนก็ใช่จะแยกแยะออกว่าใครเป็นใคร
“ไม่ใช่พี่ชายคุณ แล้วไม่ไปเปิดประตูรับเขาหรือ หนวกหูนะ กดกริ่งซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น”
เสียงกริ่งยังดังอย่างต่อเนื่อง
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเขาก็กลับไปเอง” เธอพูดอย่างมั่นใจ แม้ไม่รู้ว่าผู้ชายที่อาติณณ์บอกว่าอยู่หน้าบ้านนั้นเป็นใคร และเหมือนเธอเพิ่งคิดได้ว่ากำลังกอดเขาไว้เสียแนบแน่น ใบหน้าเธอร้อนผะผ่าวรีบผลักเขาออกห่างเสียทันที อาติณณ์แอบยิ้มขบขันในปฏิกิริยาของหญิงสาวที่ออกจะรู้ช้าไปนิด เขายอมขยับลงไปนอนราบอยู่ข้างๆ กายเธอ ไม่ได้ลุกขึ้นไปไหน เพราะเสียงกริ่งยังได้ยินอีกเป็นระยะๆ
“ท่าทางเขาจะกดไม่หยุดแน่ๆ ดีนะที่บ้านห่างกันมากๆ ไม่อย่างนั้นเพื่อนบ้านคุณมีหวังออกมาด่าเปิงแน่” อาติณณ์พูด ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้น อาจเพราะอาการเจ็บจุกจากการถูกหญิงสาวประทุษร้ายกล่องดวงใจนั้นหายไปแล้ว เช่นเดียวกับอาการเสียศูนย์ ถ้าให้เขาเดินตอนนี้คงจะเดินได้ตรงกว่าเดินตอนถูกกระแทกใหม่ๆ
ขวัญข้าวเหลือบตามองชายหนุ่มที่นอนข้างๆ ก่อนส่งค้อนให้อย่างไม่รู้ตัว หูเธอคอยฟังว่าเมื่อไหร่เสียงกริ่งสัญญาณนั้นจะหยุดเสียที ไม่นานเสียงกริ่งก็สงบลง แต่เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเธอกลับดังขึ้นแทน เธอเห็นชายหนุ่มที่นอนข้างหันขวับไปทางโต๊ะใกล้เตียงฝั่งที่เขานอน ซึ่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเธอวางอยู่ แล้วหันมายิ้มกับเธอ รอยยิ้มเขาไม่บริสุทธิ์ดูมีอะไรเคลือบแฝง ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่กำลังส่งเสียงร้องมาส่งให้เธอ แต่มิวายเขายังเหลือบดูหน้าจอ
“คิมห์?” อาติณณ์เอ่ยชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งกำลังส่งให้หญิงสาวเบาๆ เธอขึงตาใส่เมื่อยื่นมือมารับ แต่เขาก็แปลกใจหญิงสาวรับมันไปแล้วถือไว้เฉยๆ ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ
“อ้าว! ไม่รับละคุณ” เขาจำได้ว่าอินทุอรเคยเอ่ยชื่อนี้เมื่อวาน หรือเจ้าของเบอร์ที่โทรเข้ามานี้ คือคู่รักของเธอ หญิงสาวจึงกระอักกระอ่วนใจที่จะรับสาย
“แฟนคุณหรือ แล้วเขาว่ายังไงกับข่าวนั่น” น้ำเสียงของอาติณณ์เป็นกังวลขึ้นมาทันที เพราะคิดว่านี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่หญิงสาวไม่ต้องการอะไรจากเขา ต้องการให้เรื่องจบและเงียบหายไป แต่เรื่องกลับดังฉาวเพราะคอลัมน์ซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์
อาติณณ์คิดว่าเรื่องนี้อาจปล่อยให้หายไปจากความทรงจำของทั้งเขาและเธอได้ หากไม่มีคนอื่นรับรู้ ไม่มีหนังสือพิมพ์เหล่านั้น และไม่มีนายอาติณณ์ อรรถนนท์ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของวงสังคม เพราะกิจการที่เจริญรุ่งเรืองและขยายตัวอย่างรวดเร็วของครอบครัว อรรถนนท์ ภายใต้การบริหารและจัดการของเขา
ขวัญข้าวไม่ตอบคำถามของชายหนุ่ม รอแค่เมื่อไหร่เสียงเรียกเข้านี่จะหยุดเสียที และมันก็ไม่นาน เมื่อเสียงเรียกดังซ้ำๆ แล้วไม่มีคนรับสาย คนโทรย่อมเลิกล้มที่จะโทรซ้ำรอบสามและสี่ หญิงสาวลอบถอนหายใจหลังเสียงโทรศัพท์สงบลงแล้ว แต่ห้องนอนแห่งนี้สงบได้ไม่นานเสียงเรียกเข้าแบบธรรมดาๆ ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ดังขึ้นอีก ครานี้ขวัญข้าวหันขวับไปมองชายหนุ่มที่นอนนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ทันได้เห็นเขาสะดุ้งเล็กน้อย คงเพราะกำลังลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่ชายที่อยู่หน้าบ้านจะเลิกโทรเข้ามาเสียที แต่กลับมีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ตัวเองดังขึ้นแทน
ชายหนุ่มรีบควานมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของตนเองทันที เพราะเขาเป็นนักธุรกิจการจะขาดการติดต่อใดๆ ย่อมไม่สมควร แต่เบอร์หน้าจอกลับไม่ใช่เบอร์ของคนอื่น กลับเป็นเบอร์ส่วนตัวของอินทุอรน้องสาวคนเดียวนั่นเอง ทันทีที่เขากดรับยังไม่ทันได้กรอกเสียงกลับไป เสียงแหบห้าวของพีรัชก็ดังสวนมาอย่างร้อนรน
“คุณติณณ์ครับ ช่วยมาที่โรงพยาบาลทีเถอะครับ น้องอ่อน...”
“น้องอ่อนทำไม” เขาเองก็ไม่ฟังจนจบเช่นกัน รีบสวนคำถามไปเมื่อได้ยินชื่อน้องสาวออกจากปากของคนโทรมา แล้วยังลุกพรวดขึ้น
“ขวัญข้าวผมไปก่อนนะ ไว้เราค่อยคุยกัน” อารามรีบร้อนอาติณณ์หันไปบอกเจ้าของบ้านสาว ลืมแม้กระทั่งว่าเสียงของเขาจะเล็ดลอดไปทางปลายสาย ก่อนกระชากเสียงใส่ปลายสายเมื่อยังไม่ยอมบอกว่าน้องสาวเขาเป็นอะไร
“น้องอ่อนทำไม”
ขวัญข้าวไม่รู้ว่าใครโทรมาหาเขา แล้วปลายสายตอบเขาว่าอย่างไร รู้แต่คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน แล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปนอกห้องแล้ว...ตายล่ะ ถ้าคิมห์ยังอยู่หน้าบ้านเล่า หญิงสาวเด้งตัวขึ้นจากที่นอนหันไปมองที่หน้าต่างบานที่อยู่ติดกับหัวเตียง มองออกไปอย่างกังวล ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่หน้าประตูรั้วเหล็กดัดไม่มีใคร จะเห็นก็แต่อาติณณ์ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป แล้วเธอก็เห็นและรับรู้ว่าเมื่อคืนเขาเข้ามาในบ้านเธอได้อย่างไร นั่นคือการกระโดดข้ามประตูรั้วเตี้ยๆ นั่น เหมือนขาออกไปของเขานั่นเอง
บ้าจริงๆ เลยคนอะไร...เธอพึมพำตัดพ้อเขา แต่ไม่รู้เลยว่ากำลังยิ้ม และเป็นรอยยิ้มที่เคลือบไปด้วยความสุข ยามมองตามชายหนุ่มไป แต่รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ เลือนหาย แล้วแววกังวลก็ฉายมาในดวงตาและใบหน้าของเธอแทน เมื่อเห็นโด่งจอดมอเตอร์ไซค์ตรงหน้าอาติณณ์ ที่กำลังเดินจ้ำห่างหน้าบ้านเธอไปเพียงนิดเดียว เธอเห็นสองคนเจรจากันแล้วเขาก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของโด่งออกไป
“เฮ้อ ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้วละ ข้าวเอ๋ย” หญิงสาวได้แต่ปลงและปลงเท่านั้น