คำตอบนั้นหรือ...?

1639 Words
“เอ่อ กิ่งหลิว ที่แกโค้งแล้วโค้งอีกเป็นคนญี่ปุ่นนี่คือ คำตอบแกแล้วใช่ไหม ฉันจะได้ไม่ต้องเจรจาอะไรให้มากความ” เมื่อเห็นกิ่งหลิวเงียบไป เบญจ์จึงสัพยอกเพื่อนและถามกึ่งๆ ลองใจ เผื่อจะได้คำตอบ... “อะไรวะ มาถึงก็จะเอาคำตอบเชียว ขอลีลาจั้กหน่อยเด้” “อย่าลีลามากไปเลยแก โอกาสดีๆ ไม่ได้มีมาบ่อยๆ นะ” “แต่ฉันก็ยัง...” กิ่งหลิวอึกอัก สีหน้ามีแววกังวล “เห้อ...” และยังตามมาด้วยการถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ “แกรีรออะไรอยู่ล่ะ ถ้าจะบอกว่าเพราะห่วงเซมิ ฉันว่า แกคิดผิดมากและถ้าลูกแกรู้ คงเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้แกไปไหนไม่ได้” “ลูกก็ส่วนหนึ่ง...” กิ่งหลิวตอบด้วยเสียงอันเบาแล้วอธิบายต่อ... “เอาจริงๆ ฉันไม่ห่วงลูกหรอกนะ เพราะเซมิไปอยู่กับแกนี่ ไม่มีอะไรให้ห่วงอยู่แล้ว แต่ฉันกลัวว่าตัวเองจะอยู่ที่โน่นไม่ได้ เพราะคิดถึงลูก ฉันไม่เคยอยู่ห่างเซมิเลยนะแก” เบญจ์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ... คงมีแต่คนรักแมวเหมือนกันเท่านั้นที่จะเข้าใจในคำอธิบายเช่นนี้ “เออ มีเหตุผล แล้วอีกส่วนคืออะไร” เบญจ์รุก “ฉัน...เอ่อ” กิ่งหลิวอึกอัก ตอบเพื่อนไม่ได้... “ยายแกเคยสอนว่าไง ที่แกชอบเอามาพูดถึงอยู่เรื่อยนะ จำไม่ได้เหรอวะ ...ตะหลิวเอ้ย ผัดไทยน่ะ มันต้องกินตอนร้อนๆ” เบญจ์ถามย้ำและรีบพูดต่อในสิ่งที่ตนเองคิดไว้ทันที “ฉันว่า... แกรีบกินตอนที่มันเพิ่งออกจากกระทะ ส่งกลิ่นหอมฉุย แล้วมีคนปรุงเสร็จยื่นส่งให้กินตอนนี้ ไม่ดีกว่าแกไปกินตอนที่มันขึ้นอืด อยู่ในห่อเย็นชืด เหม็นหืนเหรอวะ เผลอๆ ก็บูดไปแล้ว กินไม่ได้ด้วย” “ฉันรู้ จะกินผัดไทยให้อร่อย...มันต้องกินตอนกำลังหิวๆ และต้องเคยกินของอร่อยมาแล้วด้วยถึงจะรู้ว่า รสชาติมันวิเศษแค่ไหน อะไรที่มันถูกที่ ถูกเวลา มันก็เข้าท่าหมดแหละ แต่...” กิ่งหลิวตอบเสียงอ่อยๆ “ไม่ต้องแต่เต่ออะไรทั้งนั้นแหละ โยกโย้อยู่ได้ ...แกกลัวใช่ไหมล่ะ กลัวว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่คิด แต่นี่...แกฟังฉัน คนเราถ้าทุกอย่างมันเป็นอย่างที่เราคิดทั้งหมด ชีวิตมันก็ไม่มีรสชาติดิวะ แกคุ้นอยู่กับแต่ชีวิตเดิมๆ โลกใบเดิมที่มีแต่ยาย มีแต่เซมิแล้วก็พวกฉัน แล้ววันๆ ก็ง่วนอยู่กับโลกในหนังสือ หนังสือที่มีคนเขียนนั่น เขาวางพล็อตไว้หมดแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าแกเอาแต่อ่านเรื่องของคนอื่น แกจะไม่ได้เรียนรู้อะไรในโลกแห่งความจริงของตัวแกเองเลยนะโว้ย แกลองออกจากโลกหนังสือที่แกวนเวียนอยู่ในนั่น แล้วปีนออกจากกำแพงนี่ ออกไปเบิ่งตาดู ไปอยู่โลกข้างนอก ลองโผล่หัวออกจากโลกของแกแล้วไปอยู่ในโลกแห่งความจริงที่อื่นดูบ้าง... แล้วแกจะรู้ว่า ชีวิตคนเรานี่ มันมีอะไรอีกตั้งมากมายเยอะแยะให้ได้เรียนรู้ และให้มันมาอยู่ในความทรงจำเรา” ...น่าจะเป็นครั้งแรกที่เบญจ์พูดได้ต่อเนื่องยาวนาน แทบไม่หายใจได้ขนาดนี้ และเธอยังไม่จบเรื่องที่อยากจะพูด ...ราวกับอัดอั้นมานาน... “ที่สำคัญ ชีวิตข้างนอกนั่น มันคืออนาคตของแกนะหลิว ชีวิตแก ถ้าแกเลือกที่จะอยู่แบบเดิมๆ ในบ้านหลังนี้ ที่แกบอกว่าเหมือน ไม่รู้สึกว่ามันเป็นบ้าน อยู่กับคนเหล่านี้ที่แกเคยบอกว่า เขาไม่เอาแก และแกก็ไม่เอาใครเลยแม้แต่พี่ชายแก ...แล้วไหนล่ะ อนาคตของนางสาวกิ่งหลิว แกตอบฉันมาสิว่า แกจะอยู่ให้คนอื่นคิดว่าเป็นภาระของเขาจริงๆ อย่างนี้ และวันๆ เอาแต่อ่านหนังสือกับเลี้ยงแมว แล้วก็นอนคิดนั่งคิดเรื่อยเปื่อย เฝ้ารอห้องสมุดที่ไหนสักแห่งประกาศให้ไปสอบเป็นเจ้าหน้าที่ประจำห้องสมุด แล้วรอด้วยความหวัง รอให้เขาเรียกไปทำงาน ถูกเรียกกี่ครั้งกี่หนก็สอบไม่ได้ ไม่ผ่านสัมภาษณ์ ไม่ได้บรรจุเพราะไม่มีเส้นสาย ตั้งแต่ออกจากงานที่นั่มา แกทำอย่างนี้มากี่ครั้งแล้ว กี่เดือนกี่ปีแล้ว ละมันได้เรื่องเรื่องไหม ฉันสองคนจะไม่ว่าอะไรเลยนะ ถ้าแกรอแล้วแกได้งานทำ แต่นี่...” เบญจ์จ้องเข้าไปในดวงตาของเพื่อน และที่สุดก็พบกับคำตอบในนั้น... “เออๆ ฉันรู้ ฉันก็อยากเรียนรู้ชีวิต ฉันอยากเก่ง อยากแกร่งแบบพวกแก ใจฉันก็อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่บ้างเหมือนกันแหละ แต่...” “แต่อะไร” เบญจ์ซักด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง “ฉันกลัว... ฉันกลัวน่ะแก กลัวว่าถ้าฉันก้าวเท้าออกจากที่นี่ไปแล้ว ฉันจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก เหมือนที่ฉันเคยออกจากบ้านยายไป แล้วต่อมาฉันก็กลายเป็นคนไร้บ้าน... พอฉันมาอยู่กับแม่ แล้วก็ไปทำงานกับพวกแก พอกลับมา แม่ฉันก็ไม่อยู่แล้วอีกเหมือนกัน ตอนนี้ชีวิตฉันเหลือก็แต่ที่นี่... มันเป็นบ้านฉัน ถ้าออกไปแล้ว ต่อไปฉันอาจจะไม่มีบ้านให้กลับอีก” กิ่งหลิวตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง ...ความกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยนั้นเอง ที่ยังเหนี่ยวรั้งเธอไว้ที่นี่ “โธ่เอ้ย...หลิว แกไปแค่สามเดือน ไม่ใช่สามปีนะ หรือต่อให้ถ้าแกจะไปนานมากกว่านั้น ถ้าแกกลับมาแล้ว และเขาถือโอกาสฮุบส่วนของแก ไม่ให้แกอยู่ด้วยจริงๆ เราค่อยว่ากันอีกที ยังไงแกก็มีฉันอยู่ที่นี่ทั้งคน ฉันไม่ให้แกกับเซมิไปนอนข้างถนนหรอกโว้ย” เบญจ์พูดจากใจ และเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้เหมือนมียิหวาเข้ามาบงการสิ่งที่เพื่อนอยากให้ตัวเองพูดอยู่ในหัวของเธอด้วยอีกคน และในตอนนี้ ทั้งสองคนกำลังช่วยกันพูดให้กิ่งหลิวตัดสินใจได้เสียที... “อีกอย่าง แกจะไปยึดติดอะไรกับของนอกกาย ถ้าแกมีเงิน แกหาซื้อของแกเองใหม่ก็ได้ สมัยนี้คอนโดสวยๆ ดีๆ มีเยอะแยะไป แกก็อยู่กับเซมิสองคน มีความสุขจะตาย แกดูครอบครัวฉัน เราเคยล้มละลาย ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยซ้ำ แต่พ่อแม่ฉัน พี่ชายฉัน ตัวฉัน เราก็สู้จนอยู่รอดมาได้ จนมามีกิจการเหมือนเดิมอย่างทุกวันนี้ได้ หรืออย่างหว่าหวา ชีวิตมันกับแม่ต้องระเหเร่ร่อนไปอยู่ตั้งกี่ทิศกี่ที่กว่าจะเป็นตัวเป็นตนมาได้ถึงทุกวันนี้ มันเคยบอกใช่ไหมว่า มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ที่ไหนคือบ้าน คือครอบครัวมัน...” เบญจ์หยุดพูดแล้วรอดูท่าทีของเพื่อน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งอยู่ เธอจึงพูดต่อ... “ฉันรู้ว่าพวกเราแตกต่างกัน เราเติบโตมาไม่เหมือนกัน ถูกเลี้ยงดูมาก็ไม่เหมือนกัน แต่ในวันนี้ วันที่เราดูแลกันเองได้ เราสามคนเป็นครอบครัวเดียวกันไง แกจำไม่ได้เหรอวะ ตอนนี้เราก็ควรจะช่วยเหลือกัน อะไรที่พวกฉันว่ามันดีกับแก เราก็อยากให้แกลองดูก่อน ถ้าแกไหว พวกฉันก็มีความสุขไปกับแก ถ้าแกไม่ไหวเราก็ลองทางอื่น” กิ่งหลิวยังคงเงียบอยู่... “หรือไม่ถ้าแกกลับมาแล้วเขาเอาส่วนของแกไปจริงๆ ถึงตอนนั้นแกก็ฟ้องร้องไปเลย ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยว่า แกจะได้มรดกส่วนของแก จากพี่แกไหม แบ่งกันให้ชัดเจนไปเลย แล้วก็ต่างคนต่างอยู่ ฉันว่าดีกว่าเสียอีก อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่ร่วมกับคนที่นี่ แล้วแกไม่ต้องห่วงเรื่องทนาย เรื่องค่าใช้จ่ายฟ้องร้องอะไรเลย พรรคพวกพี่ฉันมีเพียบ พวกฉันอยู่ข้างแกเต็มที่... นะแก เอาตามนี้นะ” เบญจ์ถามย้ำ ตบหลังตบไหล่เพื่อน... “เออๆ ก็ได้เบญจ์ ตกลง” “งั้นสรุปว่าแกไป...นี่ แกโอเคแล้วนะ” เบญจ์ชี้หน้า ถามย้ำพร้อมตบไหล่เพื่อนอีกครั้ง ด้วยน้ำหนักที่แรงกว่าเดิม “อือฮึ” กิ่งหลิวยักไหล่ พยักหน้า ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่ค่อยเต็มเสียงดีนัก แต่เบญจ์ไม่ใส่ใจแล้ว เธอถือว่า ...นี่คือ คำตอบที่ตนและยิหวากำลังต้องการแล้ว “เออ ให้มันได้อย่างนี้ซิ ค่อยน่ารักหน่อย เฮ้ย งั้นเราวิดิโอคอลหาหว่าหวากันดีกว่า” เบญจ์หยิบมือถือออกจากกระเป๋าสะพายออกมา แล้วเมื่อพบข้อความในไลน์จากยิหวา ส่งมาว่า “รอฟังข่าวดีคืนนี้” ...ก็เป็นอันเข้าใจได้ว่า กลางวันที่โน่นวันนี้เพื่อนน่าจะไม่สะดวกคุย ก็พอดีกับที่กิ่งหลิวบอกว่า ยังไม่ต้อง... “อย่าเพิ่งเลยแก ปล่อยให้หว่าหวามันได้ลุ้นอีกหน่อย ไม่งั้นไม่ตื่นเต้น” “ก็ได้ๆ งั้นเราขึ้นไปหาเซมิกันดีกว่า คิดถึงจังเลย ...ไม่มีใครอยู่บ้านใช่ไหมวันนี้” เบญจ์พูดพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวา กิ่งหลิวจึงพยักหน้า แล้วสองคนจึงช่วยกันหิ้วของขึ้นไปห้องของกิ่งหลิว ซึ่งอยู่บนชั้นสองของตัวบ้านทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD