“ยังไงวะแก มีอะไรก็ว่ามา”
“ห้ามบอกว่า เปลี่ยนใจนะโว้ย”
ทั้งยิหวาและเบญจ์ผลัดกันถามกิ่งหลิวในวิดิโอคอลของสามสาว ซึ่งถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ ก็จะไม่มีใครเรียกใช้เลย ปกติแล้วทั้งหมดจะคุยกันทุกวันผ่านไลน์กลุ่ม โดยการทิ้งข้อความไว้ ใครว่างก็ถามมาตอบไปตามเรื่องแล้วแต่ธุระที่จะคุยกันในแต่ละช่วง บางช่วงถ้าจำเป็นและขี้เกียจพิมพ์โต้ตอบกัน ก็มีโทรคุยกันบ้าง จะมีก็แต่ช่วงนี้ที่คุยกันผ่านไลน์มากหน่อย เพราะเป็นช่วงที่กิ่งหลิวต้องเตรียมตัวไปญี่ปุ่น
ตั้งแต่พวกเธอต้องแยกย้ายและต้องอยู่ห่างกันเมื่อสามปีที่แล้ว การวิดิโอคอลคุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตาและอยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้ มีแทบนับครั้งได้ เพราะความที่อยู่กันคนละที่และว่างกันคนละเวลา
...นี่เป็นครั้งแรกที่กิ่งหลิวเรียกวิดิโอคอลขอคุยกับเพื่อนๆ หลังจากที่เบญจ์มาหาที่บ้านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดก็เข้าใจตรงกันแล้วว่า กิ่งหลิวกำลังเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอวีซ่าในวันสองวันนี้ แล้วถ้าวีซ่าได้รับการอนุมัติและทุกอย่างเรียบร้อยดี เธอก็พร้อมที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นต้นเดือนหน้า
“ก็...มีเรื่องจะบอกนิดหน่อย”
กิ่งหลิวตอบเสียงยานคาง นั่นมันยิ่งทำให้สองสาวกังวลใจ (อีกแล้ว)
“งั้นก็รีบว่ามาเลย ให้ไว”
ยิหวา ซึ่งปกติเป็นคนใจร้อนกว่าใครเพื่อน บอกคนเฉยเฉื่อยให้รีบชี้แจง
“คืองี้... ฉันเพิ่งได้คุยกับพี่ฉันจริงจัง เอ่อ พี่เลิศน่ะ ฉันเพิ่งรู้ว่า ความจริงแล้ว พี่ฉันบอกว่า...”
คำตอบ ซึ่งเหมือนยังไม่ใช่คำตอบของกิ่งหลิว ทำให้ยิหวาอดขำไม่ได้ และก็อดไม่ได้อีกนั่นแหละ ที่ชิงพูดขึ้นก่อนที่แม่คนเฉื่อยเฉยจะพูดจาอะไรวกวนอยู่ที่เดิม... ไม่ไปถึงไหนสักที
“โอ้โห หลิว แกเล่าแบบนี้นี่ตีสามฉันจะได้นอนไหมเนี่ย หรือแกว่าไงวะเบญจ์”
ยิหวาถามเบญจ์ ผู้ซึ่งใจเย็นเสมอกับทุกเรื่อง และถึงตอนนี้ก็ยังนั่งทำหน้านิ่ง กะพริบตาปริบๆ อยู่ในจอ
“แกก็แหม ใจเย็นหน่อยดิวะ ถ้าเปิดหนังสืออ่าน ตอนนี้หลิวมันกำลังเริ่มบทนำไง ให้เวลามันอารัมภบทก่อน”
เบญจ์ตอบอย่างใจเย็นแล้วอดอมยิ้มขำเพื่อนไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทีอันแตกต่างของเพื่อน คนหนึ่งปรู้ดปร้าดเป็นรถไฟหัวกระสุนชินกันเซ็น ส่วนคนหนึ่งอืดเอื่อยเฉื่อยชาเป็นรถไฟไทย ถึงก็ช่าง...ไม่ถึงก็ช่าง... ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคงโมโหโกรธกริ้วที่เห็นอากัปกิริยาเอื่อยๆ อืดๆ ของคนต้นเรื่อง ซึ่งดูแล้วไม่ได้สนใจไยดีกับท่าทีกระตือรือล้นของคนที่เขาอยากจะรู้เรื่องตัวด้วยเลยสักนิด
ดูสิ ... ยังจะตีหน้ามึนอึนอยู่อีก...
“เอาล่ะ ตะหลิวเอ้ย เข้าเรื่องได้ยังคะ ลูก”
เบญจ์แซว
“สรุปว่าไงยะ” ยิหวากระทุ้งเพื่อน
“สรุปเลยก็ได้... พี่เลิศบอกว่า โฉนดบ้านนี่เป็นชื่อฉันด้วยว่ะ เขาเลยเอาให้ฉันไปยื่นขอวีซ่าด้วย แล้วฉันก็เพิ่งรู้ บิวไม่ใช่ลูกพี่เลิศ ครือ พี่วิมลกับพี่ชายฉันเนี่ย เขามาอยู่ด้วยกันเพราะติดหนี้บุญคุญ พี่วิมลเขาเคยช่วยชีวิตพี่เลิศไว้ พอชีวิตพี่วิมลมีปัญหา บิวก็ป่วยทางประสาท เขาเลยรับบิวเป็นลูก แล้วพาทั้งคู่มาอยู่ด้วยที่บ้าน จบปิ้ง”
“เฮ้ย อะไรของแกวะ จบปิ้ง”
ทั้งเบญจ์และยิหวาอุทานมาพร้อมกันอย่างงงัน ยิหวาถึงกับเกาหัวแกรกๆ
“ก็นี่ไง พวกแกอยากรู้เรื่องเร็วๆ ไม่ใช่เหรอ ก็บอกให้แล้วไง สรุปให้แล้วด้วย เอ้า จบการประชุม แยกย้ายๆ”
“โธ่ ยัยบ๊องส์...”
ยิหวาเอ็ดเอาอย่างเหลืออด
“นี่ๆๆ”
เบญจ์ รีบปรามเพื่อนๆ เพราะรู้แล้วว่าต่อไปแทนที่จะได้คุยกันจนรู้เรื่อง ต่างคนก็คงต่างเล่นลิ้นเฉไฉกันไป กว่าจะเข้าใจเรื่องก็คงยืดเยื้อจนดึกดื่น
ดังนั้นตลอดการพูดคุยครั้งนี้ในลำดับต่อมา เบญจ์จึงเป็นฝ่ายสัมภาษณ์และให้กิ่งหลิวคอยตอบ โดยมียิหวาคอยแทรกคำถามใส่เป็นระยะๆ จนที่สุดทั้งสองคนก็ได้รู้ว่า กิ่งหลิวกับการเลิศได้พูดคุยกันอย่างจริงจัง เป็นเรื่องเป็นราวเสียที และเป็นการเปิดอกคุยกันฉันพี่น้องเป็นครั้งแรกในชีวิต ตั้งแต่ทั้งคู่ได้เกิดมาเป็นพี่เป็นน้องกัน...
...สองพี่น้องคุยกันในวันที่เบญจ์มาหากิ่งหลิวที่บ้านวันนั้นแหละ ซึ่งพอเบญจ์กลับไปแล้ว กิ่งหลิวเดินไปส่งเพื่อนที่รถ พอเดินกลับเข้าบ้านมาถึงเพิ่งเห็นว่าพี่ชายนั่งทำหน้าเคร่งอยู่ที่ประจำของเขาตรงมุมห้องโถงนั่นแล้ว แต่พอเธอทำท่าจะเดินผ่านไปเฉยๆ และทำเป็นมองไม่เห็นเขาเสีย ...ทำเหมือนกับที่เคยทำเสมอนั่น การเลิศก็เรียกให้น้องสาวคนเดียวของเขามานั่งคุยด้วย
“ได้ยินว่าจะไปญี่ปุ่นใช่ไหม จะไปขอวีซ่าวันไหนล่ะ”
“ก็ต้องรอเอกสารจากทางโน้นส่งมาให้ก่อน”
กิ่งหลิวตอบ โดยไม่นึกสงสัยและไม่คิดจะถามพี่ชายเลยว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอจะไปญี่ปุ่น... เธอทำเหมือนเขาไม่เคยอยู่ในความสนใจของเธอ เช่นเดียวกับครอบครัวของเขาทำกับเธอนั่นแหละ
นี่คงเป็นข้อเสียประการหนึ่งของกิ่งหลิวแบบที่ยายกับแม่ของเธอเคยพูดไว้ และเป็นแบบเดียวกับที่เบญจ์กับยิหวาเคยพูดไว้เหมือนกัน...
กิ่งหลิวเป็นมนุษย์ประเภทที่ไม่สนโลก ยกเว้นว่าโลกจะมาสนใจเธอก่อน ...นั่นแหละ เธอจึงจะใส่ใจไยดี
...ใครที่ให้ใจกับกิ่งหลิวก่อน คนๆ นั้นก็จะได้ใจของเธอไป
เธอเป็นคนตรงๆ ทื่อๆ ซื่อๆ แบนๆ เช่นนี้เอง
แม่เคยบอกว่า ถ้าขืนมัวแต่เก็บกิ่งหลิวไว้กับยายแบบนั้น สักวันหนึ่งเธอก็คงจะอยู่โดดเดี่ยวแบบนั้นไปจนตาย จึงเมื่อกิ่งหลิวมีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นบรรณารักษ์ และหนทางที่จะไปสู่ฝันนั้นอยู่ไกลออกจากบ้านไปมาก ทั้งยายและแม่ของเธอจึงดีใจนักหนา เพราะต่างเชื่อว่าโลกภายนอกของอ้อมอกยายนั้น จะเป็นที่สร้างกิ่งหลิวคนใหม่ ที่สามารถปรับตัวอยู่กับคนอื่นเขาได้
...เป็นจริงดังนั้น โลกภายนอกทำให้กิ่งหลิวเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้บางส่วน เธอสามารถใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับคนอื่นได้แล้วก็จริง แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อไรก็ตามที่เธอเข้าสู่โหมดของตัวเองเมื่อไร ใครก็เข้าไปไม่ถึงเธออีกเหมือนเดิม...
เมื่อเธอไปใช้ชีวิตทำงานอยู่กับยิหวาและเบญจ์ที่มหาวิทยาลัยอินเตอร์ ในจังหวัดชลบุรี โลกของเธอก็กว้างใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ตั้งแต่นั้นมา...ในนั้นไม่ได้มีเพียงยายและแม่ที่หาชีวิตไม่แล้วทั้งคู่เท่านั้น แต่ยังมีเบญจ์และยิหวาเข้ามาทำให้โลกของเธอสดใสขึ้น มั่นอกมั่นใจขึ้น... และไม่ว้าเหว่เอกาอีกต่อไป
แต่เมื่อชีวิตพลิกผัน...ยิหวากับเบญจ์มีเหตุถูกให้ออกจากงานที่นั่น กิ่งหลิวก็กลับมาอยู่คนเดียว แต่เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะรู้แล้วว่าในโลกใบนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ลำพัง...
ความจริงทั้งหมดถูกบีบให้ออกจากงานพร้อมๆ กัน แต่กิ่งหลิวรักที่นั่น เธอยืนยันที่จะอยู่ห้องสมุดแห่งแรกในชีวิตของเธอต่อไป ประกอบกับทางนั้น ยังหาคนที่จะมาเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดแทนที่เธอไม่ได้ กิ่งหลิวจึงอยู่ที่นั่นต่อมาคนเดียวอีกเกือบปี โดยมี “เซมิ” เจ้าเหมียวตัวน้อยที่เธอเก็บมาจากถังขยะเป็นเพื่อน
แมวตัวนี้ ทำให้กิ่งหลิวมีชีวิตชีวา และเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพื่อใช้ชีวิต ไม่ใช่อยู่เพื่อใครสักคนเหมือนที่เธอเคยคิดไว้เสมอว่า จะอยู่เพื่อยาย...ดูแลยาย แต่เมื่อไม่มียายแล้ว ชีวิตนี้ก็ไร้ความหมาย
ดังนี้...เซมิจึงทำให้เธอรักชีวิตนี้ขึ้นอีกมาก
และเซมิก็ทำให้เธอสนใจในชีวิต... ทั้งชีวิตของเธอเองและชีวิตอื่น
การมีแมวตัวหนึ่งเข้ามาในชีวิต ทำให้เธอมีอะไรต้องคิดต้องทำอีกมาก และไม่ใช่ทำเพื่อตัวเธอเองคนเดียวเท่านั้น...