คนที่ถูกเรียกว่าอาสวงคล้อยตามความเห็นของเพื่อน เขามองหน้าหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ รู้สึกเห็นใจนางมากเพราะเขาก็เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
“ข้าอยากไปพบหมอด้วยตัวเองจะได้บอกอาการป่วยของนางได้ถูกต้อง ข้าไม่รบกวนพวกท่านก็ได้”
“ข้าบอกแล้วไงว่ามันอันตราย” เขาไม่อยากจะบอกกับนางว่าตอนนี้กำลังสืบจับไส้ศึกของวังหลวงกันอยู่ และถ้าปล่อยให้นางทำแบบนั้น นางอาจจะถูกเข้าใจผิดก็ได้ “เอาอย่างนี้นะ เจ้าเขียนอาการป่วยของนางลงในกระดาษแผ่นนี้ให้หมด ข้าสัญญาว่าจะหายาที่ตรงกับอาการป่วยไปมาให้เจ้าให้เร็วที่สุด” อาสวงแนะนำพร้อมกับจิ้มคบไฟที่ถือมากับพื้นเพื่อเอาถ่านของมันมาให้นางเขียน
“แต่”
“เชื่อข้านะแม่นาง ข้าพูดเพื่อความปลอดภัยของเจ้าและเห็นใจเจ้าจริง ๆ เพราะเราหัวอกเดียวกัน ข้าก็เคยมีน้องสาวที่ป่วยหนักกลางดึกแบบนี้ ข้าเข้าใจในความรู้สึกเจ้าดี”
“ก็ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวจำยอมทำตามที่เขาแนะนำเมื่อเห็นสายตาที่จริงใจของเขา นางไม่มีความมั่นใจในการเขียนตัวหนังสือสักนิด แต่ก็เคยทดสอบมาแล้วว่าสามารถเขียนได้อย่างน่าอัศจรรย์พอ ๆ กับการพูด จึงเขียนอาการอย่างละเอียดลงบนชายเสื้อที่เขาฉีกมาให้.. “นี่เจ้าค่ะ”
อาสวงรับเศษผ้าจากนางมาอ่าน นึกแปลกใจว่านางเป็นแค่สตรีชาวบ้านหรือไส้ศึกกันแน่ เพียงแค่เศษถ่านทื่อ ๆ นางยังเขียนเป็นตัวหนังสือได้งดงามน่าทึ่ง
“ข้าจะรีบจัดการให้เจ้าให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้รีบกลับไปได้แล้ว เร็วสิ ข้าจะไปส่ง” เขาออกอุบายเพื่อไปดูสถานที่พักของนาง เพราะคิดเผื่อไว้ว่าเผื่อนางเป็นพวกไส้ศึก
“รีบเถอะแม่นาง พวกข้ามีงานใหญ่ต้องทำอีก” ทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ”
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่พักขอนาง และออกอุบายขอเข้าไปดูอาการของคนป่วย
“อาการของนางหนักมากเลยนะแม่นาง เอาเป็นว่าพวกข้าจะรีบไปเอายามาให้ก็แล้วกัน” อาสวงบอกกับหญิงสาวเมื่อเห็นคนป่วยที่นอนขดตัวพร่ำเพ้ออยู่มุมห้อง
“ขอบคุณท่านทั้งสองมาก” ซูวี่กล่าวกับทหารหนุ่มวัยฉกรรจ์ ส่งพวกเขาถึงหน้าประตูห้องก็รีบกลับไปดูลี่ชุน “เจ้าก็กลับไปพักเถอะหลิวหลิว ข้ารบกวนเจ้ามากพอแล้ว”
“ถ้ามีอะไรก็เรียกข้าได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“อือ ขอบใจมากนะ”
“ทหาร”
เสียงเรียกทุ้มกังวานที่ดังขึ้น ทำให้ทหารทั้งสองนายที่เดินอยู่ในตรอกไหมทองรีบหันไปมองอย่างระแวดระวัง
“ใคร!” อาสวงตะคอกถามทั้งที่ไม่เห็นเจ้าของเสียง มือจับดาบไว้มั่น
“ข้าเอง” บุรุษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเดินออกจากที่ซ่อน
“องค์รัชทายาท”
รัชทายาทหนุ่มรูปงามวัยยี่สิบแปดปีส่งสัญญาณให้ทหารทั้งสองลดเสียง
“พวกเจ้ามาตรวจเวรยามแถวนี้เหรอ” ถามสองทหารยามที่เขาแอบสะกดรอยตามมาตั้งแต่ยังไม่เดินเข้ามาในตรอกแห่งนี้ เพราะเห็นพวกเขาเดินกับสตรีนางหนึ่ง และเกิดความสงสัยว่ากำลังพานางไปไหน
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ พวกเรา..” อาสวงอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ เพราะเกรงว่าจะพาเพื่อนร่วมงานเดือดร้อนไปด้วยอีกคน
“พูดความจริงมา”
“คือพวกเราเจอสตรีนางหนึ่งกำลังเดินอยู่คนเดียว ก็เลยเป็นห่วงว่าจะเกิดอันตรายกับนาง”
“พวกเจ้าก็เลยพานางไปส่งที่บ้าน”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่.. แต่น้องสาวของนางป่วยหนัก นางต้องการยารักษาพ่ะย่ะค่ะ พวกเราใกล้จะออกเวรแล้วเลยตั้งใจว่าจะไปขอยากับหัวหน้ามาให้นาง” อาสวงหยิบกระดาษที่สตรีผู้นั้นเขียนอาการป่วยให้องค์รัชทายาทดูเพื่อยืนยันคำพูด
พระองค์หยิบกระดาษมาคลี่อ่าน คิ้วพาดเฉียงขมวดเล็กน้อยกับลายมือที่สะดุดตา แม้จะเขียนจากของง่าย ๆ แต่ก็ยังงดงามมีเอกลักษณ์ได้ขนาดนี้
“อย่างนั้นก็รีบไปสิ บอกไปว่าเป็นคำสั่งของข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าไปคนเดียวก็พอ ส่วนเจ้าพาข้าไปดูอาการของนาง.. รีบไปสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ” อาสวงรับคำ ส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมงานเป็นคนพาองค์รัชทายาทไปที่บ้านของคนป่วย
ไม่นานพวกเขาก็ถึงบ้านของนาง
“ท่านชายนั่นเอง!”
“ท่านชาย!” ทหารหนุ่มอุทานตกใจ ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก
“ไม่เป็นไรอาลั่ว ไม่เป็นไร” องค์รัชทายาทรีบยื่นมือไปตบหลังทหารเบา ๆ แล้วบีบไหล่ส่งสัญญาณเป็นการปรามว่าห้ามพูดอะไรออกไป “เจ้าออกไปรอข้างนอกไป”
“พ่ะ.. ขะ ๆ ขอรับ” อาลั่วรีบพลิกลิ้นเมื่อเจอฝ่ามือที่บีบไหล่แน่นขึ้นเตือนสติ
“ท่านชายรู้จักกับเขาได้อย่างไรเจ้าคะ เขาเป็นทหารนะ” ซูวี่ไม่เก็บงำความสงสัย
“รู้จักสิ เพราะงานของข้าต้องเกี่ยวพันกับพวกเขา แต่เจ้าอย่ารู้เลยนะว่างานอะไร” เขาทำหน้าเคร่งเครียดแล้วโน้มหน้าที่สูงกว่าลงไปใกล้หูนาง “ได้โปรดเก็บเป็นความลับระหว่างเราด้วยนะ” กระซิบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงขอร้อง กระตุกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์ก่อนจะยืดตัวตรงเต็มความสูงเจ็ดเซียะครึ่ง แล้วมองหน้านาง “ตกลงไหม”
“..เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบตะกุกตะกัก ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
“นางเป็นน้องสาวของเจ้าเหรอ”
“เจ้าค่ะ”
“ทำไมไม่เหมือนกันเลย ข้าคิดว่าเจ้าอพยพมาจากที่อื่นเสียอีก”
“..ข้าไม่ใช่คนที่นี่จริง ๆ เจ้าค่ะ แต่นางเคยช่วยเหลือข้าไว้ เราเลยกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน” หญิงสาวตัดสินใจตอบไปตามตรง เพราะอาชีพที่เป็นความลับของเขา และเขายังรู้จักกับทหารแบบนี้ เธอคิดว่าเขาอาจจะเป็นสายลับหรืออะไรสักอย่างที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของประเทศนี้ ดังนั้นไม่ควรให้ลี่ชุนมามีเอี่ยว เพราะวันใดวันหนึ่งความลับของนางอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ก็ได้ใครจะรู้
“แล้วเจ้ามาจากที่ใดกัน”
“กรุงเทพเจ้าค่ะ ข้าอพยพมาอยู่ที่นี่ได้สามเดือนกว่าแล้ว ตั้งใจว่าจะมาตั้งรกรากที่นี่”
“กรุงเทพ.. อยู่ที่ใดกัน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเลย”
“ที่ที่ข้าจากมากันดารนัก ไม่แปลกที่ท่านจะไม่รู้จัก กว่าข้าจะมาถึงที่นี่ได้ก็เดินทางมาอย่างยากลำบาก ข้ามน้ำข้ามทะเลมานับไม่ถ้วน รอดตายมาได้ก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว” นางเจตนาพูดถึงกรุงเทพเพื่อไม่ให้เขาติดใจสงสัยจนถึงขั้นสืบหา
“อ้อ” องค์รัชทายาทไม่ติดใจสงสัย เพราะในโลกกว้างใบนี้เขาก็ไม่ได้รู้จักทุกแคว้นแดนเมือง “ข้าดีใจนะที่เจ้ารอดมาได้ ถ้า”
“ร้อน ข้าร้อน”