ภายในตำหนักธิดาเทพเงียบสงบดั่งเช่นเคย องค์หญิงสิบสามในร่างของกระต่ายขาวถูกวางลงบนแท่นศิลาอย่างทะนุถนอม ใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขาดูนิ่งสงบ เขาเอ่ยเสียงเบาออกมาคล้ายกำลังข่มความหวาดกลัวบางอย่างที่อยู่ด้านใน
"ร่างกายของนางเป็นอย่างไรบ้าง"
"ทูลท่านอ๋อง ยังคงปกติโชคยังดีที่มีกระพรวนผู้พิทักษ์คอยคุ้มครองทำให้หินจันทราที่เคลื่อนย้ายแต่ละครั้งไม่ส่งผลร้ายแรงนักเพียงแต่ทุกครั้งที่หินเคลื่อนย้ายไม่อาจหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้"
"แล้วเรื่องตำราจันทราพวกท่านมีเบาะแสบ้างหรือไม่"
อ๋องฉางอันเอ่ยพลางลูบขนปุยของกระต่ายน้อยเล่น องค์หญิงสิบสามในร่างกระต่ายไม่สามารถควบคุมตนเองได้ดีเท่าใด จึงยังกระโดดไปมาไม่อยู่นิ่งอ๋องฉางอันจึงจับนางอุ้มไว้ในอ้อมแขนดังเดิม
"ตำราจันทรานั้นมีเบาะแสว่าอีกครึ่งอยู่ในจวนแม่ทัพหยาง ยากยิ่งที่จะนำกลับมา"
"จริงหรือ"
"เพคะท่านอ๋อง" ธิดาเทพพยักหน้ารับ
"เช่นนั้นก็ง่ายแล้วเพียงแต่ไปขอยืมมาช่วยองค์หญิงสิบสามแล้วนำไปคืน เราเฝ้าพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินหามาหลายสิบปีในที่สุดก็อยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้นเอง" อ๋องฉางอันเอ่ยอย่างยินดี
"เรื่องคงไม่ง่ายดายเช่นที่เราคิด เพราะตำราเล่มนี้เป็นของวิเศษในตำหนักเทพหากผู้อื่นครอบครองย่อมต้องโทษประหาร คิดว่าทางจวนแม่ทัพไม่มีทางยอมมอบตำราอีกครึ่งมาง่ายๆ อีกทั้งเราจะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้ว่าตำราได้หายออกจากตำหนักเทพไปครึ่งหนึ่ง หากฝ่าบาทรู้เข้าธิดาเทพทั้งหลายคงเอาชีวิตไว้ไม่ได้"
"จริงดั่งท่านว่า และเรื่องของน้องสิบสามฝ่าบาทก็ไม่อาจรู้ได้เช่นกัน"
"นอกจากลอบเข้าจวนแม่ทัพคงไม่มีวิธีอื่นแล้ว"
ธิดาเทพเอ่ยขึ้น นางรู้ดีว่าจวนแม่ทัพหยางเวรยามหนาแน่นยิ่งกว่าในวังหลวง การแฝงกายเข้าไปนั้นช่างเป็นเรื่องยากหรือเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
"ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องลองดู"
"เหตุใดตำรานั่นถึงไปอยู่ที่จวนแม่ทัพหยางได้"
"ฮูหยินเฒ่ากับแม่เฒ่าของข้ามีความผูกพันแน่นแฟ้นนักไม่แน่อาจมีสิ่งใดที่นางไม่ทันได้สั่งเสียจึงได้มอบตำราให้ตระกูลหยางไปรักษา
หรือไม่ตระกูลหยางก็แย่งชิงเอาเป็นของตนเพราะหากได้ครอบครองตำราเล่มนี้ก็สามารถล่วงรู้ฟ้าดินได้ เพียงแต่ตระกูลหยางกลับเก็บรักษาอย่างเงียบเชียบข้าคิดว่าต้องมีความลับอื่นใดซ่อนอยู่อีกเป็นแน่"
"อย่างไรเราต้องนำตำรากลับมาเพื่อช่วยสิบสามให้ได้โดยเร็ว"
"ท่านอ๋องใกล้ฟ้าสางแล้วองค์หญิงคงคืนร่างเดิม ท่านไม่ต้องห่วงแล้วทางนี้ปล่อยให้ตำหนักเทพจัดการเถิด"
"อืม รบกวนท่านแล้ว"
กระต่ายน้อยมองตามร่างสูงของอ๋องฉางอันจนลับสายตา เป็นจริงดั่งธิดาเทพที่มีศักดิ์เป็นน้าสาวของนางเอ่ย ไม่นานองค์หญิงสิบสามก็กลายร่างคืนดังเดิม
"องค์หญิงเจ้าต้องหัดฝึกสงบใจ เมื่อกลายร่างปีศาจจะได้ควบคุมตนเองได้" ธิดาเทพเอ่ยขึ้นในขณะที่ใช้ผ้าผืนใหญ่คลุมร่างเปลือยของนางเอาไว้จนมิด
"ข้าพยายามแล้วท่านน้า แต่ทำไม่ได้สักที"
"หากมีคนจับเจ้าไว้และกลายร่างกลับคืนต่อหน้าคนผู้นั้นเจ้าจะถูกมองว่าเป็นปีศาจไร้ทางหนีมีแต่ทางตายสถานเดียวเข้าใจหรือไม่"
องค์หญิงสิบสามพยักหน้า เหตุใดนางจะไม่รู้เล่าที่ผ่านมาทุกครั้งที่กลายร่างนางพยายามข่มใจตนในอยู่เพียงในตำหนักไม่กระโดดหนีไปไหน บางครั้งกลายเป็นสุนัข บางครั้งกลายเป็นนก บางครั้งกลายเป็นงู ครานี้กลายเป็นกระต่าย นางรู้สึกเอือมระอากับโชคชะตาของตนเองที่ไม่เกิดเป็นสัตว์ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
"ครานี้เจ้าเห็นสิ่งใดต้องมีเหตุให้เจ้ากระโดดไปที่จวนแม่ทัพหยางเป็นแน่" ธิดาเทพเอ่ยถาม
"ท่านน้าทำนายถูกต้องแล้ว เมื่อรู้สึกตัวข้าก็อยู่ที่นั่นแล้วและก็เห็นภาพนิมิต" องค์หญิงสิบสามนึกถึงภาพในนิมิตแล้วก็อดยิ้มอย่างนึกขันไม่ได้
"เห็นสิ่งใด"
"สีแดงเต็มจวน มีงานแต่งเห็นท่านแม่ทัพแต่งงานแต่ไม่เห็นใบหน้าเจ้าสาว อีกทั้งเห็นเขาจุมพิตเจ้าสาวต่อหน้าทุกคน"
"เรื่องนี้เองหรือ แล้วอย่างอื่นเล่า"
"เห็นเพียงเท่านี้ก็ถูกคนไล่แล้ว ข้าแอบเข้าไปในห้องอาบน้ำท่านแม่ทัพแล้วเห็นเขาอาบน้ำด้วย"
"เจ้าว่าอย่างไรนะ แอบเข้าไปในห้องอาบน้ำท่านแม่ทัพหรือ"
ธิดาเทพยกมือทาบอกตนเองด้วยความตกใจ หลานสาวของนางผู้นี้ชอบก่อเรื่องซุกซน นิสัยอยากรู้อยากเห็นอีกทั้งยังเป็นสตรีไม่ออกเรือนการที่เข้าไปห้องอาบน้ำของบุรุษเช่นนั้นทำให้นางแทบจะอยากเอาศีรษะชนเสาตายนัก