"เจ้าค่ะ" องค์หญิงสิบสามตอบตาใส
"แล้วเห็นสิ่งใดอีกหรือไม่" ท่านน้าอยากจะเอ่ยถามตรงๆ แต่นางก็ยังกระดากเช่นกัน
"เห็นไม่แน่ใจนักว่าคือสิ่งใดมันค่อนข้างมืดในมุมนั้น เจ้าสิ่งนั้นข้ามั่นใจว่าติดอยู่ในร่างกายของแม่ทัพหยางดูน่ากลัวข้าเลยหลับตาเสียก่อน แต่ท่านน้าร่างกายแม่ทัพผู้นั้นข้าพิจารณาแล้วช่างงดงามสมส่วนเสียจริง เห็นแล้วคันไม้คันมืออยากจับเขามานอนที่ตั่งแล้วจับจ้องเป็นอาหารตา"
"สิบสาม เจ้านี่นะ เฮ้ย เอาล่ะ ๆ เจ้าอย่าเพ้อเจ้อนักเลยไม่พูดแล้วๆ "
ธิดาเทพร้อนวูบไปทั้งหน้า อากาศหนาวเหน็บเหตุใดเหงื่อของธิดาเทพจึงซึมออกมาเช่นนี้ นางรู้ว่าหลานสาวชอบสิ่งของงดงามแต่ไม่คาดคิดว่าจะหมายรวมถึงเรือนร่างบุรุษไปได้ อีกทั้งนางผู้นี้ยังคิดสิ่งใดกล่าวสิ่งนั้นเรื่องนี้ต้องโทษตนเองที่สอนให้นางเป็นสตรีที่สัตว์ซื่อไม่กล่าววาจาโป้ปด
"ท่านน้าข้าพูดความจริง หลังจากนั้นข้าก็ดีดตัวหนีมาได้ องครักษ์ผู้นั้นอยากจับข้าไปตุ๋นด้วยบังอาจนัก"
องค์หญิงสิบสามกำมือแน่น หากได้พบหน้ากันตรงๆ นางต้องหาทางเล่นงานองครักษ์เถื่อนและแม่ทัพบ้าผู้นั้นให้จงได้
"เจ้ารีบแต่งกายเสีย พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทนำเรื่องนิมิตของเจ้าไปกราบทูล" ท่านน้าไม่อาจทนฟังต่อไปได้แล้ว องค์หญิงสิบสามเหลวไหลขึ้นทุกวันจึงต้องรีบตัดบทเสีย
"เจ้าค่ะ" องค์หญิงสิบสามรับคำว่าง่าย เรื่องนี้นางต้องไปเล่าให้อาชิงคนสนิทของนางฟังเสียแล้ว
การกลายร่างขององค์หญิงสิบสามนั้นเริ่มเป็นมาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่องค์หญิงสิบสามยังเด็ก ในวันหนึ่งจู่ๆ ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น องค์หญิงจึงได้เผลอกินหินทำนายจันทราลงไปด้วยไม่รู้สึกตนเอง สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้เป็นน้าที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เล็กเป็นอันมาก ตำหนักเทพจึงสร้างเรื่องขึ้นมาว่ามีผู้เข้ามาขโมยหินจันทราจนหายสาบสูญ ไม่สามารถให้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้ได้ด้วยเกรงว่าฝ่าบาทผู้นั้นจะทำร้ายบุตรสาวตนเองควักหินจันทราออกมาจากท้องของนาง
ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น องค์หญิงสิบสามในวันพระจันทร์เต็มดวงมักจะกลายร่างเป็นสัตว์ต่างๆ ไม่ซ้ำ อีกทั้งทุกครั้งที่กลายร่างนางมักจะเห็นสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าและนำความมาบอกผู้เป็นน้า
ตำหนักเทพจึงดำรงอยู่ได้ด้วยคำทำนายขององค์หญิงสิบสามและยังความเคารพสูงสุดต่อผู้คนรวมทั้งฝ่าบาทและไทเฮา เรื่องภายในตำหนักเทพจึงไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำและช่วยรักษาความลับขององค์หญิงสิบสามมาจนทุกวันนี้
หลังจากแต่งกายเสร็จ องค์หญิงสิบสามกลับวิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นออกมาพร้อมกับน้ำเสียงตกอกตกใจเป็นอันมาก
"แย่แล้วท่านน้า กระพรวนผู้พิทักษ์ของข้าหายไปแล้ว"
กิ่งไผ่โอนเอน เสียงหวีดหวิวของลมหนาวเสียดแทงจิตใจในตำหนักจันทราปิดเงียบเชียบไม่ให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาภายใน ฝ่าบาททรงประทับอยู่บนเก้าอี้หยกเหมันต์หลับตาอย่างสงบรับฟังเสียงสวดต่อชะตาจากเหล่าธิดาเทพ ภายในรู้สึกถึงกระแสความเย็นที่แผ่ซ่าน
พระวรกายที่เหนื่อยล้าจากราชกิจฟื้นฟูขึ้นภายในเพียงชั่วยาม ด้านข้างมีองค์หญิงสิบสามพระธิดาเป็นผู้ถือโถน้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อต้องห้ามภายในตำหนักธิดาเทพ พร้อมท่องสวดบริกรรมคาถาด้วยจิตสงบนิ่ง
เมื่อพิธีกรรมผ่านมาได้ราวสองชั่วยามโดยไม่มีผู้ใดขยับเขยื้อน องค์หญิงสิบสามยื่นโถน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้เป็นพระบิดาอย่างสำรวม ฝ่าบาทรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านพิธีกรรมมาเสวยก่อนจะเทน้ำลงบนฝ่ามือแล้วล้างพระพักตร์เป็นอันพิธีกรรมเสร็จสิ้น
"หากมีหินจันทราเราคงไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่กับพวกเจ้าทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้"
"ทูลฝ่าบาทแม้จะไม่มีหินจันทราแต่การเข้าสู่พิธีกรรมต่อชะตาปีละสองครั้งใช้เวลารวมครั้งละสามวันก็นับว่าคุ้มค่ามากเพคะ พิธีกรรมนี้ช่วยขจัดสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังเพิ่มพลังปราณในกายทำให้พระองค์ทรงมีพระวรกายแข็งแรงอายุยืนหมื่นปีเพคะ"
หัวหน้าเทพธิดาเอ่ยขึ้น