ตอนที่ 1 โจรล่าพรหมจรรย์
บรรยากาศภายในห้องจัดเลี้ยงแบบวีไอพีที่โรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง บรรดาซีอีโอหนุ่มแห่งกลุ่มพันธมิตรได้นัดหมายกันมาที่นี่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจเชิงสังสรรค์ไปในตัว และแน่นอนว่าการมาของพวกเขาในแต่ละครั้งนั้นมักหลีกหนีไม่พ้นสุราและนารี เนื่องจากพวกเธอเหล่านั้นจะช่วยให้การพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจมีอรรถรสมากยิ่งขึ้น
“เอาใจเขาเข้าไว้ คนนั้นน่ะ แล้วเธอจะสบาย”
เจ้าของคำพูดทำหน้าพยักพเยิดไปทางชายหนุ่มใบหน้าคมคร้ามที่กำลังละเลียดวิสกี้ชั้นดีอยู่ตรงโต๊ะถัดไปไม่ไกลนัก…คล้ายจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้อง สายตาคู่คมปรายมองมายังหญิงสาวทั้งสองที่เพิ่งพาร่างเข้ามาในห้องนี้ได้ไม่นาน ก่อนส่งยิ้มเล็กๆ มาให้อย่างรู้ความหมายในกันและกันดี
“สวัสดีค่า บอสทั้งหลายของเก๋”
หล่อนเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะสังสรรค์ทันทีเมื่อสายตาหลายคู่กำลังมองมาด้วยความสนใจ เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ แม้จะอายุขึ้นเลขสี่แล้วแต่ความสวยของหล่อนก็ยังคงเหมือนเดิม หากให้ไปยืนปะปนกับหญิงสาวที่มีอายุสามสิบต้นๆ แล้วแยกจากกันไม่ออกก็คงไม่แปลกนัก ทั้งนี้มาจากการที่เจ้าตัวดูแลตัวเองเป็นอย่างดีมาตลอดนั่นเอง
“มาสิ”
เอ่ยจนเกือบกระซิบกับหญิงสาวที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง พลางแอบกระตุกแขนเบาๆ ให้เดินตามเมื่ออีกฝ่ายยังคงทำกล้าๆ กลัวๆ สายตาจิกกัดปรายมองอย่างไม่พอใจ ด้วยกลัวว่าหญิงสาวที่พามาในวันนี้จะทำให้ต้องเสียลูกค้าชั้นดีไป
“คุณริทขา วันนี้เก๋พาน้องแคทมาแนะนำให้รู้จัก รับรองว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ”
เจ้าตัวปราดเข้ามาจนแทบจะนั่งตัก จนปริชญ์ต้องเอี้ยวตัวหลบอย่างสุภาพพลางส่งยิ้มชวนให้ใจละลายกลับไป รอยยิ้มเผยเขี้ยวเสน่ห์ของเขาทำให้คนมองแทบอยากลดอายุลงไปจากนี้อีกสักสิบปี เผื่อว่าจะโชคดีได้เป็นคู่ควงของซีอีโอหนุ่มหล่อแห่งเคพี อินเตอร์กรุ๊ปกับเขาบ้าง
เคพี อินเตอร์กรุ๊ป ทำการค้าเกี่ยวกับธุรกิจอลูมิเนียมไปหลายประเทศทั่วโลก ชื่อเสียงของปริชญ์จึงเป็นที่รู้จักกันในนามเสือร้ายแห่งวงการธุรกิจอลูมิเนียม เพราะเขาครองตลาดด้านนี้มานานหลายปีโดยไม่มีใครมาแทรกแซงได้นั่นเอง
“แคท? แคทที่แปลว่าแมว แมวยั่วสวาทหรือเปล่า”
สายตาคู่คมจับจ้องร่างอิ่มเป็นประกายฉ่ำเยิ้ม ขณะดึงรั้งร่างนั้นให้นั่งลงข้างๆ จนแนบชิด แคทลียานั่งเกร็งกลั้นหายใจจนรู้สึกอึดอัด เมื่อกลิ่นน้ำหอมของผู้ชายโชยมาปะทะจมูก หล่อนไม่ชินกับกลิ่นของมันแม้สักนิด
กลิ่นกายของเขาทำให้หล่อนรู้สึกประหม่า ยิ่งมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของบรรดาเสือผู้หญิงตัวยงด้วยแล้ว ทำให้เจ้าหล่อนถึงกับนั่งก้มหน้างุดด้วยความอับอาย…หากไม่ต้องการเงินเร่งด่วน สาบานได้ว่าหล่อนจะไม่มีวันมารับงานแบบนี้โดยเด็ดขาด หญิงสาวบอกตัวเองอย่างนั้น ขณะท่อนแขนแกร่งโอบกระชับร่างของตนจนแน่นมากยิ่งขึ้น จนใบหน้าซุกซบอกแกร่งของเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“น้องแคทเธอยังใหม่ อย่าให้ช้ำนะคะคุณริท”
“สนใจแต่คุณริทนะครับ คุณเก๋”
หนึ่งในนั้นเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าตนไม่มีสาวมาให้กอดเหมือนเพื่อนร่วมพันธมิตร เรียกเสียงหัวเราะเล็กๆ จากวงสนทนาขึ้นมาทันที
“แหม ก็ไม่ได้ออเดอร์เก๋ไว้ล่วงหน้านี่คะ แต่ถ้าต้องการตอนนี้บอกได้นะคะ เด้กๆ พร้อมเสมอ”
“ฮ่าๆ งั้นผมขอแจ๋วๆ แบบคุณริทก็แล้วกัน พอจะหาให้ผมได้บ้างมั้ย”
“ได้อยู่แล้วค่ะ ระดับเก๋เสียอย่าง”
หญิงสาวยิ้มพราว พลางขยิบตาอย่างรู้กันในความหมาย
“คุณเก๋เขาบอกเธอมั้ย ว่าหน้าที่ของเธอคืออะไรบ้าง”
ปริชญ์โน้มใบหน้าลงมากระซิบ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวอีกคนเดินออกจากห้องนี้ไปแล้ว ร่างในอ้อมกอดของเขารีบละล่ำละลักออกมาเสียงสั่น
“บะ…บอกค่ะ”
พยักหน้าทั้งที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าค่ำคืนนี้จะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง รู้เพียงแต่ว่าต้องเอาใจผู้ชายคนนี้ให้มากที่สุด เพราะหากเขาติดใจแล้วความสุขสบายในชีวิตก็จะตามมาเอง
“อืม…”
ชายหนุ่มเผยยิ้มอย่างพึงใจ ก่อนละเลียดวิสกี้ต่ออย่างใจเย็น ท่ามกลางการพูดคุยธุรกิจที่หญิงสาวในอ้อมกอดของเขาไม่มีวันเข้าใจ เพราะหน้าที่ของหล่อนคือบริการเขาเท่านั้น ท่อนแขนแข็งแกร่งพาดโอบหัวไหล่กลมมนเอาไว้ ฝ่ามืออุ่นร้อนไล้ไปมาบนผิวนุ่มลื่นราวแพรไหม จนเจ้าตัวต้องห่อไหล่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต
ภายในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ เสียงร่ำไห้ด้วยความเสียใจดังมาจากร่างที่นอนอยู่บนเตียงกว้างมาเนิ่นนานแล้ว หลังจากหล่อนถูกพรากสิ่งที่หวงแหนไปอย่างง่ายดาย เพียงเขาใช้ชั้นเชิงที่เหนือกว่าหลอกล่อให้เคลิบเคลิ้ม หล่อนก็เต็มใจมอบสิ่งล้ำค่าอันแสนหวงแหนไปให้เขา มารู้ตัวก็ต่อเมื่อเขาตักตวงหาความสุขจากร่างกายนี้จนพอใจ โดยไม่มีแม้คำปลอบประโลมใดๆ ให้รู้สึกดี
“หยุดร้องไห้เสียเถอะ ฉันไม่เห็นว่ามันจะน่าเสียใจตรงไหนเลยสักนิด เมื่อกี้…เราต่างก็มีความสุขด้วยกันไม่ใช่เหรอ หรือว่า…เธอจะเถียง”
เสียงนั้นเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง ก่อนที่เงินปึกหนึ่งพร้อมเช็คจะถูกยื่นมาตรงหน้าคนที่เอาแต่นอนน้ำตาไหลริน จากนั้นเขาจึงพาร่างลงจากเตียงไปแต่งตัวอย่างเงียบๆ ไม่สนใจใยดีร่างบอบช้ำบนเตียงกว้างแต่อย่างใด
“นี่คือโทรศัพท์ที่เธอต้องพกติดตัวเอาไว้ตลอด หากฉันไม่เบื่อเธอไปเสียก่อน เธอจะต้องกดรับทุกครั้งที่ฉันโทรหา เข้าใจมั้ย!”
ชายหนุ่มยัดโทรศัพท์ใส่มือขาวเนียน ก่อนฝากฝังรอยจูบลงบนขมับชื้นเหงื่อ ปลายนิ้วแกร่งไล้ไปบนพวงแก้มนุ่มพลางขบริมฝีปากครุ่นคิด เมื่อรสสัมผัสของดอกไม้แรกแย้มทำให้เขาติดใจ
อาจจะมีครั้งที่สองตามมา ไม่สิ อาจจะสามสี่ห้า…หรือมากกว่านั้น…ชายหนุ่มบอกตัวเองในใจก่อนผลุนผลันลงจากเตียง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขาออกไปจากห้อง เสียงโทรศัพท์ได้ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
สายตาคู่คมมองเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ พลันแววตาก็แปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกร้าว โทรศัพท์ในมือถูกกำจนแน่นตามอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด พยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปรกติมากที่สุดแล้วกดรับสาย
“ครับที่รัก”
“คุณอยู่ที่ไหนคะ วิมานั่งรอคุณอยู่นานแล้วนะ”
วิมลยา…นั่นคือว่าที่เจ้าสาวของเขา จุดนัดพบคือร้านที่เคยไปเป็นประจำ แต่ว่าตอนนี้เขายังมัวร่ำไรอยู่กับหญิงสาวที่ซื้อมาได้ด้วยเงิน
“เอ่อ…คือว่า…ผมคุยกับหุ้นส่วนอยู่น่ะวิ กำลังจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้แหละ คุณนั่งรอผมได้ใช่มั้ยที่รัก”
ปริชญ์ผ่อนลมหายใจขณะโกหกออกมาหน้าตาเฉย ทำราวกับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ค่ะ วิเข้าใจคุณ”
“ผมขอรับผิดทุกอย่าง ขอแก้ตัวในคืนนี้ก็แล้วกันนะครับ ที่รักของผม”
รอยจูบฝากฝังผ่านโทรศัพท์ไปถึงคนปลายสาย เพียงได้ฟังคำหวานจากคนที่รักมาก หัวใจของวิมลยาถึงกับอ่อนยวบลงไปทันที
ทางนั้นกดวางไปนานแล้ว หากแต่ปริชญ์ยังคงยืนนิ่ง จมอยู่ในห้วงความคิดของตนเนิ่นนาน ร่างสูงหมุนกายกลับไปมองยังเตียงกว้างอีกครั้ง ร่างเปลือยเปล่าที่นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นเงียบเสียงลงไปแล้ว เขาเดาเอาว่าหล่อนคงร้องไห้จนผล็อยหลับไป…เสียงที่เต็มไปด้วยไฟแค้นเล็ดลอดผ่านริมฝีปากได้รูป
‘มันยังแค่เริ่มต้นเท่านั้น วิมลยา!’
เสียงหัวร่อต่อกระซิกที่ดังแว่วเข้ามาถึงในห้องนอน ทำให้วรรณเลขาอดที่จะแง้มบานประตูห้องของตนเพื่อสังเกตการณ์นอกห้องไม่ได้ เพียงสายตาสบเข้ากับร่างของชายหนุ่มหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้อง และกำลังหยอกเย้ากันอย่างมีความสุขอยู่นั้น ทำให้หัวใจของหล่อนถึงกับกระตุกไหววูบ เผลอยกมือขึ้นปิดปากอุทานออกมาเบาๆ ด้วยใจที่สั่นระรัว
“พี่วิ! คุณริท!”
ดวงตากลมโตที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตาดกหนาของวรรณเลขาสั่นระริก กระนั้นก็ยังทำด้านชาแอบมองสองคนพลอดรักกันอย่างน่าอาย ยามนี้ความง่วงงุนเมื่อสักครู่มลายหายไป เมื่อมีสิ่งเร้าใจให้ทำมากกว่าการนอนหลับใหลมากนัก
‘เธอทำบ้าอะไรอยู่เนี่ยยายวรรณ ช่างน่าละอายนัก’
“อย่าค่ะ คุณริท”
วิมลยาพยายามเอี้ยวใบหน้าหลบ เมื่อเขาดันร่างของหล่อนไปจนชิดบานประตู ก่อนกักเอาไว้ด้วยสองแขนแข็งแรง ไม่ยอมให้หล่อนได้เข้าไปด้านในได้โดยง่าย
“น่านะ…ผมต้องการคุณมากนะวิ หรือว่าคุณไม่รักผม ไม่เคยมีผมอยู่ในหัวใจ”
ถ้อยคำตัดพ้อแต่ยังคงฟังนุ่มหู กินลึกไปถึงก้นบึ้งหัวใจของ
วิมลยา หล่อนแทบยอมสิโรราบให้กับเขาอย่างง่ายดาย หากแต่ว่าความที่ยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้ตัดสินใจเอ่ยถ้อยคำที่ขัดใจคนฟังยิ่งนัก
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ วิรักคุณมาก แต่ขอเวลาวิหน่อยนะคะ”
พยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวลที่สุดพลางสบตาเขาอย่างมีความหมาย ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่รักเขา แต่ทั้งรักและหลงเขามากที่สุด หากแต่ก็ได้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมใจอ่อนไปกับชั้นเชิงชายที่พยายามล่อหลอกให้เดินเข้าไปติดกับดักเป็นอันขาด จนกว่าเขาและหล่อนจะจูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์
“แล้วจะหวงผมไปถึงไหนล่ะครับ วิไม่รู้หรอกว่าเวลาที่เราอยู่ใกล้กัน แล้วผมต้องข่มใจไม่ให้ล่วงเกินวิ มันทรมานมากขนาดไหน”
ฝ่ามืออุ่นร้อนลากไล้แผ่นหลังนวลเนียน วิมลยาพยายามดันกายแกร่งหอมละมุนให้ออกห่าง รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นหากหล่อนยังคงยืนนิ่งยอมให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจหลังจากนี้
“คุณริท ยะ…อย่า”
“ขอนิดเดียว…นิดเดียวเท่านั้น”
โดยไม่รอให้ได้ตั้งตัว ริมฝีปากร้ายกาจจู่โจมครอบครองกลีบปากนุ่มอย่างจาบจ้วง รสสัมผัสแสนเร่าร้อนและดุดัน ทำให้สองแขนเรียวกอดเกี่ยวโอบรั้งลำคอแกร่งเอาไว้ ยอมให้เขาปล้นจูบไปอย่างง่ายดาย
วรรณเลขายืนช็อคขอบตาร้อนผ่าว ไม่แน่ใจว่ามันมาจากประกายไฟแห่งความอิจฉาริษยา หรือความเสียใจที่ได้เห็นภาพบาดตาเบื้องหน้ากันแน่
ในขณะที่สายตาชวนให้ใจละลายหรี่มองไปยังหน้าห้องของวรรณเลขาราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้อง จูบดูดดื่มแสนหวานนั้นจึงยาวนานยิ่งนัก จนวรรณเลขาทนดูไม่ได้อีกต่อไป มือสั่นๆ ค่อยๆ ดึงบานประตูให้ปิดลงเมื่อไม่อาจทนมองต่อไปได้
ปริชญ์ยอมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งเมื่อเห็นว่าร่างเมื่อสักครู่ผลุบหายไปแล้ว รอยยิ้มพึงใจเผยขึ้นขณะสายตายังคงจับจ้องบานประตูห้องนอนว่าที่น้องเมียไม่วางตา ในขณะที่วิมลยายังคงยืนนิ่งคล้ายคนละเมอ เมื่อรสสัมผัสเมื่อสักครู่มันทำให้สติของหล่อนถึงกับกระเจิดกระเจิงจนแทบกู่ไม่กลับเลยทีเดียว
“ผมให้เกียรติคุณนะที่รัก หากยังไม่พร้อมผมก็จะไม่ฝืนใจ”
“..…”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเขา ทำให้วิมลยายืนนิ่งราวถูกสาป เพียงเห็นสายตาคู่คมที่ลอบมองไปยังบานประตูห้องข้างๆ หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่นพลางรีบข่มใจให้เป็นปรกติ
“หากไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับที่รักของผม”
รอยจูบฝากฝังลงบนแก้มนุ่มเพื่อเป็นการสั่งลา วิมลยาพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด เก็บซ่อนความกังขาเอาไว้ภายในใจแล้วฝืนยิ้มออกมา
“ค่ะ”
“กู๊ดไนท์นะครับ”
“เช่นกันค่ะ”
รอยยิ้มบาดใจส่งมาให้ก่อนที่ร่างสูงจะค่อยๆ หันหลังเดินจากเธอไป หากเขาจะหันหลังกลับมามองสักนิด ก็จะเห็นว่าวิมลยายังคงยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของตนเนิ่นนาน บานประตูที่ปิดสนิทของห้องข้างๆ นั้น อยากรู้นักว่าหญิงสาวในนั้นกำลังอยู่ในสภาวะเช่นใด อาจจะกำลังทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด หรืออาจกำลังหลับใหลอย่างมีความสุขไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนนี้บ้าง
“ฟู่…”
เสียงผ่อนลมหายใจโล่งอกเมื่อพาร่างเข้ามาอยู่ในห้องของตนวิมลยาเดินลากขาไปทิ้งกายลงบนเตียงกว้างพลางครุ่นคิด สัมผัสเร่าร้อนเมื่อสักครู่ที่ยังคงติดตราตรึง ทำให้เผลอยกมือขึ้นแตะกลีบปากนุ่มอย่างลืมตัว ชั้นเชิงของเขาทำให้เกือบพลาดท่า หากเขารุกอย่างนี้ทุกครั้งที่พบกัน ไม่แคล้วคงจะเป็นหล่อนเองที่ต้องพลาดท่าเสียทีให้กับเขาในสักวัน
หากในวันนี้เขาไม่หยุดกลางคัน ทุกอย่างคงต้องจบลงบนเตียงอย่างแน่นอน เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทำให้วิมลยาถึงกับนอนกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียง รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเข้าถึงตัวตนได้ยากยิ่งนัก อารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของเขาทำให้หล่อนคาดเดาไม่ออก ว่าแท้จริงแล้วเขาได้ซุกซ่อนอะไรเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบาดใจนั้นหรือไม่
หล่อนชอบรอยยิ้มของเขา เพียงแค่คิดถึงก็ทำให้หัวใจอิ่มเอม รู้สึกว่าตนช่างเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดที่ได้ครอบครองหัวใจของซีอีโอแห่งเคพี อินเตอร์กรุ๊ปเอาไว้ได้ หญิงสาวคิดอย่างมีความสุข จนเผลอคลี่ยิ้มออกมาแล้วเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
เสียงบรรเลงเพลงฟ้อนสาวไหมเป็นจังหวะแสนไพเราะเริ่มดังขึ้น นางรำในชุดฟ้อนของทางภาคเหนือแสนสวยงาม ผสานกับลีลาการร่ายรำอันแสนอ่อนช้อยตราตรึงใจ ต่างทำหน้าที่ของตนกันอย่างตั้งใจเพื่อมอบความบันเทิงและความสุขแก่บรรดาแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมาภายในวันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักธุรกิจระดับแถวหน้าของเมืองไทยแทบทั้งสิ้น
ร่างสูงสง่าในสูทตัดเย็บเข้ารูปพอดีตัวก้าวเดินเข้ามาในงานอย่างไม่รีบร้อนนัก แม้เจ้าตัวจะมาเลทจากเวลาเริ่มงานก็ตามที เมื่อนั่งลงยังโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้แล้ว ชายหนุ่มปรายตาไปยังนางรำบนเวทีการแสดงอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่เพียงสายตาได้สบเข้ากับใบหน้าของนางรำคนหนึ่งที่กำลังส่งยิ้มหวานมาทางเขา หัวใจของเขาถึงกับกระตุกวูบขึ้นมาทันที
“ภา!”