สองพี่น้องเดินเข้ามาในร้านผ้าที่เคยมาซื้อผ้าเมื่อวันก่อน เมื่อเดินเข้าไปในร้านพี่สาวคนสวยที่ดูแลสองพี่น้องคราวก่อนก็ออกมาต้อนรับ
“ร้านชิงชิงยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ” หญิงสาวผู้ดูแลร้านเดินมาต้อนรับลูกค้าทั้งสอง วันนี้ทั้งคู่ใส่ชุดที่ซื้อจากร้านนางด้วย ดูซิใส่สีเดียวกันด้วย น่ารักจริงๆ
“คารวะพี่สาวเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือ
“คารวะพี่สาวเจ้าค่ะ” หนิงลี่อินทำตามพี่สาวของตนโดยไม่ต้องรอให้พี่สาวบอก
“เรียกข้าว่ามีมี่ก็ได้ คราวที่แล้วข้าลืมบอกชื่อข้าเจ้าค่ะ” คราวก่อนเพราะมัวแต่ดีใจที่ตนขายของได้ยอดเยอะ ถึงแม้จะไม่ได้เยอะเท่าคนอื่นแต่นางก็พอใจแล้ว
“เจ้าค่ะพี่สาวมี่ วันนี้ข้าอยากได้ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีขาวแบบบาง และผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีขาวแบบหนา ท่านมีหรือไม่เจ้าคะ”
“มีเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปหยิบมาให้ท่านดูนะเจ้าคะ” มีมี่เดินไปหยิบผ้าฝ้ายเนื้อหยาบมาให้ลูกค้าดู “นี่เจ้าค่ะ ถ้าเป็นผ้าฝ้ายเนื้อหยาบแบบบางราคาพับละ 40 อีแปะ แต่ถ้าแบบหนาราคาจะอยู่ที่พับละ 80 อีแปะเจ้าค่ะ” มีมี่แจ้งราคาผ้าแก่ลูกค้า
หนิงลู่ซือหยิบผ้าทั้งสองแบบขึ้นมาดู เอาแบบนี้ก็คงพอ “ข้าเอาผ้าฝ้ายเนื้อหยาบแบบบาง 10 พับ และเนื้อหยาบแบบหนา 5 พับเจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าไปหยิบมาให้ แล้วท่านต้องการอย่างอื่นด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“อาอินเจ้าอยากได้อะไรหรือไม่” ถึงน้องสาวจะบอกว่าไม่อยากได้อะไร แต่เมื่อนางหันไปมองก็พบว่าสายตาของน้องสาวหยุดอยู่ที่ชุดสีม่วงอ่อนชุดหนึ่ง สงสัยจะเพิ่งเอามาวาง วันก่อนไม่เห็นมีชุดนี้เลย
“ไม่อยากได้เจ้าค่ะ” ปากบอกว่าไม่ แต่ตายังจ้องไปทางชุดนั้นไม่วางตา
“พี่สาวมี่เจ้าคะ ชุดสีม่วงชุดนั้นราคาเท่าไหร่เจ้าคะ” หนิงลู่ซือตัดสินใจถามราคา จะซื้อชุดให้น้องสาวสักชุดไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางเลย
“ถือว่าท่านมีสายตาที่ดีทีเดียวเจ้าค่ะ ชุดนั้นเพิ่งจะนำมาวางขายวันนี้ ตัวชุดทำจากผ้าฝ้ายเนื้อดี ราคาของชุดนี้อยู่ที่ 500 อีแปะเจ้าค่ะ” ถือว่าราคาแรงเหมือนกันนะเนี่ย แต่เนื้อผ้าดูจากสายตาก็รู้แล้วว่าดีกว่าที่ซื้อครั้งก่อนมากทีเดียว เพราะพี่สาวมี่บอกว่าใช้ผ้าฝ้ายเนื้อดีในการตัดเย็บ
“ข้าเอาชุดสีม่วงตัวนั้นด้วยเจ้าค่ะพี่สาวมี่ แล้วก็เอาผ้าผูกผมสีเดียวกันกับชุด 2 เส้นเจ้าค่ะ”
“พี่ใหญ่ข้าไม่เอาเจ้าค่ะ ชุดที่ซื้อไปข้ายังใส่ไม่ครบเลยนะเจ้าค่ะ” หนิงลี่อินบอกพี่สาว
“เจ้าไม่อยากได้ แต่พี่ใหญ่อยากซื้อให้เจ้า” หนิงลู่ซือยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู “ถือว่าพี่ใหญ่ซื้อเป็นรางวัลให้เจ้า ที่วันนี้ช่วยพี่ใหญ่ขายของ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่” เด็กน้อยยิ้มแก้มแทบปริ นางได้ชุดสวยๆ เพิ่มอีกหนึ่งชุดแล้ว ต่อไปนางจะช่วยพี่ใหญ่ทำงานให้สุดความสามารถเลย!
“พี่สาวมี่ข้าเอาชุดสีม่วงสำหรับอาอิน 1 ชุด ผ้าผูกผม 2 เส้น และผ้าฝ้ายเนื้อหยาบแบบบาง 10 พับ แบบหนา 5 พับ เจ้าค่ะ”
“ได้เจ้าค่ะ” มีมี่รีบไปจัดสินค้ามาให้ลูกค้าตามที่ลูกค้าต้องการ ถึงคราวนี้ยอดจะไม่เท่ากับคราวก่อนแต่นางก็เข้าใจได้ เพราะทั้งสองเพิ่งซื้อผ้าร้านนางไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง
หนิงลู่ซือเดินมาที่จุดชำระเงิน ไม่นานพี่สาวมี่ก็เดินกลับมาพร้อมของที่นางสั่ง
“ท่านตรวจดูสินค้าก่อนได้เลยนะเจ้าคะ” มีมี่ยื่นผ้ามาตรงหน้าหนิงลู่ซือ นางก็ตรวจดูว่าถูกต้องตามที่ต้องการหรือไม่ หรือมีอะไรที่ต้องปรับแก้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็ดันกลับไปให้มีมี่คิดเงิน
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ พี่สาวมี่คิดเงินได้เลยเจ้าค่ะ”
“สินค้าทั้งหมดจะมีชุดสีม่วง 1 ชุด ราคา 500 อีแปะ ผ้าผูกผม 2 เส้น เส้นละ 10 อีแปะ ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบแบบบาง 10 พับ ราคาพับละ 40 อีแปะ แบบหนา 5 พับ พับละ 80 อีแปะ เป็นเงินทั้งสิ้น 1 ตำลึง 320 อีแปะ แต่ผ้าผูกผมข้าจะแถมให้ ไม่คิดเงินเจ้าค่ะ”
“ไม่เอาเจ้าค่ะ ไม่ต้องแถมข้า ของซื้อของขายจะมาแถมให้บ่อยๆ ได้เช่นไรเจ้าคะ คราวก่อนท่านก็แถมไปให้แล้วตั้ง 10 เส้น” ของซื้อของขายจะมาแถมกันทุกครั้งได้อย่างไร “นี่เจ้าค่ะเงิน” หนิงลู่ซือยื่นเงินตำลึงเงินและเหรียญอีแปะให้พี่สาวมี่ ก่อนจะรับถุงใส่ผ้าจากพี่สาวมี่มาถือไว้ และยื่นถุงใส่ชุดสีม่วงให้หนิงลี่อินเป็นคนถือ
“วันนี้ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ ลาแล้วเจ้าค่ะ” หนิงลู่ซือกล่าวลามีมี่
“อาอินลาพี่สาวมี่เจ้าค่ะ” เด็กน้อยค้อมตัวบอกลาพี่สาวคนสวยใจดี มือทั้งสองข้างกอดถุงผ้าชุดใหม่ไว้แน่น สร้างความเอ็นดูให้กับหนิงลู่ซือและมีมี่ยิ่งนัก
“จ้า ไว้มาซื้อชุดที่ร้านพี่สาวอีกนะเจ้าตัวเล็ก” มีมี่อดใจไม่ไว้ยื่นมือไปลูบหัวเด็กน้อย
“เจ้าค่ะ”
ออกจากร้านผ้าแล้วสองพี่น้องก็ไปยังร้านขายเครื่องปรุง หนิงลู่ซือซื้อน้ำตาลเพราะน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลักในการทำถังหูลู่ ทั้งยังซื้อเครื่องปรุงเพิ่มอีกด้วย
เมื่อได้ของครบแล้วทั้งคู่ก็เดินกลับหมู่บ้านซาน ระหว่างทางได้แวะซื้อซาลาเปากินกันคนละลูก
กว่าจะถึงบ้านก็ปลายยามอู่แล้ว ส่วนเจ้าตัวน้อยนั้นหลับไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะหลับแต่มือก็ยังกอดถุงผ้าไม่ยอมปล่อยสงสัยจะชอบจริงๆ หนิงลู่ซือไม่อยากจะปลุกน้องสาวจึงตัดสินใจอุ้มเข้าไปนอนในห้อง
พาน้องสาวเข้าห้องนอนเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินมายกของลงจากรถเข็นเพื่อจะได้นำรถเข็นไปคืนท่านป้าหลิน แต่คงต้องเอาไปคืนหลังจากที่น้องสาวตื่นแล้ว เพราะนางไม่อยากปล่อยให้น้องสาวอยู่บ้านเพียงลำพัง
หนิงลู่ซือไม่อยากปล่อยเวลาไปเฉยๆ จึงเริ่มเอาถั่วเขียวมาแช่น้ำทิ้งไว้ จะแช่ประมาณ 5 ชั่วยาม (1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง) ก็ได้ แต่นางจะแช่ทิ้งไว้ข้ามคืนไปเลย แช่ถั่วเขียวเสร็จก็มานั่งตัดผ้าขาว เหลาไม้ไผ่ที่จะใช้เสียบถังหูลู่ และจะใช้สำหรับคั่นตะกร้าเพาะถั่วงอก เพราะนางจะวางตะกร้าซ้อนกันเป็นชั้นๆ เพื่อให้ส่วนของรากงอกออกรูตะกร้า โดยใช้ไม้คั่นระหว่างตะกร้าชั้นล่างกับตะกร้าชั้นบน
กว่าทุกอย่างจะเสร็จก็ปลายยามเซินแล้ว หนิงลี่อินเดินสะลึมสะลือออกจากห้องนอนมา ได้กลิ่นอะไรหอมๆ ลอยออกมาจากห้องครัวจึงเดินไปทางห้องครัว เห็นพี่สาวกำลังยุ่งกับการทำมือเย็น
“พี่ใหญ่ท่านทำอันใดเจ้าคะ”
“อาอินตื่นแล้วหรือ ไปล้างหน้าล้างตาก่อน แล้วไปให้อาหารไก่ด้วยนะ เดี๋ยวพี่ใหญ่ทำกับข้าวเสร็จเราจะไปบ้านท่านป้าหลินกัน เอารถเข็นไปคืนและเอากับข้าวไปให้ท่านป้าหลิน”
“เจ้าค่ะ” หนิงลี่อินเดินไปล้างหน้าล้างตาข้างหลังบ้าน เสร็จแล้วก็ไปให้อาหารไก่ที่เล้า
“พี่สาวท่านทำอันใดกับข้าวเจ้าคะ ทำไมมันถึงดูน่ากินเช่นนี้” หนิงลี่อินที่ทำงานของตนเองเสร็จแล้ว เดินกลับเข้ามาในครัว ชี้ไปที่ข้าวสีสันน่ากิน มีทั้งเนื้อ ทั้งผัก ในจานเดียวกัน ว่าแล้วก็หิวขึ้นมาเลย
“สิ่งนี้เรียกว่าข้าวผัดหมู ส่วนสิ่งนี้เรียกว่าต้มจืดกระดูกหมู ซดร้อนๆ คล่องคอนัก”
“ข้าหิวขึ้นมาทันทีเลยเจ้าค่ะ”
“งั้นเรารีบไปบ้านท่านป้าหลินกันเถอะ จะได้รีบกลับมากินข้าวเย็น”
“ท่านป้าหลินเจ้าคะ ท่านป้าหลิน”
“เอ้า อาซือ อาอิน เข้ามาๆ” เว่ยหมิงกลับมาจากให้อาหารไก่ ได้ยินเสียงใครมาตะโกนอยู่หน้าบ้านจึงเดินออกมาดู ก็พบเข้ากับสองพี่น้องตระกูลหนิง คนน้องนั่งอยู่บนรถเข็นมีพี่สาวค่อยเข็นรถ