ตอนที่ 8 ร่วมหอลงโรง (2)

3979 Words
ตอนที่ 8 ร่วมหอลงโรง (2) “นายท่านหลี่ จะเดินเข้าพร้อมกันเลยหรือเจ้าคะ” แม่สื่อวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างสงสัย นางช่วยเป็นแม่สื่อให้ขุนนางน้อยใหญ่มามาก ตามธรรมเนียมเดิมยิ่งเจ้าบ่าวมีศักดิ์ฐานะเหนือกว่าเจ้าสาวเท่าไร ก่อนเข้าหอวันแรกจะต้องให้เจ้าสาวลอดใต้แขนเพื่อถือเคล็ดว่าให้ภรรยาอยู่ใต้อำนาจสามี ใต้เท้าหลี่เป็นถึงผู้แทนพระองค์ เรื่องเหล่านี้ยิ่งต้องถือเคล็ดเข้าไว้ “ไม่ต้อง ทุกคนออกไปได้ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง” เขาพูดยิ้มๆ คล้ายไม่ใส่ใจอะไรเท่าใดนัก แม่สื่อและบรรดาบ่าวไพร่ครั้นได้ยินก็ลอบมองหน้ากันด้วยแววตายิ้มๆ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหลี่จะหลงภรรยาเสียจนละเลยธรรมเนียมเหล่านี้ “เช่นนั้นพวกเราขอตัว” สาวใช้ที่แม่สื่อใช้เข้าไปตระเตรียมข้าวของรีบเดินออกมาจากห้องหอ หลี่หมิงคว้าข้อมือเซียวม่านหลิวอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มช่วยดึงชายชุดเจ้าสาวสีแดงขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้นางก้าวข้ามธรณีประตูอย่างสะดวก ทั้งสองก้าวเข้าไปด้านในอย่างราบรื่น เทียนมังกรหงส์สีแดงถูกจุดสว่างไสว หลี่หมิงพาเซียวม่านหลิวไปยังเตียงนอน นอกจากเสียงของลมหายใจแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ชายหนุ่มมองบนโต๊ะที่ปูผ้าสีแดงซึ่งมีเพียงสุรามงคลเท่านั้น จึงหันไปถามเซียวม่านหลิว “เจ้าหิวหรือไม่” “หิว” นางตอบอย่างรวดเร็ว คิดจะดึงผ้าคลุมสีแดงออกจากศีรษะ ทว่าชายหนุ่มกลับคว้าข้อมือของนางไว้ได้ทัน “เจ้าจะทำอะไร เจ้าสาวจะเปิดผ้าคลุมหน้าเองหรืออย่างไร” เขากล่าว เซียวม่านหลิวได้ยินเสียงห้วนๆ ของเขาก็เม้มริมฝีปากแน่น “ท่านเคร่งครัดเกินไปแล้ว” “งานแต่งงานคือพิธีการสำคัญ สำหรับข้าในครั้งนี้ก็คือครั้งเดียวตลอดชีวิต เจ้าไม่ใส่ใจ แต่ข้าไม่ใช่” คำพูดของหลี่หมิงทำเอานางใบหน้าเห่อร้อน น้ำเสียงติดจะห้วนของเขากลับทำให้นางอดขัดเขินไม่ได้ แม้ว่าจะมิได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่คนผู้นี้กลับไม่คิดจะแต่งอนุหรือ “หรือท่านจะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิต” “ใช่” เซียวม่านหลิวใจเต้นระรัว “ไหนให้ข้าห้ามรักท่านอย่างไรเล่า” แววตาของหลี่หมิงไหววูบ เขามองผ้าคลุมสีแดงของนาง สูดลมหายใจลึกด้วยความรู้สึกขัดแย้งในใจ ขอโทษ ขอโทษเรื่องใดเขาเองก็ไม่รู้ ชายหนุ่มใช้คันชั่งเปิดผ้าคลุมเจ้าสาว เวลาคล้ายเดินเชื่องช้าลงกว่าเดิมนัก ผ้าคลุมหน้าเลิกขึ้น เผยให้เห็นริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสด ไล่ไปยังปลายจมูกโด่งรั้น สบกับนัยน์ตาดำขลับซึ่งล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยาว คิ้วเรียวงามดุจใบหลิวขมวดเล็กน้อย ครั้นผ้าคลุมเจ้าสาวถูกดึงออกจากศีรษะของนาง กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยมากระทบนาสิก หลี่หมิงใจเต้นรัว ภาพที่ปรากฏในครรลองสายตาทำให้เขาลืมหายใจชั่วขณะ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างทำให้ชายหนุ่มเผลอยื่นมือสัมผัสไล้ใบหน้าเนียนนั้นเบาๆ ไม่ถูกต้อง เขาชะงัก รีบชักมือกลับแล้วหลบสายตาของนางด้วยความรู้สึกสับสน เผลอกุมที่หัวใจตนเองราวกับพบเจอสิ่งแปลกประหลาด เหตุใดนางจึงเหมือนอาเหยาราวกับว่าเป็นอาเหยาอย่างไรอย่างนั้น แต่อาเหยายังไม่ตายมิใช่หรือ เขายังไม่ได้สังหารฟางอวี้เหยา ทว่าชั่วแวบหนึ่งนั้น เมื่อสบสายตากับเซียวม่านหลิว คล้ายเห็นสายตาอันคุ้นเคยของอาเหยาที่เขารักยิ่ง “ท่านเป็นอะไรไป” ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่มีอะไร” “เช่นนั้นข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” เซียวม่านหลิวลุกขึ้น แต่หลี่หมิงรีบคว้าแขนของนางเอาไว้พลางรั้งนางกลับมาที่เดิม พยายามอ่านความคิดที่อยู่ภายใต้สีหน้าเหนื่อยหน่ายของนางอย่างยิ่งยวด น่าเสียดายที่ไม่อาจอ่านความคิดของนางได้อีกต่อไปแล้ว “ท่านเป็นอะไรไป” นางขมวดคิ้วเป็นปม เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ลำคอของเขาพลันตีบตันขึ้นมา “ไท่จื่อ…ข้าง่วงแล้ว” “ไท่จื่อ…ข้าง่วงแล้ว” คล้ายกับมีอะไรบางอย่างกระตุ้นสัญชาตญาณของเขา หลี่หมิงโพล่งออกไป “ในเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว ข้าเองแม้ไม่ใช่คนดี แต่เราสองคนลองมาเป็นสามีภรรยากันจริงๆ ได้หรือไม่” เซียวม่านหลิวมือไม้อ่อน นางอ้าปากค้าง ขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านอาจจะเหนื่อยจนเพ้อเจ้อ ท่านเป็นคนบอกเองว่าเราสองคนไม่ควรรักกันมิใช่หรือ ข้าไม่อยากมีบ่วงผูกมัด” ทันใดนั้นหลี่หมิงพลันหลบตา ใบหูแดงเถือกลามไปจนถึงลำคอ “ในเมื่อเราได้เสียกันมาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เพื่อให้พิธีการสมบูรณ์ คงไม่เป็นอะไรกระมัง” เซียวม่านหลิวหน้าแดงก่ำ ปากอ้าๆ หุบๆ ราวกับปลาในสระ นางอุตส่าห์ลืมเรื่องในวันนั้นแล้ว เขายังจะพูดอีกหรือ “ท่านเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ” ทันใดนั้นสายตาที่หันกลับมามองเซียวม่านหลิวก็อาบไปด้วยความขวยเขินและท่าทางอันไร้ยางอายอย่างที่นางไม่คิดมาก่อน เขาปลดสายรัดเอวด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ แหวกสาบเสื้อของตนออกทีละชั้นจนเห็นกล้ามเนื้อแน่นตึง มองตานางด้วยสายตาเว้าวอน “หลิวหลิว…เจ้าหิวก็กินข้าเถอะ” เซียวม่านหลิวสะท้านเยือก พยายามดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา น้ำเสียงหวานแปร่งหูทำเอานางหวาดผวายิ่งกว่าตอนรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเสียอีก ทว่าความพยายามของนางกลับไร้ผล อย่างไรอำนาจเหนือธรรมชาติของเขาก็ชนะพลังยุทธ์ของนางได้อยู่วันยังค่ำ หลี่หมิงคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเอง เขารั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความหลงใหลและรักใคร่ ไล้นิ้วมือใบยังใบหน้าของนางอย่างทะนุถนอม เซียวม่านหลิวขนลุกชันไปทั้งกาย ใบหน้าของนางและเขาอยู่ห่างกันเพียงคืบ ลมหายใจเย็นๆ ของเขาเป่ารดใบหน้าของนางจนจั๊กจี้ “หลี่หมิง…ท่านเป็นอะไร” เรื่องราวเริ่มแปลกพิกลขึ้นทุกทีแล้ว เขาทำราวกับไม่เป็นตัวของตัวเอง นางดึงมือของหลี่หมิงออก สัมผัสที่ได้รับเย็นเยียบคล้ายก้อนน้ำแข็ง เซียวม่านหลิวกลืนน้ำลาย แม้ว่าอากาศในช่วงคิมหันต์จะร้อนระอุโดยเฉพาะยามอยู่ในชุดเจ้าสาว ทว่ายามนี้นางกลับหนาวเยือกยิ่งนัก สายตาของเขาเลื่อนลอย “หลิวหลิว…พวกเราลองให้เกียรติกันดังเช่นคู่สามีภรรยาทั่วไปดีหรือไม่” กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายของเขาเริ่มทำให้นางมึนงง น้ำเสียงของเขาฟังดูออดอ้อนออเซาะยิ่งนัก เซียวม่านหลิวมิใช่นางชีจากไหน ครั้นได้มองใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้หนึ่งใกล้ๆ ได้ยินน้ำเสียงนุ่มหูของเขา ความต้านทานบางอย่างก็ลดน้อยถอยลงจนไม่อาจยับยั้ง “ให้เกียรติกันอย่างไร” น้ำเสียงของนางเบาหวิวไร้ความมั่นใจ พลันกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงลำคอ หลี่หมิงไม่ตอบ ร่างกายเป็นไปตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ป่า เขาใช้ฝ่ามือซัดเทียนหงส์มังกรจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืด หลับตาลูบคลำใบหน้าของนาง พลันรั้งปลายคางของนางขึ้นมาประทับจุมพิตอ่อนโยนก่อนจะขบเม้มริมฝีปากนุ่มนิ่มของนางเบาๆ เซียวม่านหลิวถูกสูบวิญญาณจนเคลิบเคลิ้มมัวเมา นางหายใจกระเส่า หลับตาพริ้มเมื่อลำคอถูกขบเม้ม มงกุฎหงส์ถูกหลี่หมิงปลดลงอย่างง่ายดาย เส้นผมยาวสลวยของนางทิ้งตัวลงราวกับม่านน้ำตก เขาลูบไล้เรือนผมของนาง ปัดปอยผมทัดใบหู ก่อนจะขบเม้มไล่ตั้งแต่จอนผมไปจนถึงติ่งหูเล็กๆ สัมผัสแผ่วเบาคล้ายแมลงปอแตะผิวน้ำกระตุ้นความรู้สึกของนางจนเผลอส่งเสียงลอดไรฟัน เขาหายใจกระเส่า มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข สายรัดเอวชุดเจ้าสาวถูกกระชากออก จนสาบเสื้อของนางเริ่มหลุดลุ่ย ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบค่อยๆ ดึงรั้งสาบเสื้อของนางลงจนเผยลาดไหล่เนียนลื่น หลี่หมิงสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของนาง จุมพิตเบาๆ จนถ้วนทั่ว ก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงบนคอของนางเบาๆ “อื้อ…” เซียวม่านหลิวนิ่วหน้า แม้นางจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร ทว่าครั้งนี้กลับต่างกันลิบลับ มือเย็นเฉียบของเขาแทรกผ่านรอยแยกตรงชุด ก่อนจะกระชากเอี๊ยมของนางออกราวกับมันเป็นเพียงเศษผ้าผืนหนึ่ง แม้นางจะคว้าเอาไว้โดยสัญชาตญาณก็ไม่ทันแล้ว สัมผัสอ่อนโยนตรงยอดอกทำให้นางหลงลืมความเจ็บปวดตรงลำคอ ยิ่งเมื่อเขากระตุ้น นางเองก็ครางออกมาอย่างไร้ยางอาย เขาที่อดทนรอคอยมาเป็นเดือน หื่นกระหายอย่างยิ่ง เวลาผ่านไปราวชั่วอึดใจหนึ่ง หลี่หมิงจึงดึงใบหน้าออกจากซอกคอของนางอย่างรวดเร็ว ดวงตากลับมากระจ่างใส พลันพึมพำเสียงพร่า “เกิดอะไรขึ้น” เซียวม่านหลิวเองที่ถูกปลุกเร้าจนถูกไฟราคะครอบงำลืมตาขึ้น รู้สึกราวกับถูกเขากระทำให้ค้างเติ่งอยู่บนยอดเขา โทสะพลันพวยพุ่ง “ท่านหยุดทำไม” หลี่หมิงขยับฝ่ามือ สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนอันนุ่มหยุ่น พลันร้อนวาบไปทั่วทั้งกาย “ขะ…ข้าขอโทษ รีบใส่เสื้อผ้าเร็ว” เขาดึงมือกลับ ทว่าเซียวม่านหลิวกลับเป็นเหมือนว่าวที่กำลังติดลม ครั้นถูกเขากระทำเช่นนี้ก็หงุดหงิด วิญญาณผีแม่ม่ายคงจะเข้าสิงนางแล้วจริงๆ เมื่อคำพูดไร้ยางอายหลุดออกจากปาก “ท่านทำต่อสิ” “อะไรนะ…” แม้ว่าปกติจะชอบทำเย็นชาไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทว่าเรื่องแบบนี้เขามิใช่ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อครู่กระทำอะไรไปก็ไม่รู้ตัว จึงรู้สึกอับอายอย่างมาก “ข้าทำอะไรลงไป” ก่อนออกเรือนแม่สื่อนำภาพเริงวสันต์[1] จำนวนไม่น้อยมาให้นางดูแล้วบอกว่าให้จำเพื่อใช้ปรนนิบัติสามี นางก็พอทำใจไว้บ้าง เพราะเข้าใจว่าตนเองได้เสียกับหลี่หมิงไปแล้ว นางจึงได้สาบานกับตนเองว่าหากจะมีครั้งต่อๆ ไปก็ต้องเป็นครั้งที่นางภาคภูมิใจก่อนจะหนีไปบวช ทั้งยังเสียดายที่ครั้งแรกกับเขา นางเองไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ คิดได้ดังนั้นนางก็อาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มพลั้งเผลอคว้าใบหน้าของเขามาจุมพิตลวกๆ ก่อนจะผลักเขาลงกับเตียงแล้วพูดว่า “ครั้งก่อนท่านช่างไร้น้ำยาจนข้าไม่รู้เนื้อรู้ตัว ครั้งนี้ข้าจะสั่งสอนท่านเองว่าการ 'เข้าหอ' จริงๆ เป็นอย่างไร” หลี่หมิงนิ่งอึ้ง ถูกจุมพิตไร้เดียงสาปัดผ่านริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกนางจับนู่นแตะนี่ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญเสียเต็มประดา อีกทั้งยังบนงึมงำว่าเขาไร้น้ำยาซ้ำๆ แต่นางจะรู้ตัวหรือไม่ว่าหากศรหลุดออกจากเกาทัณฑ์เมื่อไร ก็จะหยุดไม่ได้แล้ว เซียวม่านหลิวจอมอวดเก่งใช้ริมฝีปากแตะไล้แผ่นอกของเขาราวกับว่านี่คือวิธีที่คนสองคนใช้ร่วมกันจนกลายเป็นสามีภรรยา โดยหารู้ไม่ว่าที่แม่สื่อนำมาให้ดูนั้นเป็นเพียงภาพการพลอดรักธรรมดาเท่านั้น เนื่องจากเซียวอี้ไฉบิดาของนางแอบฉีกส่วนหลังที่ดุเดือดเลือดพล่านทิ้งไปแล้ว ตัวโง่งมจอมคุยโวอย่างนางจึงทำประหนึ่งแกว่งขวานหน้าบ้านหลู่ปัน[2] ยามนี้หลี่หมิงคล้ายท้องทะเลก่อนพายุจะมา เขานอนนิ่ง อยากรู้ว่านางจะทำอะไรต่อไป ทว่าในที่สุดความอดทนก็ใกล้จะสิ้นสุด เขาจึงเตือนนางเป็นครั้งสุดท้าย “หยุดเถอะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป” เซียวม่านหลิวหัวเราะน้อยๆ “อะไรกัน ท่านยอมแพ้ ถูกตราหน้าว่าไร้น้ำยาอย่างนั้นหรือ” ทันใดนั้นฟ้าดินก็พลิกกลับ เสียงหัวเราะเยาะพลันถูกกลืนลงท้อง นางถูกเขากลืนลงท้องทีละคำราวกับเป็นขนมไหว้พระจันทร์ ทั้งยังถูกเขาหลอกล่อเสียจนลืมอาย กลายเป็นว่าสุดท้ายก็ถูกเขาสั่งสอนกลับเสียแล้ว หลี่หมิงใช้มือสากสะกิดยอดอกของนางเบาๆ ก่อนจะขยำเป็นจังหวะเนิบช้า เซียวม่านหลิวครางในลำคอ ริมฝีปากถูกเขาดูดดึงอย่างเร่าร้อน อาภรณ์ทั้งร่างถูกฉีกกระชากด้วยพลังอำนาจประหลาด นางนอนหงาย สบกับดวงตาดำสนิทของเขา ลมหายใจถูกสูบเสียจนหายใจไม่ทัน มือเล็กขยุ้มสาบเสื้อของชายหนุ่ม ครางประท้วงในลำคอราวกับเด็กเล็กๆ หลี่หมิงถอดอาภรณ์ออกจนหมด ภายใต้ความมืด เซียวม่านหลิวมองไม่เห็นสิ่งใด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคน และเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ ฝ่ามือร้อนๆ ของเขาลูบไล้ทั่วเรือนกายของนาง “ทะ...ท่าน พอแล้วกระมัง เราเป็นสามีภรรยากันแล้ว” “หืม...ยัง เมื่อครู่แค่ของว่างเขานั้น หึๆ” หลี่หมิงหัวเราะในลำคออย่างเจ้าเล่ห์ หลี่หมิงรวบแขนเซียวม่านหลิวขึ้นสูง ก้มศีรษะแลบลิ้นเลียยอดอกเต่งตึงใช้ริมฝีปากขบเม้มดูดดึงจนนางร้องครวญครางไม่ได้ศัพท์ เซียวม่านหลิวบิดเร่าไปกับความกระสันรัญจวนวูบวาบในช่องท้อง ครั้นมือที่เลื่อนจากทรวงอกเคลื่อนมายังจุดกึ่งกลางของหญิงสาว นางพลันหนีบขาอย่างเหนียมอาย หลี่หมิงแยกเรียวขาของนางออก เคลื่อนฝ่ามือไปยังกลีบดอกไม้งาม อาศัยจังหวะที่เซียวม่านหลิวเผลอตัวแทรกปลายนิ้วเข้าไปในทันที “อ๊า! หลี่หมิง ท่านเอามันออกไปนะ ท่านจะทำอะไร!” “สอนให้เจ้ารู้ว่าการเข้าหอจริงๆ เป็นอย่างไรน่ะสิ” เขาค่อยๆ ขยับปลายนิ้ว เซียวม่านหลิวบิดเร้า ครางกระเส่าอย่างสุดกลั้นเมื่อถูกเขากระตุ้นจนล่องลอย นางแยกเรียวขาอย่างไร้ยางอาย บิดกายพล่าน ครั้นหลี่หมิงโอบเอวนางขึ้นสูง จุมพิตริมฝีปากนางอย่างร้อนแรง เซียวม่านหลิวพลันสะท้านเยือก โอบรอบลำคอเขาสะอื้นในอกด้วยแรงอารมณ์ ชายหนุ่มรอกระทั่งนางพรั่งพร้อม ยกสะโพกนางขึ้นสูง ก่อนจะแทรกความเป็นชายเข้าไปอย่างใจเย็น “อ๊า! เจ็บ หลี่หมิง ท่านเอาเจ้านั่นออกไปเดี๋ยวนี้!” หลี่หมิงนิ่วหน้า ความกระสันรัญจวนที่คับเต็มอกทำให้เขาทำเสียงฮึดฮัด ความอึดอัดคับแน่นทำให้เขาไปต่อไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกของเขาเช่นกัน หลี่หมิงพยายามจินตนาการถึงภาพที่เคยพบเห็น เขาจุมพิตนางเพื่อปิดริมฝีปากช่างจำนรรจานั้น ก่อนจะแทรกกายเข้าไปจนสุดทาง “อื้อ!” เซียวม่านหลิวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด กางนิ้วมือครูดกับแผ่นหลังชื้นเหงื่อของหลี่หมิงเพื่อระบายความอัดอั้น เขาถอนริมฝีปากออก โอบประคองร่างบอบบางของนางไว้แล้วกระซิบเสียงพร่า “ต่อไปก็เป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้ว หลิวหลิว” ชายหนุ่มขยับกายอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ โลมเล้าจนเซียวม่านหลิวตอบสนอง จากนั้นจึงเพิ่มระดับความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ   เซียวม่านหลิวสาบานกับตัวเองแล้วว่านางจะต้องตามล่าแม่สื่อคนนั้นแล้วจับขึงพืด จากนั้นจะเอามดทั้งรังปล่อยบนตัวของนางให้ถูกกัดอย่างทรมาน แต่น่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่าหลังจากคืนเข้าหอ แม่สื่อก็ได้รับเงินขวัญถุงก้อนใหญ่ ย้ายออกจากเมืองลั่วหยางไปแล้ว เวลาผ่านไปราวสิบวัน หลังจากที่นางถูกเจียงซือ[3] เฒ่าสั่งสอนจนพ่ายแพ้ราบคาบ ก่อนที่นางจะหมดสติไปยังถูกตบท้ายด้วยคำว่า “อย่าเที่ยวดูถูกบุรุษเรื่องบนเตียงอีก มิเช่นนั้นแล้วเรื่องอาจไม่จบเพียงเท่านี้” เท่านี้มันเท่าใดกัน ตอนนั้นนางอยากจะตะกุยหน้าเขาให้เสียโฉม ทว่าวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วงจนฟ้าสาง ไหนเลยจะมีแรงไปทำอะไรใครได้ ทั้งยังเพิ่งรู้ตัวว่านั่นคือการได้เสียกันอย่าแท้จริง และที่นางนอนกับเขาก่อนหน้านั้น ก็เป็นเพียงการ 'นอน' เฉยๆ หลังจากนั้นมาแม้ว่าหลี่หมิงจะนอนห้องเดียวกับนางทุกคืน แต่เพราะเขางานยุ่งมาก และนางเองก็ไม่อยากหาเรื่องราวใส่ตัว ทุกครั้งนางจึงรีบนอนก่อนตื่นทีหลังเขาโดยไม่สนใจคำครหาของผู้ใด ที่จริงหลังจากงานแต่งงาน แต่เดิมต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาว ทว่าเซียวม่านหลิวกระดากอายเกินกว่าจะหาเรื่องพูดกับเขาเพราะภาพในค่ำคืนนั้นยังติดตา จนแล้วจนรอดจึงไม่มีโอกาสพูดคุย จะว่านางหน้าบางเกินก็ใช่ที่ แต่เป็นเพราะเขาไม่เปิดโอกาสพูดคุยกับนางเลยแม้สักครั้ง ทุกวันเขาจะออกจากวังเทียนมิ่งก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และกลับมาหลังนางดับไฟนอน เป็นเช่นนี้ติดต่อกันจนคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อยอย่างนางยังอดระแวงสงสัยไม่ได้ หรือเขาได้แล้วทิ้ง ความคิดแง่ร้ายของนางผุดขึ้น คนสารเลว โกหกว่าได้เสียกันแล้ว ครั้นได้เสียจริงๆ ก็ไม่ใส่ใจ เขาต้องได้แล้วทิ้งแน่ๆ ความคิดในแง่ดีกลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย หรือเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ จิตใจของนางห่อเหี่ยว วันๆ นางเอาแต่อยู่ในวังเทียนมิ่ง แม้จะมีคนคอยรับใช้มากมาย ทว่านางกลับโหยหาอิสรเสรีเฉกเช่นในยามที่อยู่เฉินตู ทั้งยังคิดถึงบิดามาก ในใจก็ได้แต่ตำหนิตัวเองที่คิดน้อยจนเกินไป ที่จริงถ้าหากว่านางหนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวอาจจะหลุดพ้นจากเขาไปแล้ว ทว่าส่วนหนึ่งในใจของนางกลับสั่งให้ตนเองกระทำบางสิ่งอันไร้เหตุผล นึกสงสัยอยู่เนืองๆ ว่าเขาทำมนตร์ดำใส่นางหรือไม่ อย่างเช่นในคืนเข้าหอ…นางคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเองอีกแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่   ทางฝ่ายหลี่หมิง ค่ำคืนเข้าหอที่เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง แม้จะรู้ว่าตนเองกระทำอะไรอยู่ แต่ไม่อาจหักห้ามใจได้ โดยเฉพาะเมื่อมีความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ เกิดขึ้นทุกครั้งที่เข้าใกล้นาง หลังจากที่ห่างกายจากเซียวม่านหลิวนานเกินไปจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ เขาก็ไม่คิดแยกห้องกับนางอีกเลย กระนั้นแล้วก็ยังคงทำเป็นเหินห่างกับนางดังเช่นก่อนหน้า แต่ด้วยหลายวันนี้เพราะเขาต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง ทุกวันจึงแทบไม่ได้พูดคุยกับเซียวม่านหลิวเลยแม้แต่น้อย หลายวันมานี้หลี่หมิงมาที่เรือนของฟางอวี้เหยาไม่เคยขาด ภาระงานทั้งหมดที่รับในฐานะที่ปรึกษาและขุนนางใหญ่ในราชสำนักอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้ว่าตัวเขาจะกลับไปนอนที่วังเทียนมิ่งทุกคืน แต่เมื่อลืมตาตื่นชึ้นมาก็รีบกลับมายังเรือนของฟางอวี้เหยาทันที มีหลายครั้งที่เขาต้องการทดสอบอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างการให้ฟางอวี้เหยาช่วยตรวจดูเอกสารที่ตนเองต้องเขียนรายงาน สิ่งเหล่านั้นเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เสียจนหลี่หมิงเริ่มมีความคิดที่ขัดแย้งในตัวเอง “หลี่หมิง…ท่านเหม่ออะไร” ฟางอวี้เหยาถามเสียงค่อย ดวงตาของนางที่มองเขาคล้ายเต็มไปด้วยความรักอันล้นปรี่ ทว่าหลี่หมิงกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย อาจเพราะนางหักหลังเขากระมัง เขาแสร้งยิ้ม จรดพู่กันในมือเขียนหนังสือราชการ เขียนไปได้ครึ่งหนึ่งพู่กันก็หลุดจากมือจนหมึกสีดำเปรอะเปื้อนไปทั่ว “ว้าย ท่านระวังหน่อย” ฟางอวี้เหยารีบใช้ผ้าเช็ดหมึกที่มือของหลี่หมิง เบียดกายนุ่มนิ่มหอมกรุ่นเข้าใกล้เขา โดยเฉพาะเนินเนื้ออวบอิ่มน่าหลงใหล ดวงตาหงส์คู่งามไม่เคยละไปจากใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย “ข้าเขียนหนังสือราชการจนปวดมือ อาเหยา…เจ้าเขียนแทนข้าได้หรือไม่” ฟางอวี้เหยาชะงัก แววตาของนางหลุกหลิกเล็กน้อย กระนั้นแล้วก็ก้มหน้าเพื่อหลบสายตาร้อนแรงของเขาอย่างเขินอาย “อุ๊ย” เขาอุ้มนางนั่งตัก แขนทั้งสองข้างคล้ายโอบกอดอยู่ในที ฟางอวี้เหยาใบหน้าแดงซ่าน นางเปลี่ยนกระดาษใหม่แล้วหยิบพู่กันขึ้นมา หันไปกระซิบข้างหูของชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงรื่นหู “ให้ข้าเขียนอะไรหรือ” หลี่หมิงมองมือเรียวงามที่จับพู่กันของนางแล้วกระตุกยิ้มบางๆ “เขียนตามที่ข้าบอก”   คืนเดือนแรม ท้องฟ้าสีน้ำหมึกถูกแต่งแต้มด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน ดวงจันทร์ที่เริ่มถูกความมืดมิดกัดกินทีละน้อยเปล่งแสงเงินยวง อาบไล้ศาลาริมน้ำอันไร้แสงไฟให้คล้ายกับเป็นสถานที่อันลึกลับ “ไท่จื่อ…ได้เรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” “เป้ยหยวน เรียกนายท่านก็พอ หากผู้อื่นมาได้ยินจะไม่เหมาะสม” องครักษ์คู่กายที่เพิ่งเดินทางมาถึงก้มศีรษะลง “ขออภัยนายท่าน เพียงแต่ข้าไม่คุ้นชินนัก” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “ชีวิตไม่มีเวลายาวนานให้ทำความคุ้นเคยกับทุกสิ่ง อย่าลืมว่าพวกเรามิได้เป็นอมตะ” “ขอรับ” “แล้วได้เรื่องอย่างไรบ้าง” “เรียนนายท่าน บันทึกของบัณฑิตเก่าที่อยู่ในหอตำราหลวง ส่วนที่เป็นของพระชายาฟาง…เอ่อ ของฟางอวี้เหยา หลังจากที่นางถูกคนลอบทำร้ายปางตายก็มิได้เขียนบันทึกอีกเลยขอรับ” หลี่หมิงนิ่งคิด ตอนที่ฟางอวี้เหยาถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เป็นวันที่คนกล่าวหาว่านางลอบพลอดรักกับสหายสนิทของเขาก่อนจะถูกลอบทำร้าย ทว่าหลังจากตื่นมาฟางอวี้เหยาก็สติเลอะเลือน เอาแต่พูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ หลังจากนั้นไม่นานนางก็เปลี่ยนไป ตอนนั้นเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะนางถูกเขาจับได้จึงเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ ทว่าหลังจากหลายวันมานี้ที่เขาได้จับตาดูนางทุกฝีก้าวก็รู้สึกถึงความผิดปกติ “เป้ยหยวน” “ขอรับ” เขาหวนคิดถึงวิธีการจับพู่กันของฟางอวี้เหยา นางจับพู่กันใกล้กับตรงโคนมาก ผิดกับการจับพู่กันของคนปกติ ทั้งเวลาเขียนอักษรยังเลอะเทอะจนมือไม้เปื้อนหมึกดำ ตัวอักษรบางตัวก็ดูขาดๆ เกินๆ ผิดกับนิสัยของนางที่ละเอียดรอบคอบและพิถีพิถันโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนทุกครั้งเมื่อนางจรดปลายพู่กันบนแผ่นกระดาษ หมึกแม้แต่หยดเดียวก็ไม่มีทางเปื้อนมือเด็ดขาด จุดนี้ยิ่งทำให้เขาสงสัยอย่างยิ่งยวด “คนเราจะเปลี่ยนวิธีจับพู่กันได้หรือ” เป้ยหยวนนิ่งอึ้งคล้ายคิดทบทวน สักพักจึงตอบ “นายท่าน ท่านเองตั้งแต่จำความได้ เคยเปลี่ยนวิธีการจับพู่กันได้หรือ” สิ้นคำของเป้ยหยวน หลี่หมิงจึงฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “หรืออาเหยาจะมีฝาแฝด?”     [1]ภาพการร่วมรักกันของชายหญิง [2]หมายถึงอวดตัวเองต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ [3]ผีดิบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD