“เราคบกันมาสามปีแล้วนะลลิส อีกอย่างครามก็ไม่ได้ทำตัวแย่อะไรแบบนั้น”
“งั้นเหรอ...” จู่ๆ ลลิสก็จับใบหน้าของฉันให้หันไปมองตรงสนามบาสซึ่งแน่นอนว่าสงครามยืนคุยกับสาวรุ่นน้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แล้วนั่นอะไร หมอนั่นทำตัวเฟรนลี่ทั้งที่มีเธอเป็นแฟนแล้ว ตลกอะ ยอนแยงเวอร์”
“ก็แค่คุย”
“เหอะ ฉันล่ะเบื่อกับเธอจริงๆ เลยเทล!” ถึงจะบอกแบบนี้เสมอ แต่ลลิสก็ไม่เคยที่จะทิ้งฉันเลยสักครั้ง เพราะเรื่องตอนเช้าทำให้ฉันครุ่นคิดอย่างหนัก สิ่งที่สงครามต้องการฉันให้เขาไม่ได้ เราสองคนเลยดูเหมือนคู่รักที่งอนกัน ทะเลาะกัน ฉันไลน์ไปหาเขา สงครามอ่านแต่ก็ไม่ยอมตอบ จนฉันต้องขอหลบหลีกไปนั่งอยู่ในห้องสมุดที่ประจำตรงมุมอับมีชั้นหนังสือสองตู้บังอยู่ ไม่ว่าใครจะผ่านไปมาก็ไม่เห็นว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้ นอกซะจากว่าจะมีหยิบหนังสือที่ฉัน แต่หนังสือพวกชีวประวัติคงไม่มีใครอยากหยิบไปอ่านนักหรอก
ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ จนถึงเย็นสงครามก็ยังไม่ไลน์มาหาฉันเลย เราเรียนห้องเดียวกันแต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจฉันเลยสักนิด รู้สึกปวดใจทุกครั้งเวลาที่ฉันกับสงครามทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ แม้แต่หอมกับจูบ ฉันยังให้เขาไม่ได้เลย สามปีที่คบกันมา มีแต่สงครามเท่านั้นที่พยายามเดินเข้าหาฉัน แต่สำหรับฉันแล้วกลับเดินถอยห่างเขา
ฉันควรทำยังไงดี... ในเมื่อฉันกลัวกับความสัมพันธ์ที่จะเลยเถิดกับสงคราม
จู่ๆ ฉันที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้พลันตกใจไม่น้อยที่ศีรษะถูกฝ่ามืออบอุ่นวางทาบ แถมเก้าอี้ข้างตัวยังขยับออกไปราวกับมีคนมานั่งเป็นเพื่อน ฉันเองก็ไม่คิดหรอกนะว่าลลิสจะมานั่งด้วย ก็ไหนบอกว่ามีนัดกับรุ่นพี่มหาลัยจะพาไปเดินห้างตอนเลิกเรียนนี่นา หรือเปลี่ยนใจมาหาฉันแทน ทั้งที่บอกเพื่อนไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงกัน
“ลลิส เราบอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง เราโอเค” พูดบอกเพื่อนออกไปทั้งที่หน้ายังฟุบกับกองหนังสือ หากแต่สิ่งที่ได้รับจากเพื่อนคือความเงียบและริมฝีปากที่คล้ายจะจูบลงมายังลำคอ
“อือ ลลิสจะทำอะไร... คราม”
“ร้องไห้อยู่เหรอ?” ใบหน้าหล่อเหลาของสงครามทำให้ฉันตกใจไม่น้อยคิดว่าเขาคือลลิส แต่ที่ไหนได้เขากลับนั่งยิ้มให้ฉันพลางเท้าคางมองราวกับแกล้ง
“มาได้ยังไง”
“เรารู้ไงว่าเทลต้องอยู่ที่นี่” เขาพูดแบบนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้โอบเอวฉันไว้ “ขอโทษนะที่พูดจาไม่ดีใส่”
แค่เพียงสงครามเอ่ยคำว่าขอโทษ บวกกับรอยยิ้มมันก็ทำให้หัวใจของฉันที่ห่อเหี่ยวก่อนหน้านั้นมีความหวังมากขึ้น ฉันยันอกแกร่งให้ถอยห่างเนื่องจากสงครามเริ่มทำแบบนี้อีกแล้ว...
ไม่ใช่ครั้งแรกที่สงครามดึงฉันมานั่งซ้อนบนตัก กอดกระชับพลางเกยคางบนไหล่ และเพราะเขาทำแบบนี้ ความรู้สึกที่มีต่อเขาจึงมากขึ้นไปอีก มันก็ทำให้ฉันระแวงไปด้วยว่าอาจารย์จะโผล่เข้ามาตอนไหน
“ไม่ต้องกลัว ตอนเราเข้ามา อาจารย์ไปประชุม”
“แต่มันไม่ดีเลย...” ฉันหันไปมองสบตากับสงคราม ระยะที่เราสองคนใกล้ชิดกันแบบนี้มีมาตลอด แต่ถ้าเลยเถิดมากกว่านั้นก็มีแค่สงครามจะทำตามใจตัวเองเฉกเช่นตอนเช้าเป็นต้น
“อะไรที่ว่าไม่ดี เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
“เรารู้” พยายามดึงฝ่ามือทั้งสองที่รั้งเอวออก แต่สงครามกลับไม่ยอม เขาพยายามจูบไปตามลำคอจนฉันหดคอหนีทุกวัน เวลาที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสบนเนื้อ ร่างกายมันร้อนรุ่มจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ทุกที และฉันต้องเข้มแข็งต้านทานความรู้สึกบ้าๆ นี้ให้ได้ทุกครั้ง
“แล้ว...”
“หืม” สงครามจับผมหางม้าของฉันออกไปทางขวาและซบใบหน้าลงลำคอ “มีอะไร?”
“วันนี้เราเห็นครามคุยกับรุ่นน้องผู้หญิง”
“หึงเราเหรอ” ฉันหน้าร้อนผ่าว เมื่อสงครามยื่นใบหน้ามามองฉันที่หลุบตาลงมองหน้าตักตัวเอง “บอกไปแล้วว่าเรามีแค่เทลคนเดียว คนอื่นก็แค่คุยกันเอง”
“อืม”
พยักหน้ารับ เวลาที่สงครามบอกฉันมักจะเชื่อเขาเสมอว่าไม่มีทางที่สงครามจะนอกใจ ถึงแม้ใครจะบอกว่าเขาเฟรนลี่และเจ้าชู้ มีหลายคนที่พยายามทำลายความสัมพันธ์ของเรา และมักจะบอกว่าเขาคบคนนู่น คบคนนี้ หรือคบซ้อน แต่ฉันกลับไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉันเชื่อทุกคำพูดของสงคราม เพราะเขารักฉันและฉันก็รักเขา...
รักแรกของฉัน
“เดี๋ยวพาไปกินติม”
“จริงนะ”
“โกหกทำไมเล่า ขอโทษที่ทำเรื่องไม่ดีใส่” ฉันส่ายหน้าไปมา ไม่เคยคิดจะโกรธสงครามเลยสักนิด “ไม่งอนเราแล้วนะ”