“นั่นคงจะเป็น...น้องอิง ใช่ไหมครับ น่ารักจริง ไหน... ขอลุงอุ้มหน่อยได้ไหมเอ่ย”
แม่หนูมองชายหนุ่มวัยเดียวกับพ่อตาแป๋วอยู่ครู่หนึ่ง ก็ซุกหน้าลงกับซอกคอน้าสาวที่ยังอุ้มกันอยู่ แขนเล็กดูเหมือนจะรัดลำคอผู้เป็นน้าแน่นขึ้น เรียกเสียงหัวเราะ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะครั้งแรกในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง หรืออาจจะนานกว่านั้น จากบิดาของแม่หนู
“อย่าไปขอเลย ท่าทางจะติดน้าอินแจเสียแล้ว ขนาดพ่อยังไม่ยอมมาหา” ณัทธรพูด น้ำเสียงฟังว่าพอใจมากกว่าจะขุ่นเคือง สีหน้าแววตาก็เหมือนจะแช่มชื่นขึ้น “อ้อ ยังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จัก อนิลทิตา น้าสาวยายหนู”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณอนิลทิตา”
ภาสุรพันธ์ทักทายขึ้นก่อน ประกอบรอยยิ้มเก๋ ถ้าเป็นสาวอื่นก็อาจหัวใจกระตุกไปเหมือนกัน แต่ไม่ใช่อนิลทิตา เธอเพียงแต่ยิ้มตอบรับคำทักทายตามมารยาท
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ แต่คุณภาสุรพันธ์เรียกอินอย่างอย่างคนอื่นๆ เถอะนะคะ อย่าเรียกอนิลทิตาเลยลิ้นจะพันกันเปล่าๆ”
“ขอบคุณครับ ทั้งยินดี และเต็มใจ คุณอินเองก็เรียกผมโป้งเถอะครับ ท่าทางยายหนูจะง่วงแล้วนะครับนั่น ดูตาปรอยๆ”
อนิลทิตาก้มมองหลานสาว
“ท่าจะง่วงจริงๆ ด้วย เอ เอาไงดี? หาที่ให้นอนแถวนี้จะเหมาะหรือคะแม่?” หันไปหารือมารดา
ดวงทิพย์ไม่ทันตอบ บิดาของเด็กหญิงก็พูดขึ้นเสียก่อน
“ส่งมาให้พี่เถอะ เดี๋ยวพี่จะเอากลับไปนอนที่บ้านเอง... นายรออยู่นี่ไปก่อนนะโป้ง” ท้ายประโยคหันไปบอกเพื่อน
“ได้ นายไปเถอะ ไม่ต้องห่วงเรา”
ณัทธรขยับเข้าไปหมายจะรับร่างจ้อยมาจากหญิงสาว แต่พอเขาแตะมือลงบนต้นแขนเล็ก ไม่ทันได้ดึงเข้าหาตัว เท่านั้นเองก็เกิดเรื่อง
แม่หนูที่กำลังทำท่าจะหลับไม่หลับแหล่ร้องแว้ดประท้วงขึ้นมาทันที ตาปรือๆ บอกว่าคงง่วงเต็มทีเริ่มฉ่ำน้ำตา
“โอ๋ๆๆ...ไม่ไปจ้ะ ไม่ไป หยุดร้องนะคนดี น้าอินไม่ให้ใครเอาน้องอิงของน้าอินไปไหนหรอก โอ๋ๆๆ เงียบเสียนะ”
พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ทำท่าอ่อนใจไปตามๆ กัน เพราะแม่หนูตัวน้อยทำท่าฉลาดแสนรู้เกินวัยด้วยการซบแก้มนุ่มใสข้างหนึ่งลงอิงอกน้าสาว หยุดส่งเสียงร้องแสบแก้วหูอย่างรู้ภาษา และดูเหมือนว่าตากลมดำใสที่ยังฉ่ำน้ำตา จะมองบิดาอย่างไม่พอใจที่คิดพรากแม่หนูไปจากอ้อมอกอุ่นที่โอบอุ้มแม่หนูไว้อย่างอ่อนโยน
ณัทธรหัวเราะหึๆ ไม่รู้พอใจหรือไม่พอใจ แต่เมื่อพูดขึ้นก็ทำเอาอนิลทิตาชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะไม่ทันคิดไกล
“อินเห็นจะต้องพายายหนูกลับไปนอนที่บ้านกับพี่แล้วล่ะ”
อนิลทิตาเหลือบมองมารดา
ดวงทิพย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำเสนอของชายหนุ่ม
“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันพาคุณอินกลับบ้านเอง นายจะได้อยู่คอยรับแขกทางนี้”
ภาสุรพันธ์เสนอขึ้นมา เขาแค่อยากช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อน ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ดูเหมือนจะมีคนคิด
“ไม่เป็นไร” ณัทธรปฏิเสธอย่างไม่พักคิด
“เราพาไปเอง นายอยู่เป็นเพื่อนคุยกับคุณอาทางนี้ไปละกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องรับรองแขก คงจะยังไม่มีใครมาหรอก ค่ำๆ แน่ะ ต่างจังหวัดเขาสวดอภิธรรมกันดึก จะเริ่มก็โน่นสองทุ่ม สองทุ่มครึ่ง ไม่เหมือนทางกรุงเทพฯ สองทุ่มนี่ แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันแล้ว มาเถอะ อิน หลานสาวอินงอมเต็มทีแล้วเห็นไหมนั่น”
เพราะรักหลาน... ทั้งรักทั้งเวทนาสงสาร อนิลทิตาจึงอุ้มร่างจ้อยตามไปแต่โดยดี ไม่มีโอกาสได้เห็นแววประหลาดจากดวงตาคมดำของชายหนุ่มคนที่ต้องนั่งคุยเป็นเพื่อนมารดาของเธอ
ภาสุรพันธ์ขันเพื่อน แต่ก็ประหลาดใจพร้อมกันไป เขาไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจผิด
ณัทธรกับเขาคบหาเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน พอที่จะอ่านสีหน้า แววตา กันออก...
“คุณกับพ่อพ่อณัทรู้จักกันมานานแล้วหรือจ๊ะ”
เสียงถามอย่างชวนคุย ยุติความคำนึงของชายหนุ่ม ที่ยังมองตามเพื่อนรักกับหญิงสาวร่างเล็กอรชร ลงเพียงเท่านั้น
“นานแล้วครับ สิบกว่ามาแล้ว”
“พ่อณัทเป็นคนดีมากจริงๆ ดีเสียจน... เฮ้อ คิดแล้วก็ได้แต่เสียดาย”
ภาสุรพันธ์ไม่กล้าถามว่าเสียดายอะไร แต่คิดเอาเองว่า ดวงทิพย์คงจะเสียดายที่บุตรสาวมาด่วนจากไป ซึ่งนางก็คงคิดต่อไปอีกว่า อีกไม่นานลูกเขยที่จะกลายเป็นอดีต ก็คงจะมีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในชีวิต ด้วยวัยที่ยังหนุ่มแน่นเกินกว่าจะครองตัวเป็นพ่อม่ายเมียตาย ไปตลอดชีวิตที่เหลือ
เขาไม่กล้าพูดออกไปอย่างใจคิด เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงได้แต่รับฟัง
ภาสุรพันธ์ไม่ต้องคอยระวังว่าจะเผลอปากพูดอะไรที่ตัวเขายังไม่มั่นใจออกไป เนื่องจากดวงทิพย์ได้เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ไกลตัว ไกลเรื่องในครอบครัวหลังจากนั้นไม่นาน
หนุ่มสาวที่นั่งมาด้วยกันในรถ ไม่พูดอะไรกันเลย
ฝ่ายชายนั่งหน้าขรึม ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเคร่งครัด แทบจะไม่เหลือบมองคนข้างๆ ที่นั่งประคองหลานน้อยซึ่งหลับไปแล้ว
บรรยากาศภายในรถทำให้อนิลทิตารู้สึกอึดอัด เธออยากพูด อยากถามเขาหลายอย่างเกี่ยวกับการตายของพี่สาว แต่เห็นสีหน้าขรึมเครียดนั้นแล้วก็รู้สึกครั่นคร้ามจนไม่กล้าแม้แต่จะกระแอมไอ ทั้งที่เริ่มระคายคอขึ้นมาเป็นริ้วๆ
ในที่สุด ก็ทนคันในคอไม่ไหว ต้องกระแอมออกมาติดๆ กัน
ณัทธรหันขวับ
“ไม่สบายหรือเปล่า”
เขานิ่วหน้า ขณะมองหน้าเรียวออกรูปหัวใจอยู่กึ่งอึดใจก่อนกลับไปมองถนนตามเดิม
“เปล่าค่ะ แค่ระคายคอ” อนิลทิตาตอบด้วยเสียงเรียบร้อย
“อินไม่ยอมเป็นกันเองกับพี่จนแล้วจนรอดนะ เจอกันตั้งหลายครั้งไม่เคยลดพิธีรีตองลงเลย”
อนิลทิตาเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมสันด้วยความประหลาดใจ เมื่อจับได้ถึงกังวานหางเสียงคล้ายจะต่อว่าในที
“หลายครั้งของพี่ณัท เท่าที่อินนับได้ก็แค่สามครั้งเองนะคะ เมื่องานศพคุณพ่อ งานแต่งพี่ณัทกับพี่อัญ แล้วก็ครั้งนี้” รีบค้านออกไป
“สี่” ณัทธรแย้ง ตายังมองไปข้างหน้า “จำครั้งที่เราเจอกันที่โรงพยาบาลตอนน้องอิงคลอดไม่ได้หรือ”
“อ้อ ใช่ค่ะ อินลืมไป”
การยอมรับแต่โดยดีในความหลงลืมของหญิงสาว ทำเอาณัทธรเงียบไป
สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดลดลงก็จริง แต่ก็กลับมีแววครุ่นคิดเข้ามาแทน เป็นนานจึงพูดขึ้น
“พี่นี้ถ้าจะไม่เคยอยู่ในสายตาอินจริงๆ ขนาดว่าเจอกันแค่สี่ครั้งเท่านั้น อินยังจำไม่ได้”
“อินมีเรื่องต้องทำต้องจำตั้งมากมาย จะให้เที่ยวจดจำทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เห็นจะไม่ไหวหรอกค่ะ” อนิลทิตาตอบเสียงเฉยๆ
“ขอบใจที่บอกให้รู้ทางอ้อมว่าพี่ไม่ควรสำคัญตัวเองผิด อันที่จริงพี่ก็พอจะรู้อยู่แล้วละว่าตัวเองไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรพอจะให้อินจดจำ”
ณัทธรพูดแล้วก็หัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาฟังแห้งแล้งเกินกว่าจะออกมาจากอารมณ์ขบขันจริงๆ
“เล่าเรื่องงานของอินให้พี่ฟังบ้างซี” เขาพูดต่อคล้ายจะชวนคุย
“ไม่มีอะไรจะเล่าเลยค่ะ” อนิลทิตาตอบแค่นั้นแล้วก็เงียบ
นานทีเดียวจึงพูดขึ้น หลังจากแอบมองเสี้ยวหน้าคมสันหลายครั้ง
“พี่ณัทพอจะเล่าให้อินฟังได้ไหมคะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่อัญถึงได้... ไปประสบเหตุไกลบ้านตามลำพังอย่างนั้น เมื่อคุณแม่โทรไปหาอิน ก็พูดแต่ว่ารถที่พี่อัญขับไปสนามบินเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง”
“พี่ว่าอินรอถามรายละเอียดจากคุณอาจะดีกว่า”
สีหน้าเมื่อหันมามองเธอแวบหนึ่งของชายหนุ่มนั้นเอง ทำให้อนิลทิตาหุบปากนิ่ง