"เป็นอะไรไหม?" เสี่ยภาคินทร์เอ่ยถามปาริฉัตรทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ
"มะ ไม่ค่ะ ขอบคุณเสี่ยนะคะที่มาช่วยหนู" ปาริฉัตรยกมือที่กำลังสั่นระริกพนมมือไหว้ขอบคุณเสี่ยหนุ่ม ถึงจะออกมาพ้นจากสถานการณ์น่ากลัวนั้นแล้วแต่ใจดวงน้อยของเธอก็ยังไม่หายเต้นรัว พานทำให้เนื้อตัวสั่นเทิ้มตามไปด้วย
"ฉันดูหน่อยว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?" ร่างใหญ่ของเสี่ยหนุ่มขยับมาใกล้หญิงสาวพลางยื่นมือใหญ่มาจับแขนเล็กที่ยังมือร่องรอยสีแดงจากการคุกคามของผู้จัดการหื่นเมื่อครู่
"ไม่!" หญิงสาวที่กำลังตื่นกลัวจากเรื่องร้ายแผดเสียงดังใส่เสี่ยหนุ่มอย่างลืมตัวเธอสะบัดแขนออกให้พ้นจากมือใหญ่แล้วรีบขยับไปชิดประตูอีกฝั่งหนึ่งของรถอย่างคนหวาดระแวง มือเล็กกำชายกระโปรงที่สวมไว้แน่นเพื่อข่มสติของตัวเองไว้
"หนะ หนูขอโทษค่ะ หนูไม่เป็นไรแล้ว หนูขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ" ปาริฉัตรเมื่อได้สติที่รู้ตัวว่าทำตัวเสียมารยาทกับผู้มีพระคุณ เธอรีบละล่ำละลักขอโทษเสี่ยหนุ่มพร้อมทั้งเอี้ยวตัวหันหลังกลับยื่นมือที่สั่นระริกเพื่อไปเปิดประตู แต่ไม่ทันได้เปิด ร่างสูงของหมอกก็เข้ามานั่งในรถฝั่งคนขับเสียก่อน
"เรียบร้อยแล้วครับเสี่ย" ลูกน้องคนสนิทของเสี่ยหนุ่มหันหลังมารายงานเจ้านายหลังเขาขึ้นนั่งประจำตำแหน่งคนขับแล้ว
"อือ" เสี่ยหนุ่มพยักหน้ารับรู้พลางขยับตัวมานั่งยังตำแหน่งเดิม
"นี่กระเป๋าคุณใช่ไหมครับ? ผมเห็นตกอยู่ที่พื้นเลยหยิบมาให้" หมอกเอ่ยถามขณะที่ยื่นกระเป๋าสะพายข้างสีดำใบย่อมให้หญิงสาวที่ยังคงนั่งชิดเบียดติดกับประตูรถ
"ขอบคุณมากค่ะ" หญิงสาวผงกศีรษะคำนับแล้วยื่นมือที่ยังสั่นอยู่ไปรับกระเป๋าจากลูกน้องของเสี่ยหนุ่ม
"งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ" ปาริฉัตรพูดกับเสี่ยภาคินทร์แล้วหันหลังกลับไปเพื่อจะเปิดประตูรถ
"เดี๋ยวฉันไปส่ง ออกรถ" เสี่ยหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงทุ้มเรียบขณะที่ใบหน้าหล่อไม่ได้หันมามองหน้าคู่สนทนาจากนั้นจึงบอกลูกน้องคนสนิททันทีโดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสได้โต้แย้งอะไร
"หนู..หนูกลับเองได้ค่ะ" ปาริฉัตรบอกเสี่ยหนุ่มเสียงสั่นแล้วหันมองออกข้างนอกเลิ่กลั่ก เธอจะไว้ใจเสี่ยได้อย่างไรถึงเขาจะมาช่วยเหลือเธอก็เถอะก็ในเมื่อตอนเช้าเสี่ยหนุ่มเพิ่งจะขโมยจูบแรกเธอไป เธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเสี่ยจะไม่ทำแบบผู้จัดการหื่นคนนั้น
"ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก" เสี่ยภาคินทร์เอ่ยกับเธอ เขาเปลี่ยนใจในสิ่งที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่แรก ในเมื่อเธอหวาดกลัวจนสั่นเป็นลูกนกแบบนี้ เขาก็ไม่อยากที่จะบังคับขืนใจ รอให้ถึงเส้นตายที่กำหนดไว้ก็ได้ เสี่ยหนุ่มคิดในใจแล้วถอนใจเฮือกใหญ่จนหมอกต้องเหลือบมองผ่านกระจกมองหลัง เขาแปลกใจในคำพูดของเสี่ย รู้ทั้งรู้ว่าเสี่ยมาเพราะเหตุผลอะไร
"จะให้ไปไหนครับเสี่ย?" หมอกผู้เป็นสารถีเอ่ยถามเจ้านายเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
"ไปส่งเธอ" เสี่ยภาคินทร์ตอบลูกน้องกลับไปขณะที่ทิ้งศีรษะลงไปพิงกับพนักด้านหลังอย่างคนต้องการการพักผ่อน
"ส่งเธอเหรอครับ?" หมอกย้ำถามอีกครั้งเผื่อเสี่ยจะเปลี่ยนใจขณะที่สายตาจ้องมองใบหน้าเสี่ยหนุ่มผ่านกระจกมองหลังเพื่อดูสีหน้าผู้เป็นนาย ด้วยความที่ทำงานด้วยกันมานาน ดูก็รู้ว่าเจ้านายหนุ่มกำลังตัดใจจากหญิงสาวสวยข้าง ๆ
"เออ! มึงนี่เซ้าซี้จังวะ" เสี่ยหนุ่มตะคอกกลับไปเสียงดังจนปาริฉัตรสะดุ้งด้วยความกลัว
"บ้านเธออยู่ไหน บอกมันไป" เสี่ยภาคินทร์หันมาพูดกับเธอก่อนที่จะเบนหน้าออกไปมองข้างทางไม่สนใจคนทั้งคู่อีกต่อไป
ปาริฉัตรซึ่งต้องยอมจำนนเลยต้องบอกทางไปบ้านให้แก่หมอก รถหรูคันใหญ่แล่นไปบนถนนมืดมิดไม่นานก็มาถึงตำแหน่งที่ตั้งของบ้านเธอ
เมื่อรถจอดสนิทที่หน้ารั้วประตู หญิงสาวขอบคุณเสี่ยหนุ่มอีกครั้งแล้วจึงลงรถไป สองหนุ่มที่ในรถนั่งมองตามหลังเธอจนลับสายตา
"ทำไมเสี่ยเปลี่ยนใจล่ะครับ?" หมอกถามเพราะเขายังไม่หายสงสัยที่เจ้านายหนุ่มเปลี่ยนใจ
"เธอตกใจจากไอ้บ้านั่นอยู่ รออีกสองวัน ถ้าเธอไม่ตกลง ตอนนั้นกูฉุดแน่" เสี่ยหนุ่มตอบเสียงทุ้มเรียบ
"แล้วเสี่ยไม่กลัวเธอตกใจเหรอครับ?" หมอกถามอย่างสงสัย ในเมื่อเสี่ยสงสารเธอแล้วทำไมคิดจะฉุดเธออีก
"ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์ กลับ!" เสี่ยภาคินทร์หันกลับมาชักสีหน้าใส่แล้วตะคอกใส่ลูกเสียงดังแล้ว ปล่อยให้รอดไปอีกวันสองวันคงไม่เป็นไร เสี่ยหนุ่มคิดในใจแล้วหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ เสียงหัวเราะฟังดูน่าสยดสยองจนหมอกรู้สึกเสียวสันหลัง ถ้าเสี่ยภาคินทร์หัวเราะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ
เมื่อปาริฉัตรเดินเข้ามาในตัวบ้าน เธอก็พบกับตาแสงผู้เป็นตาแท้ ๆ ของเธอนั่งหน้าเครียดกุมขมับอยู่ที่โต๊ะทานข้าว ข้าวที่เตรียมไว้ในสำรับไม่พร่องเลยซักนิด
"ตาจ๋าหนูกลับมาแล้ว ยายไปไหนจ๊ะ" ปาริฉัตรถามผู้เป็นตาเมื่อไม่เห็นยายเอมผู้เป็นยาย ซึ่งปกติเวลานี้ทั้งคู่ต้องออกมานั่งดูรายการโทรทัศน์ช่องโปรด
"ยายเขาไม่สบายน่ะตอนนี้นอนอยู่ในห้อง เอาข้าวไปให้กินก็ไม่กิน" ตาแสงตอบหลานสาว
"โถ่ ยาย" ปาริฉัตรเอ่ยออกมา จากนั้นร่างบางจึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อดูผู้เป็นยายเพื่อถามไถ่อาการ เมื่อเข้าไปเธอก็พบว่ายายเอมนั้นหลับไปแล้ว ยายคงคิดมากเรื่องที่ดินจะถูกยึดถึงได้ล้มป่วยไปแบบนี้ ปาริฉัตรคิดในใจแล้วถอนหายออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากห้องยายแล้วเดินอย่างเศร้าสร้อยขึ้นห้องของตัวเองไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้จัดการหื่นคนนั้นโทรมาหาปาริฉัตรแต่เช้าเพื่อบอกว่าต้องการไล่เธอออก วันนี้หญิงสาวจึงได้อยู่บ้านกับตายายทั้งวัน และเธอก็เห็นว่าทั้งคู่นั้นต่างพากันทำหน้าเครียดกันและรับประทานข้าวได้น้อยกันมาก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงจะล้มป่วยกันแน่ ๆ ปาริฉัตรรู้สึกโมโหพี่ชายเธอมากที่เป็นคนอกตัญญูทำกับตายายได้ลงคอ ทั้ง ๆ ที่ตาแสงกับยายเอมนั้นเป็นผู้มีพระคุณเลี้ยงพวกเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ
ปาริฉัตรขึ้นมาบนห้องเพื่อนั่งคิดทบทวนข้อเสนอของเสี่ยภาคินทร์ หรือว่าเธอจะต้องทำแบบนั้นจริง ๆ หญิงสาวรู้สึกกลัวแต่ก็รู้สึกสงสารตายายมากกว่า ปาริฉัตรคิดว่าเธอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พี่ชายเธอก่อเอาไว้ คิดได้ดังนั้น หญิงสาวรีบลุกไปค้นกระเป๋าเพื่อหานามบัตรของเสี่ยหนุ่ม เมื่อเจอแล้วหญิงสาวกดเบอร์ที่ปรากฎในนั้นแล้วโทรออก
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
'ฮัลโหล' รอไม่นานก็ได้ยินเสียงดุดันจากทางปลายสาย
"...." จู่ ๆ ก็มีก้อนกลมวิ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอทำให้ปาริฉัตรไม่มีเสียงที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป
'โทรมาแล้วไม่พูด จะโทรมาทำไมวะ’ เสียงดุเข้มของเสี่ยภาคินทร์ตะคอกขึ้นอย่างโมโห
"สะ..เสี่ย หนูเอง" ปาริฉัตรค่อยๆพูดออกไป หญิงสาวตกใจที่โดนเขาตะคอกใส่ และเสียงนี้ก็ทำให้เสี่ยหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก เขาจำเสียงแม่กวางน้อยของเขาได้
'มีอะไร' เสี่ยหนุ่มถามกลับมา รู้ทั้งรู้ว่าเธอของเขาโทรหาเพราะเรื่องอะไร
"หนูโทรมาเพราะข้อเสนอนั่น" ปาริฉัตรพูดออกไป
'มีเวลาพรุ่งนี้อีกวัน ไม่คิดก่อนเหรอ?'
"ไม่ค่ะ หนูให้คำตอบวันนี้ แต่ว่า หนูอยากขอความเมตตาจากเสี่ย"
'มาหาฉันที่คาสิโนแล้วค่อยคุยกัน'
ติ๊ด!
เสี่ยภาคินทร์กดวางสายทั้งที่เธอยังไม่ได้คุยกับเขาให้รู้เรื่อง ปาริฉัตรจึงรีบแต่งตัวเพื่อไปหาเสี่ยหนุ่มที่คาสิโนตามคำสั่ง เธอบอกกับผู้เป็นตาว่าจะไปหางานใหม่ทำซึ่งตาแสงก็ไม่สงสัยอะไร
ณ คาสิโนใหญ่
เมื่อปาริฉัตรเดินทางมาถึง การ์ดคนเดิมหลีกทางให้เธอทันที เสี่ยภาคินทร์คงสั่งไว้ หญิงสาวเดินเข้าไปข้างในอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ มือเล็กกอดกระเป๋าแนบอกไว้แน่น ผู้คนที่นี่ยังเยอะเหมือนเดิม เธอเดินเบียดผู้คนจนขึ้นไปถึงชั้นบนได้ ชั้นบนสุดนี้เงียบช่างเงียบเหงาต่างจากสามชั้นล่างเพราะยังไม่ได้เวลาผับเปิด มีเพียงพนักงานทำความสะอาดสามคนกำลังทำความสะอาดพื้นอยู่
ปาริฉัตรเดินมาจนถึงห้องทำงานของเสี่ยภาคินทร์ หญิงสาวสูดหายใจเรียกความกล้าแล้วจึงยกมือเล็กเคาะประตู
ก๊อก ก๊อก
"เข้ามา" เสียงทุ้มเข้มของเสี่ยภาคินทร์ดังออกมาจากด้านในเป็นการอนุญาต
“สวัสดีค่ะ” ปาริฉัตรยกมือพนมไหว้พลางพาร่างเล็กเข้าไปและหยุดเมื่อถึงกลางห้องทำงานใหญ่
"จะขอความเมตตาอะไรจากฉัน?" เสี่ยหนุ่มเงยหน้ามองด้วยสายตาคมดุ เอ่ยถามหญิงสาวในสิ่งที่เธอบอกกับเขาผ่านทางโทรศัพท์เมื่อชั่วโมงที่แล้ว
"เอ่อ วันนี้หนูโดนไล่ออกเพราะเหตุการณ์เมื่อคืน ตอนนี้หนูเลยตกงาน หนูเลยอยากของานเสี่ยทำ งานอะไรก็ได้ขอแค่ได้เงิน หนูจะได้มีเงินใช้คืนเสี่ย ส่วนเรื่องข้อเสนอ หนูตกลงค่ะ" ปาริฉัตรพูดออกมายืดยาว เมื่อพูดความต้องการของตัวเองจบแล้วเธอก็พ่นลมหายใจออกทางปากดังอย่างโล่งใจ ดวงตากลมโตมองไปที่เสี่ยหนุ่มเขม็ง ตั้งใจรอคำตอบว่าเสี่ยจะให้เธอทำงานที่นี่หรือเปล่า ส่วนข้อเสนอนั่นเธอคิดมาดีแล้ว เธอไม่อยากให้ตากับยายต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้
"แค่นี้? แค่ของานทำ?" เสี่ยภาคินทร์เลิกคิ้วถามให้แน่ใจ เขาคิดว่าเธออยากได้เงินพิเศษเสียอีก
"ค่ะ หนูอยากได้เงินค่ะ ถ้าให้หนูหางานเอง น่าจะอีกนานกว่าจะได้งานใหม่ หนูเลยขอความเมตตาจากเสี่ย พอจะมีงานให้หนูทำบ้างไหมคะ?" ปาริฉัตรบอกเจตนาของเธอกับเสี่ยหนุ่มเข้าใจ เธอไม่อยากเสียเวลาไปหางานเอง ถ้าเธอได้งานเร็วก็แสดงว่าเธอจะได้เงินเร็ว และเมื่อได้เงินเร็วเธอก็มีโอกาสชดใช้เงินให้เสี่ยหมดเร็วขึ้น นั่นคือสิ่งที่หญิงสาวคิด
"ได้ เธอนั่งรอตรงนั้นก่อน" เสี่ยหนุ่มตอบตกลง มือหนาคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานแล้วกดโทรออก
"ขึ้นมาหากูหน่อย" พูดจบเสี่ยภาคินทร์ก็วางสายกดวางทันที เขานั่งหรี่ตามองไปยังหญิงสาวที่กำลังมองสำรวจไปรอบห้องทำงานของเขาอย่างไม่ได้ระแวดระวังตัว ถ้าแม่กวางน้อยของเขาทำงานที่นี่ เขาก็จะได้เรียกหาเธอได้ง่ายขึ้น เสี่ยหนุ่มคิดแล้วกระตุกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
...........................