Chapter 4 เสน่หามัดใจ (2)
“งามหน้ามั้ยล่ะ มีอะไรจะแก้ตัวอีกมั้ยฮึ! ในเมื่อพี่ชายเขาบอกว่าแกไปลวนลามน้องสาวของเขาก่อน”
ชนินทร์จับจ้องใบหน้าคนก่อเหตุอย่างคาดโทษ ขณะชลาธารแกล้งเสมองไปทางอื่นไม่ยอมที่จะสบตากัน ซึ่งชนินทร์ทั้งเครียดและอับอายอย่างถึงที่สุด หลังจากคุยกันแล้วจึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของปกรณ์ ความเครียดจึงเข้ามารุมเร้าโดยพลัน เมื่อไม่รู้ว่าจะเอาหน้าที่ไหนไปมองหน้าญาติพี่น้องของจันทร์กะพ้อ ทั้งปกรณ์ยังยืนกรานว่าจะให้จันทร์กะพ้อลาออกจากเรือนลูกไม้ ไม่ให้มาเหยียบที่นี่อีกต่อไป
“โธ่ ไมค์กี้ลูกแม่ แล้วไปทำอย่างนั้นทำไม”
กมลพรรณครวญออกมาเมื่อลูกชายผิดจริง จนเป็นสาเหตุให้ปกรณ์โกรธจนขาดสติ แม้จะไม่ชอบในตัวจันทร์กะพ้อ แต่ก็ไม่อยากให้ครอบครัวของตนต้องตกเป็นขี้ปากของคนงานในไร่ เพราะมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดี ป่านนี้พวกคนงานคงพากันซุบซิบนินทา นั่นคือสิ่งที่หล่อนรับไม่ได้อย่างถึงที่สุด
“เงียบทำไม ที่เงียบนี่คือยอมรับใช่มั้ย”
“ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว แต่ก็สมควรแล้ว กับผู้หญิงแบบเธอ”
“แล้วมีสิทธิ์อะไร ถึงใช้ศาลเตี้ยตัดสินคน รู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นอย่างที่แกคิด”
“คุณพ่อก็ต้องเข้าข้างเธออยู่แล้ว”
“ฉันให้แกมาเรียนงาน ไม่ใช่มาก่อเรื่อง แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากต้องเจอเธออีก หรือไม่เธออาจจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกก็ได้”
“ก็ดีแล้วนี่ครับ หากเธอจะลาออกไปจริงๆ”
“คิดอะไรหลายๆ ด้านด้วย ผู้จัดการหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะหาได้แบบหนูแยม ก็คงจะยาก”
“คนที่ต้องการทำงานมีถมไป ไม่เห็นจะต้องคิดมากเลยครับ”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับแกดี ลูกไม่รักดี!”
หากเป็นเมื่อก่อน ชนินทร์คงบันดาลโทสะทำร้ายชลาธารไปแล้ว แต่เพราะบทเรียนที่ผ่านมา ความรุนแรงไม่ได้ช่วยอะไร กลับยิ่งไปเพิ่มการต่อต้านมากขึ้น ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกจึงห่างเหินตามไปด้วย เขาเคยสัญญากับตัวเองว่าจะจัดการทุกอย่างด้วยเหตุผล ไม่ใช้กำลังอีกต่อไป
“คุณพรรณ คุยกันเองเถอะ ผมปวดหัว ขออยู่คนเดียวเงียบๆ สักพัก”
ชนินทร์ตัดสินใจเดินเลี่ยงหนีไป เมื่อคิดว่าหากอยู่ต่อคงต้องปะทะคารมกันไม่สิ้นสุด และจะต้องลงเอยด้วยการทะเลาะกัน เขาจึงเป็นฝ่ายยอมเงียบไปเสียเอง ท่ามกลางบริเวณท้ายทอยที่ปวดราวมีเข็มนับร้อยมาทิ่มแทง ระยะหลังอาการปวดศีรษะมาทักทายบ่อย จนเขาต้องพึ่งยาแก้อาการไมเกรนอยู่เป็นประจำ
บรรยากาศภายในบ้านของจันทร์กะพ้อตึงเครียด เมื่อในวงสนทนาซึ่งมีทั้งปกรณ์ น้ำอิง และก้องเกียรติซึ่งเป็นน้าเขยของจันทร์กะพ้อรวมอยู่ด้วย โดยน้าเขยของหล่อนมีรีสอร์ทเล็กๆ อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ พอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้โดยไม่ขัดสนอะไร
ก้องเกียรติมองหน้าหลานสาวแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้ เขาจึงเห็นด้วยกับปกรณ์ ที่อยากให้หล่อนลาออกจากเรือนลูกไม้ เพื่อตัดปัญหาทุกอย่างให้จบลง
“หากอึดอัดใจที่จะไปทำที่นั่นต่อ ก็ลาออกมาเถอะแยม”
“แยมเกรงใจคุณชนินทร์ เขาก็ดีกับเรามาตลอด จะทิ้งมาเลยก็กระไรอยู่”
“ช่างปะไร ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะลูกชายของเขาก่อเรื่องเองนะ อยู่ต่อก็จะมีแต่เปลืองตัว พี่เชื่อว่าหากกลับไปหมอนั่นก็จะต้องหาเรื่องลวนลามกันอีกแน่ๆ นี่เราไม่เอาเรื่องก็ดีถมไปแล้วนะ”
ปกรณ์ยังคงยืนกรานที่จะให้จันทร์กะพ้อลาออก เพราะก้องเกียรติเองก็ได้เอ่ยปากมาแล้วว่า หากลาออกแล้วจะให้ไปช่วยงานรีสอร์ท เพราะต้องการคนช่วยอยู่พอดี
“จะไปเอาเรื่องเขาได้ยังไงคะ แยมไม่ใช่เด็กนะ”
จันทร์กะพ้ออุบอิบออกมา เพราะหากจะว่ากันตามกฎหมาย ก็ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะไปเอาผิดคู่กรณีได้เลย ซ้ำจะพาอับอายไปเสียเปล่าๆ
“เฮ้อ แต่จะเหมารวมก็ไม่ถูกนะ คุณชนินทร์เขาไม่ได้ผิดอะไร”
น้ำอิงยังคงเป็นกลาง แม้จะนึกเห็นใจหลานสาวที่ต้องไปเจอเรื่องร้ายๆ มา แต่เพราะความสัมพันธ์อันดีที่ชนินทร์มีต่อครอบครัวตน ก็ทำให้ตัดไม่ขาดได้เช่นกัน
“แยม คิดให้ดีนะ”
“ยังไงก็ให้แยมเขาเป็นคนตัดสินเองก็แล้วกัน น้ารู้ว่าใหญ่รักและก็เป็นห่วงน้อง แต่บางเรื่องก็ให้เธอคิดเอาเอง จะเอาอย่างไรกับชีวิตก็อย่าไปบังคับกันให้มากนัก”
“แต่ผมไม่อยากให้แยมไปเจอกับคนแบบนั้น อะไรกัน มาเจอหน้าแค่วันแรกก็ทำนิสัยเลวๆ ออกมา คิดว่าแยมเป็นผู้หญิงเหมือนที่ตัวเองเคยหิ้วไปนอนรึยังไง ถึงได้ดูถูกกันขนาดนี้”
“แยมปวดหัว ไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ ขอตัวนะคะ”
จันทร์กะพ้อเดินหนีทุกคนขึ้นห้อง เมื่อใจกำลังสับสนอย่างหนักว่าจะลาออกหรือกลับไปเผชิญหน้ากับชลาธารต่อ อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้นักว่าเขาจะทำอย่างไรอีก หากเจอกันครั้งต่อไป
เขาสิที่ต้องเป็นฝ่ายหลบหน้า ไม่ใช่เธอ หญิงสาวคิดอย่างคนมั่นใจ…