"อ้าว! เจ้าขาเป็นอะไรน่ะ ร้องไห้ทำไม แล้วนั่นจะไปไหน"
"คือ...เจ้าขาปวดหัวค่ะ จะขอลากลับบ้านก่อน..." เจียระไนสาละวนกับการเก็บเอกสารและอุปกรณ์อื่นๆ ที่ยังวางค้างอยู่บนโต๊ะเข้าที่ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายมาไว้กับตัว และเลี่ยงเดินออกไปโดยไม่สบสายตากับเพื่อนร่วมงานที่มองมาด้วยความสงสัย บางคนแบะปาก จิกตาใส่ด้วยความเดียดฉันท์
"เดี๋ยว! เจ้าขาเดี๋ยวก่อน โอย...อะไรกันนักหนาเนี่ย..."
"อย่าไปเรียกเลยพี่ปลา เดี๋ยวนี้เขาได้ดีแล้ว จะเดินเข้าเดินออกบริษัทเหมือนเซเว่นก็ไม่มีใครทำอะไรได้หรอก...ฮึ..."
เสียงซุบซิบดังไล่ตามหลังไม่ได้ขาด จากปากหนึ่งไปอีกปากหนึ่ง จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม สี่ ห้า เหมือนทุกคนจะหยุดงานที่ทำไว้แค่นั้นและหันมาให้ความสนใจกับอาการของเธอ แต่หญิงสาวก็กัดฟันอดทนไม่ต่อปากต่อคำกับใคร ตั้งหน้าตั้งตาสาวเท้าออกจากแผนกอย่างรวดเร็วก่อนจะได้ยินเสียงตำหนิจากหัวหน้าแผนกให้คนที่เหลือหยุดการสนทนาและกลับมาทำหน้าที่ของตนต่อ และเธอก็สามารถหอบร่างและใจอันบอบช้ำออกมาจากสถานที่ซึ่งนำความตกต่ำมาให้ชีวิตจนถึงขีดสุด
ร่างเล็กวิ่งกึ่งเดินบนฟุตปาธที่ทอดยาวไปตามถนน สองมือบอบบางพลัดกันเช็ดปาดน้ำตาที่ไหลโดยไม่ได้ตั้งใจสักนิด แต่หากเพราะความกดดันต่างๆ มันบีบบังคับและหาทางออกอื่นไม่ได้นอกจากกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำใสๆ ที่ผสมปนเปทั้งความเจ็บแค้น อับอาย สับสนและเสียใจสุดซึ้ง
เธอไม่คิดจะขึ้นแท็กซี่กลับคอนโดฯ และยังไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน คิดเพียงอยากให้ตัวเองสบายใจขึ้น อยากหลุดออกมาจากวังวนอเวจีก็เท่านั้น...
เจียระไนปรับระดับการหายใจให้ช้าลงตามอารมณ์ที่เริ่มจะเข้าที่เข้าทาง ไม่สติแตกเหมือนอย่างตอนแรก เวรกรรมอะไรของเธอหนักหนา ชะตาชีวิตถึงได้พลิกผันเพียงชั่วข้ามคืนเช่นนี้ แล้วเมื่อไหร่หนอจะชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นหมดๆ ไปเสียที จะได้ไม่ต้องผูกมัดตามล้างตามผลาญกันไปถึงชาติภพหน้า ขลาดกลัวแล้วจริงๆ กับความเจ็บปวดที่ไม่มีตัวตน แต่ล้ำลึกหนักอึ้งยิ่งกว่าแบกตึกสิบชั้นเอาไว้เสียอีก
"..." เท้าเล็กหยุดชะงักงันในช่วงจังหวะหนึ่งเพื่อตั้งสติ เช็ดน้ำตาที่ยังเปียกหมาดบนพวงแก้มให้แห้งสนิทแล้วเดินต่อไปโดยไม่กำหนดจุดหมายเช่นเคย เธอมีเวลาอีกหลายชั่งโมงสำหรับการทำใจรับฟังเสียงนินทากาเลและสายตาถากถางต่างๆ นานาในวันพรุ่งนี้ หากแม่บ้านนำเรื่องที่เห็นไปโพนทะนา แต่คงยากเพราะเหมราชคงจัดการเก็บปากไปเรียบร้อยแล้ว กระนั้นก็ใช่จะช่วยเก็บความละอายใจของเธอให้สูญสิ้นไปด้วย ไม่ว่ายังไง เธอก็ไม่มีวันมองหน้าคนที่เห็นเหตุการณ์แบบจะๆ ได้สนิทใจหรอก
และยังเชื่อมั่นถึงสัญชาตญาณของผู้หญิง ว่าเรื่องฉาวๆ คาวๆ ไม่มีวันเสียหรอกที่คนรู้มันจะไม่หลุดปากออกไปแม้แต่คำเดียว
"หยุดก่อน!.."
เหมือนโลกเดิมกลับมาสู่ตัวเธออีกครั้งหลังจากเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเหมือนตัวเองล่องลอยอยู่ในปัญหาโดยไร้ทางออก
เจียระไนหันมองตามเสียงตะโกนของสตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถเก๋งญี่ปุ่นที่เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน เธอลดกระจกลงจนเห็นรูปหน้าเรียวสวยภายใต้แว่นตาสีดำ แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่าเจ้าหล่อนเรียกหาใครกันแน่ เธอจึงหันกลับและเดินเรื่อยต่อไป
"นี่เธอ! ฉันบอกให้หยุด ฉันเรียกไม่ได้ยินรึไง!" เสียงแหลมขึ้น ดังขึ้น ฟังดูอารมณ์คงไม่ใคร่จะดีนัก
"..." เจียระไนขมวดคิ้วฉงน เริ่มรู้ตัวว่าเธอคนนั้นตั้งใจจะสื่อสารกับใคร แต่ก็ช้าไปเพราะคนในรถเปิดประตูเดินตรงมาฉุดแขนเธอแล้วจิกจนเล็บจมเนื้อ
"โอ๊ย คุณ! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ฉันไม่รู้จักคุณนะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า..."
"เนี่ยเหรอ...เด็กใหม่ของพี่พอส หน่อมแน้มซะไม่มีละ ไม่น่าเชื่อ!" ผู้มาใหม่จ้องเธอเขม็งเดาได้ไม่ยาก แม้ดวงตาจะถูกแว่นดำปกปิดอยู่ก็ตาม เพราะสีหน้าการแสดงออกนั้นส่อแววความเกลียดชังชัดเจนเหลือเกิน แต่สิ่งที่ทำให้เจียระไนหน้าซีดใจสั่นมากกว่าสิ่งที่กำลังเผชิญคือคำพูดของเจ้าหล่อนต่างหาก
"ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใครนะ แต่เราสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ต่างคนต่างอยู่เถอะค่ะ" ดูจากรูปร่างหน้าตาที่มองเผินๆ ก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีความสวยไม่เป็นรอง ขนาดเทียบกับดารานางแบบบางคนได้เลยด้วยซ้ำ รวมไปถึงจุดประสงค์ในการมา เจียระไนก็พอจะเดาออกแล้วว่าหล่อน...น่าจะเป็นใคร...คนใดคนหนึ่งในฮาเร็มของเหมราช
"อย่ามาทำเป็นปากดีหน่อยเลย มานี่! ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ" หญิงสาวในชุดเดรสสีดำสั้นกุดแขนพาดเฉียงสุดเซ็กซี่ลากกึ่งจูงเธอไปยังรถที่จอดอยู่ริมฟุตปาธ เจียระไนขืนตัวลนลาน พยายามช่วยเหลือตัวเองสุดกำลัง
"นี่คุณ ฉันไม่ไปนะ! ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ! ขอตัวนะคะ!" เจียระไนรวบรวมแรงสะบัดมือหลุดจากการบีบจับและถอยหลังลี้ภัยทันที
"ฉันกำลังจะมีเด็ก ทีนี้พอจะคุยกันได้หรือยัง...คิดว่าเธอคงรู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ใช่ไหม?"
"..." คำนั้นเสียดแทงทะลุทะลวงจนร่างแทบปลิดปลิว แต่ด้วยรู้สภาพตัวเองดีอยู่แล้วจึงไม่เป็นการยากจะครองสติ เจียระไนลอบกลืนน้ำลายเจ็บจุกและหยุดนิ่งเผชิญกับความเป็นจริง
"ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกค่ะ คุณคงต้องหาวิธีอื่น" ไม่ใช่ว่าจะใจดำ หรือเห็นแก่ตัว แต่หากสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจที่เธอจะตัดสินใจอะไรได้ คำตอบทำให้เจ้าของใบหน้าเฉิดฉายถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
"เธอ!.."
"หยุดก่อนครับ! คุณหมิงกลับไปก่อนนะครับ!" ในความชุลมุนวุ่นวายเสียงห้าวทุ้มพร้อมเสียงฝีเท้าของบุรุษในชุดสูทสี่ห้าคนก็กรูเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงล้อมตัวเจียระไนเอาไว้ กันไม่ให้หญิงสาวอีกนางเข้าถึงตัว
"ถอยไปนะ ไอ้พวกขี้ช้า! ฉันมีเรื่องจะตกลงกับผู้หญิงคนใหม่ของพี่พอส"
"ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเลยนะครับคุณหมิง...นายสั่งให้คุณหมิงกลับไปก่อน มีอะไรให้คุยกับนาย อย่าลากคนอื่นมาเกี่ยวข้อง" การ์ดในชุดสูททะมัดทะแมงคนหนึ่งเอ่ยปรามอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนจะได้ผล คุณหมิงคนนั้นหน้าถอดสีทันทีเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนออกคำสั่ง
"คุยเหรอ ฮึ...พี่พอสยอมเจอฉันที่ไหนกันล่ะ โทร.ไปก็ไม่รับ ตั้งแต่ได้แม่นี่ไปกกก็ไม่เคยแวะมาหาฉันเลย แล้วจะให้คุยยังไง!"
"แต่เงินก็ยังโอนเข้าบัญชีทุกเดือนเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอครับ..."
"ฝากไปบอกพี่พอสด้วย ฉันไม่ได้เห็นแก่เงิน! ฉันอยากให้เขารับผิดชอบและทำหน้าที่พ่อของลูกบ้างก็เท่านั้นเอง" หญิงสาวเอ่ยปากอย่างท้าทายเมื่อนึกได้ว่าตัวเองมีไพ่ที่เหนือกว่าอยู่ในมือ สองมือกำจิกเล็บสีฉูดฉาดจนกล้ามเนื้อแขนเกร็งเห็นได้ชัด บ่งบอกถึงความโกรธที่ก่อตัวอยู่ในใจของเธอ
"ถ้าคุณหมิงแน่ใจแล้วเรื่องเด็ก ผมจะเรียนให้นายทราบ...เชิญกลับไปก่อนนะครับ นายไม่อยากให้คุณเจ้าขาตกใจมากกว่านี้" การ์ดคนเดิมกล่าวน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย แต่ทว่าวลีนั้นบาดแทงจิตใจคนฟังที่ถูกไล่ทางอ้อมไม่ใช่น้อย เธอสะบัดหน้าและเดินก้าวขาฉับๆ เปิดประตูขึ้นรถและออกตัวแรงจนได้ยินเสียงล้อที่เสียดสีกับพื้นถนน การ์ดหนุ่มหายใจโล่งอกและหันกลับมาทางหญิงสาวอีกคน
"เชิญคุณเจ้าขาทางนี้ครับ...นายให้ผมมารับกลับคอนโดฯ คืนนี้นายอาจจะกลับดึกหน่อย คุณเจ้าขาไม่ต้องรอทานข้าวแล้วก็นอนก่อนได้เลยครับ"
"ค่ะ..." เจียระไนตอบรับความปรารถนาดีและรับทราบสารที่ฝากมาอย่างว่าง่ายจนน่าแปลกใจทั้งที่ดวงหน้าซีดเผือด เธอเดินตามชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ดูแลขึ้นรถด้วยจิตใจเลื่อนลอย มิได้เข้มแข็ง ไม่ยี่หระต่อสารพัดปัญหาอย่างที่แสดงออกให้เห็น หัวใจท้อทดลดกำลังจนแหว่งวิ่นกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มาสดๆ ร้อนๆ แม้รู้ดีแก่ใจอยู่เต็มอกว่าชายหนุ่มผู้ที่เข้ามาพัวพันกับเธอเจ้าชู้ประตูดิน มีหญิงงามข้างกายนับไม่ถ้วน!
เรียกได้ว่าผู้หญิงที่เดินสวนทางกับเธอในทุกวันนี้อาจมีบางคนที่เขาเคยพะเน้าพะนอคลอเคลียรวมอยู่ด้วย หรือบางคนอาจยังเป็นหนึ่งในสต็อกเช่นเดียวกับเธอก็เป็นได้ ใครจะอยากรู้...ใครจะอยากสืบเสาะหาเรื่องใส่ตัว แต่เรื่อง...ก็เข้ามาหาตัวทุกครั้งไป นอกจากหฤทชนันท์ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งและเธอต้องเผชิญหน้าอยู่หลายครั้ง นี่...เป็นครั้งแรกที่ถูกหญิงสาวนางอื่นราวีแบบถึงเนื้อถึงตัว
มากที่สุดที่เคยเจอก็แค่โทร.มารังควาน บ้างก็ร้องห่มร้องไห้บอกให้เธอถอนตัวออกไป บ้างก็โทร.ด่าทอต่างๆ นานา แต่แล้วก็เงียบหายไปและไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย คิดว่าพวกนั้นคงเบื่อหรือเพราะได้รับการปลอบใจอย่างถึงพริกถึงขิงไปแล้ว หรือไม่ตอนนี้ เหมราชอาจมีคนใหม่ที่น่าอิจฉามากกว่าเธอจึงรามือไประรานใครคนนั้นแทน
แต่แบบมาดักรอ สะกดรอยตาม...หาเรื่องกันซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ยังไม่เคยเจอ และยังปรับใจรับกับสภาพที่หญิงสาวนางนั้นอ้างว่ากำลังจะเป็นแม่คนไม่ได้จริงๆ เธอนี่บาปหนาเหลือเกินแล้วเจ้าขา พรากลูกพรากพ่อ พรากเอาของรักเขามายังไม่พอ ยังสร้างปมด้อยให้แก่เด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างไม่น่าให้อภัย
ช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเปรยจริงๆ...
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นเป็นภาพความจริง ผู้หญิงเหล่านี้คืออนาคตของเธอในวันข้างหน้า ไม้ประดับน่ะ...เมื่อมันเหี่ยวเฉาโรยราก็ไร้ความหมาย แจกันหรูหราย่อมเหมาะกับดอกไม้สดสวย จึงต้องผลัดเปลี่ยนอยู่เสมอ เก่าไป ใหม่ก็มา เมื่อถึงเวลา เธอเอง...ก็จะถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใย
แล้วควรจะดีใจ...หรือเสียใจดีล่ะ ในเมื่อตัวเองก็เฝ้ารอวันนั้นอยู่...
"คุณเจ้าขา...เชิญครับ..."
"อ๋อ...เอ่อ ค่ะ ขอบคุณที่มาส่งนะคะ" หญิงสาวถอนหายใจปรับตัวอีกครั้งก่อนจะก้าวออกจากรถซึ่งการ์ดหนึ่งในสองที่ตามมาส่งเปิดประตูรอให้อยู่แล้ว เธอหันไปยิ้มกับพวกเขานิดๆ เป็นการขอบคุณและอำลาในตัว
"ผมจะรออยู่ที่ลานจอดรถนะครับ เผื่อคุณเจ้าขาอยากไปไหนมาไหนจะได้ไม่ต้องลำบากขึ้นแท็กซี่"
"ค่ะ..." นั่นเป็นแค่คำพูดที่ฟังดูดีเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วทั้งสองมาคอยคุมเธอแทนเจ้านายที่ยังติดงานอื่นอยู่เท่านั้น
ติดงาน...หรืออาจจะติดธุระกับนางคนอื่น ใจปวดแปลบซ้ำซากเมื่อนึกถึงตรงนี้ เวลาแห่งอิสรภาพอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทั้งที่ควรยินดีปรีดาแต่ความรู้สึกกลับสับสนอย่างไม่อาจหาคำอธิบาย
ร่างบอบบางเดินเอื่อยขึ้นลิฟต์ตรงไปยังห้องพักที่ตัวเองพำนักอยู่ สิ่งแรกที่ทำเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่คือควานหาเครื่องมือสื่อสารอันทันสมัยและกดเบอร์โทร.ออกไปยังปลายสาย แหล่งพักพิงอิงแอบหนึ่งเดียวที่คอยโอบกอดทุกความรู้สึกนึกคิดให้มีกำลังสู้เพื่อจะรักษาลมหายใจ...
"ยายจ๋า..." เพียงเรียกสรรพนาม น้ำตาก็พานไหลรินจนต้องเอามืออุดปากสกัดเสียงสะอื้นเบาๆ ไม่ให้เล็ดลอดเข้าลำโพงโทรศัพท์เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวลใจ
'เจ้าขาเหรอลูก...เป็นอะไรหืม ทำไมวันนี้โทร.หายายเร็วผิดปกติ ไม่ทำงานหรือยังไงกัน' เสียงแหบสั่นตามวัยชราที่ล่วงอายุขัยกว่าหกสิบเจ็ดปีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงสุดซึ้ง
"เปล่าค่ะยาย...หนูกลับจากที่ทำงานแล้ว เอ่อ...หนูปวดหัวนิดหน่อยก็เลยขอลากลับก่อนค่ะ"
'ตายจริง! แล้วนี่ไปหาหมอหรือยัง ยาเยอล่ะ ได้กินเข้าไปบ้างไหม ทำงานหนักเกินไปหรือเปล่าเราน่ะ เจ้าขา...'
"หนูไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะยาย ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คิดถึงยายที่สุดเลย วันอาทิตย์นี้หนูจะรีบกลับบ้านแต่เช้าเลยค่ะ"
'อืม...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วละ ดูแลตัวเองนะเจ้าขา อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ยายจะทำไว้รอวันอาทิตย์'
"ไม่ค่ะยาย...แค่...ได้กลับบ้านก็พอแล้วค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ หนูอยากอาบน้ำ ที่นี่ร้อนมากจ้ะยาย..."
'จ้าๆ...ยังไงก็อย่าลืมกินยานะลูก ยายเป็นห่วง'
ล่ำลากันเรียบร้อยหญิงสาวก็วางสาย ทิ้งร่างพิงพนักโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง ความเลวร้ายซัดกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ปรานี ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทนทานต่อภาวะเหล่านี้ไปได้นานสักแค่ไหน สำนึกรู้ผิดชอบชั่วดียังตะโกนสาปส่งชิงชังกู่ก้องอยู่ในตัว แต่หาก...เพื่อคนที่รัก เพื่อทวงคืนชีวิตอันแสนสงบสุขกลับคืนมา ความรู้สึก 'ผิด' เหล่านั้นคงต้องถูกฝังกลบไว้ไปจนถึงวินาทีสุดท้าย...
ความเคร่งเครียดแผ่ซ่านอยู่ทุกซอกมุมของห้องทำงานเมื่อรายงานบางอย่างในมือนำพาซึ่งความซับซ้อนที่ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นความยุ่งยากอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เหมราชอ่านรายงานการชันสูตรศพของพนักงานสาวแผนกบัญชีที่เสียชีวิตเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากเขาร้องขอต่อศาลให้วินิจฉัยสาเหตุการเสียชีวิตครั้งนี้เสียใหม่ จากเดิมที่ยืนยันว่าเธอสิ้นลมคาที่เพราะการกระแทกอย่างแรงทำให้ร่างกายแหลกเหลวและอวัยวะภายในบอบช้ำฉีกขาดอย่างรุนแรง แต่พอมีการชันสูตรอย่างละเอียดถี่ถ้วน ความผิดปกติที่เขาแอบสงสัยก็มีช่องว่างที่ใครก็คาดไม่ถึงอยู่จริงๆ
"พบสารบางอย่างในกระเพาะอาหารเหรอ? หมายความว่ายังไง..."
"ครับ ถ้าหากผลชันสูตรที่รอบใหม่ซึ่งผมร้องขอต่อศาลไปว่าขอให้ทางคณะแพทย์ตรวจสอบให้ละเอียดที่สุด และผมต้องรับรู้ทุกขั้นตอน หากผู้ตายมีความผิดปกติก่อนจะตกลงมาจากตึกของโรงแรมจริงๆ เราสามารถนำมาเป็นหลักฐานโต้แย้งข้อกล่าวหาได้ครับ" ทนายวัยไล่เลี่ยกันอธิบายคร่าวๆ
"แสดงว่านันทิกาตกจากตึกของโรงแรมไปเอง ไม่ใช่เพราะแรงผลักจากเจ้าขาใช่ไหม"
"เป็นแค่ข้อสันนิษฐานครับ เราต้องรอผลพิสูจน์ก่อนว่าเป็นสารตัวนั้นที่รับประทานเข้าไปนั้นมีผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง เบื้องต้นเราพบประวัติผู้ป่วยเคยเข้ารับการรักษาอาการหัวใจเต้นผิดปกติ และต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอ ที่สำคัญ ผู้ป่วยต้องงดเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด แต่คืนนั้น คุณนันทิกาดื่มเหล้าเข้าไปค่อนข้างมาก..."
"อืม...อย่างนี้ก็มีลุ้น ว่านันทิกาอาจกินยามาก่อนจะมาร่วมงานสังสรรค์ พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วเกิดปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์ ร่างกายเกิดความผิดปกติ แล้วบังเอิญไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับเจ้าขาแล้วเกิดหมดสติ พลัดตกลงมาเองก็เป็นได้ใช่ไหม"
"ใช่แล้วครับ หรือไม่อาจรับประทานยาบางตัว หรือรับสารเสพติดบางอย่างเข้าไป เพราะจากการสอบปากคำ ผู้ตายค่อนข้างเครียดมากในช่วงนี้ บวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้หัวใจวายเฉียบพลันก็เป็นได้...แต่..."
"แต่อะไรอีกล่ะ" เหมราชถามหงุดหงิด ทางออกสว่างโร่อยู่แล้วเชียวยังจะเอาช้างพังมาฉุดไม่ให้ออกไปได้อีก
"ถ้าผลพิสูจน์ออกมาว่าเป็นแค่ยารักษาโรคทั่วไปและไม่มีผลต่อการเสียชีวิต และการเสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นเพราะแรงกระแทกจากการตกจากที่สูงจริงๆ เราคงต้องลำบากกันหน่อยนะครับ ญาติผู้เสียชีวิตไม่ยอมรามือเลย และปักใจเชื่อว่าเป็นเรื่องการทะเลาะวิวาท ผู้ต้องหาเจตนาจะฆ่า...เพราะความหึงหวง ขนาดผมยื่นข้อเสนอให้เรียกร้องมาได้เต็มที่ เขายังปฏิเสธ ยืนยันจะเอาคนผิดเข้าคุกให้ได้"
"ไม่มีวัน...มันต้องมีทางออกสิน่า ฉันเห็นกับตาว่าเจ้าขาไม่ได้ผลัก..."
"แต่คุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นนะครับ...เห็นแค่ตอนที่คุณนันทิกากำลังจะตก ก่อนหน้านั้น คุณเองก็ยืนยันไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อีกอย่าง...คำให้การของคุณจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าขามาก ทำไมไม่ยอมไปเป็นพยานในศาลให้เธอล่ะครับ"
"ฉันมีเหตุผล..."
"เพราะ?..."
"..." ฝ่ายเจ้านายที่ถูกต้อนเหลือบมองทนายประจำตัวแล้วก็เลือกจะเงียบ
"หรือเจ้าขาผลักแนนตกลงไปจริงๆ แต่คุณจงใจปกปิดเพื่อช่วยให้เธอรอดพ้นข้อกล่าวหา แลกกับ...การผูกมัดตัวเธอ..."
"อย่างี่เง่า...เจ้าขานั่งอยู่ที่พื้น จะผลักใครได้ยังไง!" เขาเถียงขณะที่นึกภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญนั้นไปด้วย
"พูดลอยๆ ใครๆ ก็พูดได้ครับ ตรงนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีคนนอก ซ้ำคุณก็ยังปฏิเสธคำให้การ ทำไม่รู้ไม่เห็น ผมว่า...เราคงต้องเตรียมใจกันไว้บ้างแล้วละครับ" ทนายหนุ่มอธิบายด้วยความใจเย็นแฝงคำพูดบีบคั้นในที ซึ่งได้ผลทีเดียว เจ้านายเขาเดือดดาลขึ้นมาทันทีทันใดแม้จะแสร้งกลบเกลื่อนอาการก็ตาม
"การว่าความครั้งนี้...ฉันไม่อนุญาตให้นายแพ้ ยังไงเจ้าขาก็จะติดคุกไม่ได้ ถ้าฉันต้องเตรียมใจ นายก็ต้องเตรียมใจเหมือนกัน จำไว้นะ...เขตแดน"
"ผมจะพยายามครับ" อีกฝ่ายรับปากเสียงทุ้มแต่ไม่หนักแน่น บ่งบอกความไม่แน่ใจในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เขานิ่งเงียบพักหนึ่งก่อนจะกล่าวลาและเดินออกไปจากห้องทำงานแห่งนั้น เหลือทิ้งไว้เพียงร่างใหญ่ของผู้เป็นนายที่กำลังหมุนเก้าอี้หันหลังให้ประตูซึ่งค่อยๆ ปิดลง
เป็นครั้งแรก...ที่รู้สึกโหวงเหวงและไม่มั่นใจเอาเสียเลย เมื่อเงินและอำนาจเขาไม่อาจซื้อทุกอย่างได้ดั่งใจเพราะอีกฝ่ายก็มีทรัพย์และบารมีจากญาติพี่น้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ความหวังหนึ่งเดียวก็คงต้องเป็น ‘เขตแดน พีเดอร์ซัน’ ทนายมือหนึ่งของเขาเท่านั้น
ว่ากันว่า...คดีความ คนจะผิดหรือไม่ บางครั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงเสมอไป หากศาลตัดสินให้ถูกก็คือถูก หากบัญชาให้ผิดก็คือผิด ทั้งที่ข้อเท็จจริงแล้วมันตรงกันข้ามกัน...
แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ไม่มีวันยอมให้เจียระไนต้องมีตราบาปติดตัวไปจนวันตายแน่ แค่ราคีคาวที่เขาเพียรสลักรักไว้ มันก็มากพอให้เธอไม่มีวันกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกแล้ว...ชั่วนิรันดร์
"หวังว่าพอจบเรื่องนี้แล้วฉันคงไม่มีอะไรติดค้างเธออีกแล้วนะเจ้าขา" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ประหนึ่งว่าหากเรื่องของหญิงสาวที่กล่าวถึงไม่ราบรื่นอย่างที่เคยให้คำมั่นไว้ ตัวเขาเองคงไม่มีวันเป็นสุขได้เช่นกัน เหมือนหาบ่วงมาคล้องคอ ประหนึ่งเอาโคตรเหามาใส่หัว กระนั้นก็ยังดันทุรังไม่ยอมปล่อยมือ...
ตั้งแรกเห็น...ทั้งดวงหน้าหวานที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคอยหลบลี้ปลีกตัวเองให้ถอยห่างจากคนรอบข้าง แต่กลับดึงดูดให้เขาจับจ้องไม่อาจละผ่านไปทางอื่น เจียระไนไม่เหมือนใคร เจิดจรัสโดดเด่น แม้สวมใส่อาภรณ์เพียงเรียบง่าย ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางบางเบา แทบมองไม่เป็นสีสันเมื่อยู่ในที่มืดเคล้าแสงสีจากหลอดไฟประดับสลัวๆ และเขาบอกตัวเองตั้งแต่วินาทีนั้นเลยว่า
เขาต้องการเธอ...ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นของเขา และต้องได้...เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เคยใคร่ปรารถนาแล้วก็สมใจ