รถเก๋งซีดานประจำตัวถูกเหยียบคันเร่งเกือบมิดตลอดเส้นทางที่ขับผ่าน แม้ช่วงเช้าตรู่ในเมืองหลวงรถราจะติดหนาแน่นแค่ไหน หากมีจังหวะให้ออกตัวได้เต็มที่ หฤทชนันท์ก็ไม่คิดรีรอ ใจเธอร้อนรุ่มจนเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ไม่อยู่ และจำเป็นต้องหาทางใดทางหนึ่งช่วยดับไฟในใจที่คุกรุ่นขุ่นมัวนี้ให้ได้
การจะปรึก
ษาปราศรัยกับเหมราชสามีของเธออย่างที่คิดไว้ในคราแรกดูจะไม่ใช่เรื่องฉลาดนัก แม้อยากจะให้เขารับรู้ใจจะขาดก็ตาม แต่เพราะไม่อาจเดาใจใครได้ เธอจึงเลือกจะเก็บทุกอย่างไว้เพียงผู้เดียวดีกว่า ค่อยๆ หาทางออก หาก...เวลามันจะเอื้ออำนวยให้กับเธอ
"อะไรกันเนี่ย จะติดอะไรกันนักหนา!" เบรกทำงานได้ดั่งใจเพียงเหยียบแตะเมื่อด้านหน้ามียานพาหนะจอดติดกันยาวเหยียดอีกครั้งหลังจากเว้นห่างมาหลายกิโลเมตร นี่ขนาดขับเลี่ยงมาทางถนนสายนอกแล้วนะ
ฉับพลันเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขัดจังหวะความหงุดหงิด หญิงสาวควานหาในกระเป๋าซึ่งบางอยู่บนเบาะด้านข้างแล้วกดรับสาย โดยไม่ดูหมายเลขโทร.เข้า มันเป็นเรื่องปกติของเธอเนื่องจากเบอร์นี้เป็นเบอร์ส่วนตัว ดังนั้นใครที่โทร.มาก็ต้องหมายความว่ารู้จักเธอเป็นการส่วนตัวแน่นอน และจำกัดเฉพาะคนในครอบครัวกับเพื่อนสนิทจึงไม่จำเป็นต้องลังเลใจในการสื่อสาร
"ฮัลโหล..."
"..."
ไร้เสียงตอบรับจากปลายสายจนเธอต้องทักย้ำสองสามครั้งเผื่อว่าคู่สนทนาจะไม่ได้ยิน หรือเครื่องมือสื่อสารมีปัญหาบางอย่าง จนแล้วจนเล่า อีกฝั่งก็ยังเงียบจนเธอต้องละโทรศัพท์จากหูมาเพ่งดูเบอร์หน้าจอ
"เบอร์ใคร? ไม่คุ้นเลย" แม้บางครั้งคนรอบข้างเธอจะไม่ได้ใช้เบอร์ที่บันทึกชื่อไว้ติดต่อมาบ้าง เพราะแต่ละคนใช้โทรศัพท์หลายเครื่อง แต่ให้ตายเถอะ เธอไม่คุ้นกับเบอร์และการกระทำเช่นนี้เลย
หฤทชนันท์ตัดสินใจกดวางสาย...สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนให้เธอขนลุกชันไปทั้งร่างและรีบโยนมันใส่กระเป๋าดังเดิมในจังหวะที่รถคันหน้ากำลังออกตัว และเธอก็เหยียบคันเร่งตามในทันที หญิงสาวตัดสินใจเลี้ยวรถไปเส้นทางอื่นเมื่อถึงสี่แยกไฟแดง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารถติด
ถามว่าเธอกำลังจะไปไหนอย่างนั้นหรือ
คำตอบคือ...ยังไม่มีจุดหมาย ยังเคว้งคว้างและไปไหนไม่ถูก รู้แค่ว่าไม่อาจนิ่งกับที่ได้ก็เท่านั้น
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและเมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เป็นเบอร์เดิมที่โทร.เข้ามา หฤทชนันท์ปิดเครื่องมือถือด้วยความรำคาญใจและเธอเริ่มจิตตก หวาดระแวง...เหมือนถูกตามหลอกหลอน
หัวใจเลื่อนลอยไร้จุดหมายดั่งเช่นหนทางของเธอในตอนนี้ ลำคอสะอึก จุกเจ็บแค้นจนแทบหายใจไม่ออก ทำไม เพื่ออะไร...กว่าห้าปีแล้วที่ส่วนหนึ่งของชีวิตได้สาบสูญ ทำให้ตัวเธอแทบจะเป็นบ้า จิตใจแหลกสลายย่อยยับ กระทั่งได้แต่งงานกับเหมราชและมีลูกน้อยคอยเป็นกำลังใจ จึงได้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งและแล้ว...
ความเจ็บปวดตัวเป็นๆ นั้นก็ตามมาหลอกหลอนอีกจนได้ มาซ้ำเติม มาตอกย้ำไม่ให้ลืมทุกๆ วินาทีที่ผันผ่าน ทุกรอยบาดแผลแห่งสุข ทุกข์ และความน่าเวทนาของหัวใจ
รถคันงามขับออกจากเขตตัวเมืองเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจุดมุ่งหมายจะปักหลักอยู่แห่งหนไหน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าจิตสำนึกได้หอบเอาเธอมายังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถูกฝังรากลึกสุดกู่ไว้นานแสนนาน และไม่เคยคิดจะเหยียบย่างมาเลย แม้แต่วันนี้...แต่ด้วยความหมองเหม่อเลื่อนลอยปล่อยให้จิตสั่งการ กำแพงที่เคยปิดกั้นและปิดตายจึงถูกพังครืนในพริบตานั้น
"ระยอง..." หฤทชนันท์เหยียบเบรกหยุดรถทันควันเมื่อลำดับเหตุการณ์จุดที่ตัวเองกำลังสถิตอยู่ นี่เธอขับรถจากกรุงเทพฯ มาเกือบสามชั่วโมง โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวจนมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน
ต้องเป็นบ้า! ไปแล้วแน่ๆ เลย
"บ้าจริง...เราเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย" หญิงสาวก่นพร่ำกับตัวเองพลางมองถนนเส้นเล็กๆ ที่ทอดยาวสุดสายตา รอบๆ ยังเป็นป่าและมีบ้านเรือนของผู้คนประปรายตลอดทั้งสองฝั่งถนน จำได้ว่าเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แถวนี้ยังเป็นถนนลูกรังอยู่เลย ตอนนี้ลาดยาง แม้ดูไม่เจริญเท่าเมืองหลวงแต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
วูบหนึ่งภายในร่างกายมันปวดแปลบวาบไปชั่วขณะ รำลึกถึงที่บางแห่งในความทรงจำขึ้นมาครามครัน ไม่รู้ว่ามันจะถูกเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและความเจริญที่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่หรือไม่
ความอัดอั้นตันใจถูกกลืนลงคออย่างยากเย็น บางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจคัดค้านได้ชักนำให้ความอยากรู้อยากเห็นโหยหาจะไปยังสถานที่แห่งนั้นโดยเร็ว เพื่อให้รู้แจ้งแก่สายตา อันที่จริง...ต่อให้มันหายไปจากโลกใบนี้ มันก็ไม่ควรจะสำคัญอีกต่อไปไม่ใช่หรือ...
กระนั้น...ก็ยังหักห้ามใจไม่ได้
รถเคลื่อนตัววิ่งฉิวอีกครั้ง หากใครเดินทางมาระยอง สิ่งแรกที่ควรนึกถึงก็คือ ทะเล หาดต่างๆ ที่สวยงามละลานตา หากแต่ไม่ใช่เธอ มีอีกที่หนึ่งงดงามเพริดแพร้วยิ่งกว่านั้น สวยล้ำ และในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยมีดหอกที่รอประหัตประหารเพียงแค่นึกถึง
อ่างดอกกราย จังหวัดระยอง สถานที่เลื่องชื่ออีกแห่งหนึ่งที่ผลักดันให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนมาชมทิวทัศน์บรรยากาศ รวมถึงเป็นแหล่งรวมสัมมาอาชีพหลากหลายมาคอยให้บริการ หญิงสาวมองออกไปนอกตัวรถขณะขับผ่านรอบอ่างเก็บน้ำ เบ้าตาของเธอแดงก่ำและพร้อมทุกเมื่อจะปล่อยให้ความเจ็บช้ำไหลรินอาบแก้ม เธอมองเห็นอดีตทุกๆ ตารางนิ้วของที่นี่ อะไรที่เปลี่ยนไป อะไรที่ยังคงอยู่ และ...อะไรที่ไม่อาจเรียกร้องกลับคืน
การเดินทางยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจุดหมายอยู่ตรงหน้า...
ทุ่งดอกไม้ที่อยู่ลึกเข้ามาจากตัวอ่างเก็บน้ำประมาณห้ากิโลเมตรยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่แปลกที่มันมีรั้วรอบขอบชิด ต่างจากเดิมซึ่งเป็นที่โล่ง ไร้สถานที่ สิ่งปลูกสร้างใดๆ ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์
มีคนจับจองเป็นเจ้าของเสียแล้วหรือไร...
หฤทชนันท์ลังเลใจนิดหนึ่งก่อนจะขับผ่านรั้วระแนงนั้นเข้าไปด้านใน ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งแลเห็นบ้านหลังใหญ่ซึ่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ประดับอย่างชัดเจน มีคนซื้อที่นี่แล้วจริงๆ ด้วย หลังจากถูกทิ้งร้างมานานเพราะถูกยึดเป็นทรัพย์ของธนาคาร
แต่น่าแปลก ทุกๆ อย่างของที่นี่ยังคงสภาพไว้เหมือนเดิม และดูเหมือนจะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะทุ่งดอกไม้นานาชนิดปลูกผสมรวมกัน ทั้งสร้อยสุวรรณา ดุสิตา สรัสจันทร ทิพย์เกสร หงอนนาค มณีเทวา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นดอกหญ้าเล็กๆ สวยงาม เมื่ออยู่รวมกันจะยิ่งทรงคุณค่าความไฉไล ให้โดดเด่นไม่อาจละสายตา
รอบๆ ดงดอกไม้นั้นมีพุ่มกุหลาบตกแต่งไว้ตลอดแนว แต่ละต้นผลิดอกโอ้อวดแข่งกันอย่างไม่มีต้นไหนยอมลดด้อยน้อยหน้า หากมันมีเจ้าของไปแล้ว...นี่ก็คงเป็นการบุกรุก แต่เธอกลับก้าวเท้าลงจากรถคล้ายโดนสะกดไร้การควบคุม
น้ำตาที่เก็บกลั้นไม่อาจยับยั้งได้อีกต่อไป มันเอ่อนองท่วมท้นรินไหลตามความรู้สึกที่ร่ำไห้ปานจะแดดิ้น มือเล็กยกขึ้นปิดกั้นเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก ค่อยๆ ทรุดกายนั่งเฉกเช่นคนสิ้นแรงอ่อนล้าเต็มที
"ผมนึกแล้วว่า...คุณต้องมา...ไม่วันใดก็วันหนึ่ง" เสียงทุ้มจากด้านหลังเรียกความตกใจให้กับร่างเล็กระหงจนต้องลุกยืนและหันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ
"คุณ..."
"แล้วคิดว่าใครล่ะ ดีใจนะที่คุณยังไม่ลืมที่นี่ แล้วก็ไม่ลืมผมด้วย" ชายนิรนามแสยะยิ้มน่าเกรงขาม ภายใต้หนวดเครารุงรังไม่ได้ซ่อนความน่ากลัวไว้ได้มิดชิดแม้แต่น้อย
"เดี๋ยวสิ! จะรีบไปไหน! อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล อยู่รำลึกความหลังด้วยกันหน่อยไหมละ" เขาถามและสาวเท้าตามหฤทชนันท์ที่เดินหนีพร้อมทั้งจับต้นแขนฉุดให้เธอหยุด
"ปล่อยฉันนะไอ้บ้า! ฉันไม่รู้จักคุณ"
"...เหรอ...งั้นก็มาทำความรู้จักกันใหม่ก็ได้ หรือจะทำให้จำกันได้ก็เอานะ..." น้ำเสียงนั้นแฝงความขมขื่นไว้อย่างยิ่งยวด
"ฉันจะกลับบ้าน..."
"ผมโทร.หา ปิดเครื่องทำไม ทำไมไม่ยอมออกมาพบผม"
"พูดเรื่องบ้าอะไรของคุณ ฉันไม่รู้เรื่อง เรา ไม่ เคย รู้ จัก กัน ไม่เข้าใจหรือไง" หญิงสาวเน้นย้ำคำที่เธอไม่อาจลืมอย่างชัดเจน จุดประสงค์ก็เพื่อให้เขาตระหนักถึงความเจ็บปวดที่เคลือบแฝงอยู่ในถ้อยวลีเหล่านั้น
แต่กลับเป็นเธอเองที่จุกสะท้อนจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำต่อไปออกมาได้...
"ผมต้องการคำอธิบาย...หฤทชนันท์ ผมมาดี ไม่ได้คิดจะทำร้ายใคร" เขาบอกคล้ายจะคลายความกังวลให้เธอ เพราะดูออกว่าแววตาที่ปริ่มเอ่อหยาดน้ำนั้นฉายแววหวาดกลัวอยู่ในที ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกหลากหลายคละเคล้าปนเป
"เป็นคุณจริงๆ ด้วยที่โทร.หาฉัน แล้วก็ส่งการ์ดบ้าบออะไรนั่น"
"ใช่...ผมแค่อยากพบคุณ ไปหาที่บ้านคุณก็ให้คนไล่ แต่ผมนึกไว้แล้วว่าคุณต้องกลับมาที่นี่ในสักวัน...เหมือนกับผม ก็เลยมารอทุกวัน" สายตาคมเฉี่ยวดุจราชสีห์ยังจ้องประจักษ์ไม่ลดละ เหมือนจะเค้นหาหลายสิ่งหลายอย่างที่ใคร่อยากรู้จากอีกฝ่ายให้ได้
"โรคจิต โทร.มาแล้วก็ไม่คุย ประสาทเสีย ปล่อยฉันได้แล้ว! ฉันจะกลับบ้าน!"
"ผมรอวันนี้มาเป็นเดือนตั้งแต่กลับประเทศไทย อย่าหวังจะได้ไปไหนเลยซองพลู จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง" เขาขบฟันพูดกับเธอดุดัน สีหน้าเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับแววตาที่ฉายแววโกรธเคืองเต็มประดา
"ไปแล้วทำไมไม่ไปลับเลย จะกลับมาวุ่นวายกับชีวิตคนอื่นเขาอีกทำไม คนอย่างคุณตายๆ ไปได้ซะก็ดี เพราะมันไม่มีความหมายอะไร แล้วก็ไม่มีใครมานั่งจำให้รกสมองด้วยว่าเคยมีคุณอยู่บนโลกใบนี้!!"
"หฤทชนันท์...ปากดีนัก มานี่!!" ร่างเล็กแบบบางถูกกระชากลากไปตามแรงบุรุษผู้มีกำลังเหนือกว่า หญิงสาวกรีดร้องขอความช่วยเหลือแต่เหมือนจะไร้ผลเพราะแถบนี้มีเจ้าของจับจองอาณาบริเวณหมดแล้ว ไม่ได้เป็นสาธารณะอย่างเช่นวันวานที่ใครต่อใครต่างแวะเวียนเข้ามาชมความงามของทุ่งดอกไม้ได้อย่างอิสรเสรี
คำร้องของเธอไม่เคยมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นวันวานหรือ ณ ตอนนี้ เคยไร้การเหลียวแลอย่างไรก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่มีค่าเช่นไรก็ยังเหมือนเดิม...