ปีศาจเสน่หา ตอนที่ 2

2618 Words
ห้องทำงานเย็นฉ่ำเปรียบเสมือนกองไฟในยามนี้ เหมราชเดินวนไปวนมานับรอบไม่ถ้วนตั้งแต่กลับมาจากกระบี่และเข้าบริษัทมาสะสางงานที่คั่งค้าง เขาให้สาวน้อยหน้าหวานกลับไปพักผ่อนยังคอนโดฯ โดยมีบอดีการ์ดตามดูแล ปัญหาที่ตั้งใจกลับมาเคลียร์ให้จบสิ้นไม่ได้เป็นประเด็นอีกต่อไป เมื่อ... มีบางอย่างที่สั่นสะเทือนหัวใจเกิดขึ้น... หฤทชนันท์หายตัวไป? เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดจากปากคนใช้เมื่อเขาโทร.ไปที่บ้านยังความปวดใจอย่างที่สุดมาให้ เขามัวแต่เฝ้าถนอมแม่นกน้อยจนหลงลืมว่าคนที่อยู่ข้างหลังก็สำคัญ ตอนนี้ใครๆ ต่างก็คิดว่าหฤทชนันท์อยู่กับเขาเพราะเธอได้บอกกล่าวไว้ก่อนจะออกจากบ้านไป เมอรีอาอยู่ในความดูแลของตากับยายและเฝ้ารอแม่ของแกกลับมาทุกเมื่อเชื่อวันด้วยหัวใจที่เศร้าสลดกับการถูกพรากจากอกมารดา เป็นครั้งแรก...ที่ทั้งคู่ห่างกันนานขนาดนี้ แล้วเขาล่ะ...มัวทำบ้าอะไรอยู่ถึงได้ปล่อยให้ครอบครัวของตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ มันเป็นเหตุไม่คาดฝัน นึกไม่ถึง หรือขาดความเอาใจใส่กันแน่ เรื่องนี้ชายหนุ่มตระหนักรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดี มันคือสิ่งที่ทำให้เขาโกรธเกลียดขยะแขยงตัวเองราวหนอนที่ชอนไชซากศพเน่าเปื่อย ไร้ความรับผิดชอบ ขาดจิตสำนึกโดยสิ้นเชิง! "โปษัณ...ฉันไม่อยากคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับแก หรือแกจะกลับมาแล้ว..." ชื่อที่ถูกเปล่งออกจากปากคือคนแรกและคนสุดท้ายที่เขาคิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของภรรยาสาว หากแต่ใครคนนั้นได้หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไปนานแล้ว ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไม่เคยมีใครพบเห็น รวมถึงข่าวคราวที่เกี่ยวข้องก็มืดมน เลือนรางและค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย แต่ก็ยังมีคนไม่ลืม...ความทรงจำนั้นยังตามทวงเหมือนเจ้าหนี้ชีวิตที่คอยหลอกหลอนทุกครั้งเมื่อหายใจเข้าออก ความสงสัย คลางแคลงว่าเพราะอะไร เหตุใดโปษัณจึงหายตัวไปและติดต่อไม่ได้เลยเหมือนไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลก และเขาก็เป็นหนึ่งที่ยังอยากรู้อยากเห็นความเป็นไปของ...เพื่อนรัก "ถ้าแกกลับมาจริงๆ ทำไมไม่มาเจอฉันวะ ไอ้เฮงซวย!" ปัง! โต๊ะทำงานคือที่รองรับอารมณ์เมื่อจิตใจเดือดดาลสุดขีด สีหน้าคมคายเครียดจัดจนเส้นเลือดปูดโปนเป็นริ้วๆ เขาจะมีหน้าไปพบบิดาและมารดาทั้งของตนเองและหฤทชนันท์ได้อย่างไรเมื่อไม่สามารถดูแลกันและกันได้ตามที่เคยลั่นสัญญา ไม่แม้แต่น้อย... ตลอดเวลาเขาคิดว่าตัวเองเก่งกล้า มีเงินมีทองปรนเปรอครอบครัวไม่เคยขาดตกบกพร่อง ตามใจลูกเมียจนเรียกได้ว่าแทบเสียคน ไม่เคยขัดใจสักครั้ง ทุกเรื่องเว้นก็เสียแต่เรื่องงานหฤทชนันท์คือผู้ควบคุมทุกกฎเกณฑ์ เพื่อแลกกับความสบายใจ อิสรภาพการใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยง เขาคิดว่าเพียงพอแล้ว...โดยไม่คำนึงถึงเลยว่าในความเป็นจริงนั้น ครอบครัวต้องการอะไร โทรศัพท์ข้างมือถูกยกหูและกดหาต้นห้อง "ใครอยู่ข้างนอกบ้าง สั่งคนออกตามหาซองพลูให้ทั่ว แต่อย่าให้เป็นที่สังเกตมากนัก ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องที่ซองพลูหายตัวไป ฉันอยากให้เรื่องนี้เงียบที่สุดจนกว่าเราจะสืบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น" แววตาของเหมราชยังคงหวาดหวั่นกลัวไปสารพัดว่าจะเกิดเหตุร้ายกับภรรยาซึ่งตัวเองละเลยไม่ใส่ใจ โดยปกติเขาจะมีการ์ดคอยคุ้มกัน แต่หฤทชนันท์ผู้ช่างเอาแต่ใจไม่ยินยอมให้ใครติดตามเธอ และด้วยไม่เคยเกิดเรื่องร้ายทำให้ทุกคนชะล่าใจ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น "ซองพลูหนีใคร? หนีไปกบดานที่ไหนหรือเปล่า หรือหายไปเพราะเหตุอื่น โธ่! พี่ขอโทษซองพลู พี่ดูแลเธอเหมือนที่สัญญาไว้ได้ไม่ดีเลยสักนิด" ดวงตาของเขาแดงก่ำ รู้ดีว่าไม่มีหน้าไปพบผู้ใหญ่ทั้งฝั่งตัวเองและฝั่งของหญิงสาวในตอนนี้ เพราะคำอ้างเบื้องต้นเกี่ยวกับการเดินทางไปกับเขานั่นแหละ และเขาก็ผิดที่มัวแต่ห่วงเรื่องเจียระไนจนตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่แม้กระทั่งบอกกล่าวหรือติดต่อคนในบ้านช่วงหลายวันที่ผ่านมา ป่านนี้...หฤทชนันท์จะเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้างก็ไม่อาจล่วงรู้ "ถ้าเป็นฝีมือโปษัณจริงๆ มันจะพาซองพลูไปไหน..." เหมราชพยายามเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่มีวี่แววความผิดปกติก็พบว่า มีจุดๆ หนึ่งที่เขามองข้ามไป 'ชายร่างใหญ่ผมยาวหนวดเคราพะรุงพะรัง' ที่ป้าพิมพ์เคยบอกว่าเห็นมาป้วนเปี้ยนแถวบ้าน! ซ้ำยังถามหาเขาและหฤทชนันท์ด้วย! ทำไมถึงลืมประเด็นนี้ไปได้! ค่อนข้างแน่ใจในสัญชาตญาณแล้วว่าอะไรเป็นอะไร รอเพียงให้ความจริงกระจ่างเท่านั้นก็จะสรุปได้แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้มันถูกต้องหรือไม่ "โปษัณ! ต้องเป็นแกแน่ๆ ไอ้สารเลว" เสียงห้าวทุ้มเล็ดลอดไรฟันออกมาด้วยความโกรธสุดขีด ชายหนุ่มรู้สึกรอบตัวอื้ออึงไปหมด ความร้อนในจิตใจแผดเผาแผ่รัศมีจนร่างกายอาบเหงื่อชุ่มในชั่วพริบตา ร่างใหญ่ลุกพรวดเดินออกจากห้องทำงานทันที เขามีหลายอย่างต้องคิดและลงมือทำ สิ่งแรกเลยคือต้องหาตัวหฤทชนันท์ให้พบและจัดการกับแมวขโมยให้เด็ดขาด ถ้าหากสิ่งที่คิดเอาไว้เป็นจริง เหมราชตั้งมั่นในใจไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้โปษัณทำร้ายพวกเขาซ้ำซากให้ลอยนวลไปได้อีกแล้ว ตาต่อตา...ฟันต่อฟัน เลวมาก็ต้องเลวสนองคืน...ให้สาสม     การสืบค้นตัวหฤทชนันท์เป็นไปด้วยความตึงเครียดจากผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอ แต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินการอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อป้องการข่าวร้ายนี้รั่วไหล ไม่ใช่เพียงแค่จะกระทบกระเทือนถึงผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายหรอก หากแต่สังคม และธุรกิจก็ต้องพลอยสั่นคลอนไปด้วย ปัญหาให้ต้องปวดหัวจะตามมาเสมือนห่าฝนที่พัดกระหน่ำไม่มีวันสิ้นสุด เหมราชขอความช่วยเหลือไปยังเพื่อนตำรวจที่พอจะไว้วางใจได้ให้ดูแลตรวจสอบเรื่องนี้ ตัวเขาเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อจะนำภรรยากลับคืนมา บิดาและมารดาของหฤทชนันท์เริ่มสงสัยเพราะเมอรีอาที่นำไปฝากเลี้ยงไว้อยู่ที่บ้านของพวกท่านนานผิดสังเกต โดยปกติแล้วแม่หนูน้อยจะห่างจากอกมารดาของเธอไม่เคยเกินสามวัน แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีเรื่องยุ่งยากใจแค่ไหน หฤทชนันท์ไม่เคยทิ้งลูก... ผู้ที่ต้องแบกรับทุกความกดดันเอาไว้อย่างเขาจึงจำเป็นต้องโป้ปดต่างๆ นานาเพื่อเอาตัวรอดกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผัวเมีย และสุดท้ายฝ่ายหญิงก็หนีไปเป็นทางออกที่ดูน้ำเน่าที่สุด แต่ก็ได้ผลที่สุดเช่นกัน แม้จะถูกว่ากล่าวตักเตือนเป็นการใหญ่แต่มันก็ทำให้เขาพ้นจากวิกฤต และจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องรีบแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด ไม่ได้อยากหลอกลวงผู้ใหญ่ ไม่ได้อยากโกหกมดเท็จ...หากแต่พวกเขา มาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปยังจุดเดิมได้อีกแล้ว ความเป็นจริงมันสั่นสะเทือนและทำร้ายใครหลายคนมากกว่าความไม่จริงนี้หลายพันเท่าตัวนัก... "แม้แต่รถก็หายไปด้วย กล้องวงจรปิดจับภาพได้ล่าสุดที่ห้างสรรพสินค้าแถวชานเมือง เมียของนายซื้อของใช้หลายอย่างที่นั่น เหมือนกำลังเตรียมการเดินทาง ส่วนภาพที่ลานจอดรถ กล้องดันมาเสีย พอรถขับออกไปจากห้างฯ ก็หายไปเลย ทุกเส้นทางทั้งในและนอกเขตไม่พบภาพรถคันที่เมียนายใช้อีกเลย น่าแปลกมาก..." ชายหนุ่มในชุดสีกากีร่างใหญ่สมส่วนกล่าวสีหน้าฉงน "หรือจะมีเหตุร้ายขึ้นจริงๆ" "ไม่มีนะ ไม่มีแจ้งผู้หญิงลักษณะคล้ายซองพลูประสบเหตุใดๆ ทั้งสิ้น อู่ซ่อม พวกร้านรับซื้อรถ ซากรถเถื่อนก็ไม่มีวี่แววเหมือนกัน ว่าแต่แกแน่ใจเหรอเรื่องไอ้โปน่ะ" นายตำรวจคนเดิมกล่าว เขาเปลี่ยนท่าทีสุขุมเมื่อครู่มาจ้องมองหน้าเพื่อนที่นั่งตรงกันข้ามอย่างต้องการความชัดเจน "ค่อนข้างแน่ใจ สัญชาตญาณฉันมันบอก โปษัณกลับมาแน่ๆ" "แล้วมันหายหัวไปไหนตั้งห้าปี ทำไมต้องกลับมาตอนนี้แล้วลักตัวซองพลูไป" "ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน แต่จากที่ป้าพิมพ์เล่ามาตอนแรก ฉันก็ไม่สน เพราะลักษณะรูปร่างมันไม่ตรงกับไอ้โป...โปมันสูงโปร่งไม่ได้บึกบึน อีกอย่าง เป็นคนเจ้าสำอางสะอาดสะอ้านจะมาไว้หนวดเคราผมเผ้ายาวเฟื้อย อยู่เหมือนโจรห้าร้อย เป็นไปไม่ได้ แต่มาคิดอีกที ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร ตลอดห้าปีมานี้ไม่เคยมีเหตุการณ์น่าสงสัยแบบนั้นมาก่อน เวลาอาจเปลี่ยนลักษณะภายนอกของมันทำให้เราคาดไม่ถึง และการที่มันหายไปก็ไม่มีใครคิดด้วยว่ามันจะกลับมาตอนไหน เวลาไหน ไม่คิดว่ามันยังอยู่ด้วยซ้ำ ซองพลูเองก็ไม่ใช่สาวน้อยอ่อนแอที่จะยอมให้ใครมาทำร้ายได้ง่ายๆ ถ้าไม่รู้จักมักคุ้นกันจริงๆ น้อยคนจะหาทางเข้าประชิดถึงขนาดลักพาตัวได้ ก่อนหน้านี้ซองพลูเหมือนคนสับสนอย่างหนัก...ฉันพลาดเองที่มัวแต่..." "กกอีหนู..." อีกฝ่ายรีบต่อประโยคหลังให้สมบูรณ์ขึ้นในทันที "เฮ้ย! มันไม่ใช่อย่างนั้น ทางนั้นก็แย่อยู่เหมือนกัน..." น้ำเสียงช่วงหลังขาดห้วงแผ่วเบาลงพร้อมสีหน้าที่สลดหดหู่เฉกเช่นคนไม่อาจปลงตก เหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด เป็นร้อยขดผูกมัดไม่อาจแก้ "คนที่แย่ก็คือแกไอ้พอส! หลงอีหนูหัวปักหัวปำจนเมียตัวเองหายสาบสูญ ฮึ...ทีนี้จะทำยังไงล่ะ ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาขวิด" นายตำรวจหนุ่มเท้าคาง เขาเองก็เครียดไม่แพ้เจ้าของคดีหรอก ด้วยรู้จักกันมานมนานจึงพอจะรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวที่กำลังถูกปะติดปะต่อขึ้นมาอีกครั้งในระดับหนึ่ง "เจ้าขาไม่ใช่อีหนู...แล้วฉันก็ไม่เคยทิ้งลูกทิ้งเมีย ซองพลูกับมอลลี่มีความสุขสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยขาดเหลืออะไร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะไอ้โปคนเดียว สารเลวนั่น...กลับมาทำลายความสงบของพวกเรา" "เรายังแน่ใจอะไรไม่ได้นะพอส...มันอาจมีประเด็นอื่น ฉันสั่งลูกน้องออกสืบทุกช่องทางแล้ว ว่าแต่...เมื่อกี้แกบอกว่าซองพลูสับสน มันเป็นยังไงเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นก่อนแกจะไปกระบี่ แล้วมั่นใจได้ยังไงว่าไอ้ผู้ชายที่มาป้วนเปี้ยนที่บ้านจะเป็นโปษัณ ป้าพิมพ์เองก็รู้จัก ถ้าเป็นโปจริงๆ ทำไมจะจำไม่ได้" จากท่าค้ำสันคางอย่างคนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง กลายมาเป็นจับปากกาเคาะกับโต๊ะทำงานขณะถามถึงประเด็นสำคัญที่ตกหล่นเมื่อสักครู่ เหมราชมองหน้าเพื่อน...หายใจหนักปลดปล่อยความวิตกกังวลที่อัดแน่นในหัวอก แม้จะเป็นแค่อาการเคยชินไม่ได้บรรเทาความจุกดันอย่างที่คาดหวังไว้แม้แต่น้อยก็ตาม "ซองพลูเขา...อืม..." "อะไรล่ะ อืมน่ะ...อืมอะไร?" คนถูกถามทำหน้าเหลอหลาเหมือนไม่อยากพูด ก่อนหน้านี่เหมราชเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟังแล้ว แต่เหมือนมันจะยังไม่หมด "เออ! คือ...ซองพลูขอนอนกับฉัน!" "เฮ้ย! จริงดิ ฮ่าๆ แปลกอะไร เมียจะนอนกับผัว" "แปลกตรงที่มันไม่เกิดขึ้นนานแล้ว..." เหมราชหยุดคำพูดตัวเองแค่นั้น สายตาของเพื่อนมองอย่างรู้ทัน และเลือกที่จะจบประเด็นดังกล่าวหันมาช่วยกันวิเคราะห์ "แล้วพอรุ่งเช้ามาเรียกคนในบ้านมาถาม ปรากฏว่าเรื่องเดียวที่ดูไม่ปกติก็ไอ้ผู้ชายที่เหมือนโจรนั่นแหละมาเที่ยววนเวียนถามหาฉันกับซองพลู ป้าพิมพ์บอกไม่เคยเห็นหน้า แต่จำรูปพรรณสัณฐานได้ จากคำบอกเล่าในตอนแรกฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อมันน่าจะเป็นอย่างที่เราคิด ซองพลูเหมือนมีเรื่องร้อนใจ แต่พอถามก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย แถมยังเตรียมตัวหนีไปดื้อๆ แกลองคิดสิ...ว่าคนอย่างซองพลูมีอะไรที่อยากหนีมากที่สุด" "โปษัณ..." "ถ้ามันกลับมาจริงๆ ก็ใช่..." "ทำไมซองพลูไม่บอกแกล่ะ มีเหตุผลอะไร" "ฉันไม่รู้ เขาอาจจะคิดว่าแก้ปัญหาเองได้ มีอีกอย่างที่ลืมเล่า...ละไมบอกว่าก่อนหน้านั้นซองพลูหายออกจากบ้านไปสองสามวัน พอกลับมาก็เก็บผ้าเก็บผ่อนจะเดินทางเลย แล้วสั่งให้บอกคุณพ่อคุณแม่ว่าไปช่วยงานฉัน" "แกถึงได้แน่ใจว่าซองพลูไม่ได้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต..." "ใช่...เพราะการหายตัวไปครั้งแรกต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ๆ อีกอย่าง ซองพลูปลอดภัยดีทุกอย่าง ไม่มีท่าทีหวาดกลัว แต่กลับใจลอยแถมยังอยู่บ้านไม่ติด ละไมบอกว่าซองพลูเหมือนจะหนีจากอะไรสักอย่างที่ทำให้เขารำคาญ กดดันใจมากกว่าจะหนีใครมาตามฆ่าตามทำร้าย" "ฟันธง...ไอ้โปแน่นอน ฉันก็เริ่มมั่นใจเหมือนแก ทีนี้เราก็ต้องสืบหาที่อยู่ของมัน แกพอจะเดาใจเพื่อนรักแกออกไหมว่ามันจะพาเมียแกไปที่ไหน" น้ำเสียงแฝงความเย้ยหยันในทีพร้อมด้วยรอยยิ้มแสยะร้ายกาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาครามครัน "ไม่รู้...โปษัณเป็นเด็กเร่ร่อนที่เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งเก็บมาเลี้ยง...ท่านก็มรณภาพไปนานแล้ว ตอนสมัยเรียน มันก็เช่าห้องอยู่ ญาติพี่น้องไม่มี เพื่อนก็มีแต่พวกเราๆ ไม่กี่คน ซึ่งทุกคนก็ไม่มีใครเคยพบเห็นมัน ไม่รู้ว่ามันไปไหนตั้งแต่ห้าปีก่อน แกเป็นตำรวจไปสืบสิ ทำหน้าที่หน่อย กินเงินภาษีประชาชนก็ต้องทำงานให้มันคุ้มหน่อย" "เออ! รู้แล้วเว้ย! ว่าแต่ตอนที่ซองพลูหายไปก่อนหน้าน่ะ เขาหายไปได้ยังไง" "ละไมกับป้าพิมพ์บอกว่า ขับรถออกไปตั้งแต่เช้าแล้วก็กลับมาอีกทีหลังจากนั้นสามวัน" "ขับรถไป...พอจะจำวันที่ได้ไหม" "น่าจะได้ นายจะเข้าไปสอบปากคำเพิ่มเติมคนที่บ้านไหม หรือให้ฉันต่อสายให้ตอนนี้เลย" เหมราชกระตือรือร้น รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันทีเมื่อแววตาของเพื่อนตำรวจส่อเค้าความนัยว่าพบช่องทางสว่างให้กับเขาแล้ว หมอนั่นเก็ตอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว "โทร.ไปถามเลย เอาวันเวลาแล้วก็รายละเอียดในเช้าวันนั้นมาให้มากที่สุด ฉันจะเช็กกล้องวงจนปิดให้ทั่ว ที่แรกที่เคยไป...อาจเป็นที่เดียวกันกับตอนนี้!"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD