ปีศาจเสน่หา ตอนที่ 3

2923 Words
ดวงดาวพร่างพราวดารดาษเต็มผืนฟ้า ส่งแสงระยิบระยับเป็นเครื่องประดับรัตติกาลไม่ให้มืดมิดหม่นหมอง และคอยเคียงข้างพระจันทร์ผู้โดดเดี่ยวมาช้านาน แต่ทำไมนะ...ลึกๆ ในความรู้สึกถึงยังรับรู้ความเหงา ความอ้างว้างท่ามกลางการถูกโอบล้อมโดยหมู่ดาวนับล้านดวงได้อย่างถ่องแท้ เหมือน...เธอที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่น แต่ให้พยายามยังไงก็หยั่งถึงความสุขไม่ได้สักที "คิดอะไรอยู่เหรอ ดาวคืนนี้ไม่สวยรึไง" "หือ...เปล่า" มันก็เหมือนกันทุกๆ คืนนั่นแหละ คนนอนหนุนตักคิดในใจแต่ป่วยการจะอธิบายเพิ่มเติม เธอเหนื่อยกับสิ่งเหล่านี้เหลือเกินแล้ว "ง่วงเหรอ งั้นก็ไปนอนกันได้แล้ว" เขาถามย้ำกระตุ้นให้หญิงสาวสนทนาด้วย "นอนไม่หลับ..." เธอตอบเบาๆ อากาศคืนนี้ช่างหนาวเหน็บนัก ขนาดสวมเสื้อแขนยาวมีผ้าห่มห่อตัวอีกชั้นยังรับรู้ได้ถึงความยะเยือกสะท้าน "เดี๋ยวทำให้" "บ้า! ทะลึ่ง" ร่างเล็กที่นิ่งสงบเคลื่อนไหวเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงมานี้ เธอหงุดหงิดแต่ก็ไม่อาจสู้รบปรบมือไปได้มากกว่านี้ มากที่สุดคงได้แค่กระฟัดกระเฟียดไปตามเรื่องตามราว คนตัวใหญ่ที่นั่งเป็นหมอนหนุนหัวเราะขบขันในลำคอ เขาถอนหายใจยาวๆ หนักๆ แหงนมองท้องฟ้าที่คุ้นเคยแล้วให้รู้สึกเคว้งคว้างสั่นไหว คนที่ทำได้แค่รอ...และรอ อย่างเขา คงเหมือนดาวและเดือนที่เกลื่อนฟ้า กี่ร้อนกี่หนาวก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความมืดมิดได้สักที หาทางออกได้ทางหนึ่งก็ต้องพบเจออีกทางที่ตีบตัน เหมือนพระจันทร์...เหมือนดาว ที่มีแสงแพรวพราวแต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจพบพานความสว่างในเวลากลางวันได้ "นี่...ไขกุญแจมือให้หน่อยสิ เจ็บไปหมดแล้ว!" เสียงเรียกเบาๆ จากร่างที่ขยุกขยิกบนตักทำให้เขารู้สึกตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มยิ้มร้าย มองเธอที่กำลังยกแขนซึ่งมีกุญแจมือจองจำติดกับมือข้างหนึ่งของเขา "เดี๋ยวก็หนีอีก..." เขากล่าวลอยๆ หยิบกระป๋องเบียร์ที่วางข้างมามาดื่ม ทำเอาคนรอรับอิสระถึงกับหัวเสีย "นั่งอยู่บนเรือกลางอ่างเก็บน้ำเนี่ยนะ! ฉันจะหนีไปไหนได้ไม่ทราบ!" หฤทชนันท์ยันตัวลุกนั่งจนเรือโคลงพะเง้าพะงอดใส่พร้อมยกมือข้างที่ถูกพันธนาการกันไว้ให้เขาดู ก่นขู่เป็นนัยๆ ให้ทำตามคำสั่ง "นั่นสินะ...แต่อย่าถอดออกเลย ขี้เกียจใส่เข้าไปใหม่ ดึกแล้ว เดี๋ยวก็จะกลับแล้วละ" ชายหนุ่มกล่าวเสียงเนิบเย็นเฉียบเหมือนรัตติกาลยามนี้ อาจมองเหมือนอะไรๆ ดีขึ้น เหมือนหฤทชนันท์ยอมอ่อนข้อให้แต่จริงๆ แล้วเธอแค่รอเวลาไปจากเขาเท่านั้นเอง ระหว่างทั้งคู่จึงเหมือนมีกำแพงกั้น กอดกันอย่างไรก็ไม่รู้สึกซึ้งถึงความอบอุ่นที่ควรได้รับ "ใครอยากมาไม่ทราบ...หนาวจะตาย คนบ้าที่ไหนชอบพามานั่งเรือดูดาวตอนดึกๆ" "คนบ้าที่เป็นผัวคุณนี่แหละ อีกอย่าง ใครที่ไหนดูดาวกันตอนเที่ยงวัน ฮึ..." เผียะ! สองมือเล็กที่ถูกรวบล็อกด้วยกุญแจมือยังหาทางตบตีร่างใหญ่อีกจนได้ "โอย...เจ็บ เดี๋ยวเหอะ เจอเอาคืนบ้างจะมาว่ากันไม่ได้นะ" "บ้า! บ้าๆ ๆ ๆ ไอ้คนบ้า!" หญิงสาวก่นบ่นผ่านไรฟันแล้วก็ฟุบลงนอนบนตักเขาแรงๆ เป็นการเอาคืนเบาๆ อากาศหนาว...แต่ใจกลับร้อนรุ่มไม่เคยบรรเทา คนที่มองไม่เห็นอนาคตจะเป็นเช่นนี้เหมือนกันทุกคนไหมหนอ "นี่ซองพลู...ไม่คิดจะกลับมาเหมือนเดิมกับผมจริงๆ แล้วเหรอ" จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามก่อนจะยกเบียร์ขึ้นจิบอีกครั้ง สีหน้าและแววตาเลื่อนลอยมองไปบนท้องฟ้ากว้างไกล "มันเป็นไปไม่ได้แล้วโป...เรื่องระหว่างเราจบไปตั้งห้าปีแล้ว ตอนนี้ ฉันก็แต่งงานมีสามี มีลูก มีสังคม ครอบครัว คนรอบข้าง..." "ทิ้งมัน...ทิ้งทุกอย่างเพื่อเรา...ไม่ได้เหรอ" โปษัณต่อรองเสียงอ่อยไม่ได้ตั้งความหวัง ปวดแสบแปลบปลาบในหัวอก ไม่ว่าตอนนั้นหรือตอนนี้ หฤทชนันท์ก็ต้องห้ามกับเขาไม่เคยเปลี่ยน "เพื่อคนเห็นแก่ตัว...ที่ทิ้งฉันไปไม่ไยดี กลับมา...ก็ใช้วิธีสกปรกจับมาขังไว้แบบนี้...คุณคิดว่ามันคุ้มไหมกับสิ่งที่ต้องใช้แลก" ทุกอย่างหยุดนิ่งชั่วขณะ หฤทชนันท์เตรียมใจเผชิญหน้ากับผลตอบรับจากคำพูดตัวเองเต็มที่ แต่แล้วกลับพบความเงียบงันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาครางฮือเบาๆ ในลำคอก่อนจะยกเบียร์ขึ้นซดทีเดียวหมดกระป๋อง จากนั้นก็หยิบอีกกระป๋องหนึ่งมาเปิดดื่ม ตบท้ายด้วยการปาดเช็ดริมฝีปากหยาบๆ "นั่นสินะ...คนไม่มีอนาคต โตมาเพราะข้าวก้นบาตรเหมือนขอทานจรจัด ต่อให้พยายามยังไงก็ไม่คู่ควรกับเจ้าหญิงบนหอคอยอย่างคุณหรอก ผมกลับมาเพราะอยากทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เท่านั้นเอง...ไม่คิดว่าคุณจะกล้าหักหลังผม แต่งงานกับไอ้พอสไปเสียก่อน ผมนี่โง่เหมือนที่พ่อกับแม่คุณว่าจริงๆ นะ หายไปนานขนาดนั้น...ใครจะรอ" "คุณทิ้งฉัน!" "เปล่าทิ้ง ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย" น้ำเสียงของเขาเบาลงไม่มีอารมณ์กรุ่นโกรธปะปนอย่างก่อนหน้า เสมือนยอมปราชัยต่อสงครามที่บั่นทอนจิตใจมานานปีนี้ แต่กลับแฝงความรู้สึกตลอดเวลาห้าปีเอาไว้ทั้งหมดด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวนั้น คนฟังสั่นสะท้าน...หวั่นไหวและเจ็บร้าวในคราเดียวกัน "ฉันไม่อยากรื้อฟื้น! คุณปล่อยฉันกลับเถอะ ฉันคิดถึงลูก" โปษัณเงียบ...เป็นความเงียบที่มาจากขั้วหัวใจ เย็นยะเยือกราวกับรัตติกาลในยามนี้ "อืม...เข้าใจแล้วละ ว่าแต่ไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าห้าปีมานี้ผมเป็นยังไง ทำอะไร อยู่ที่ไหนบ้าง" "เคยอยากรู้ แต่ตอนนี้ไม่แล้วละ ยังไงก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้" "นั่นสินะ..." เขาศิโรราบให้กับความเป็นจริงในที่สุด ความอัดอั้นไหลรวมไปที่มือซึ่งกำกระป๋องเบียร์เอาไว้ เกร็งเครียดกำแน่นอย่างลืมตัวจนภาชนะบิดเบี้ยวผิดรูป และในที่สุดมันก็ยับเยินคามือ เบียร์ในกระป๋องแคนไหลล้นออกมา น้ำสีเหลืองอำพันอ่อนๆ กลับมีสีแดงเจือปน... กระป๋องเบียร์ฉีกขาดเพราะแรงบีบอัดทำให้เกิดเศษเสี้ยวที่มีความคมมากพอจะบาดมือที่ยังกำแน่น สายตาเขากลับจับจ้องไปยังเบื้องบนทั้งที่กำลังบาดเจ็บ หัวใจของเขาหลุดลอย และไร้ซึ่งความรู้สึกอื่นใดนอกจากเสียใจกับเรื่องราวทั้งหมด "คุณ..." ความผิดปกติของร่างใหญ่ที่สั่นเทิ้มทำให้คนนอนหนุนตักนึกเอะใจ เธอแหงนหน้ามองเขาแล้วก็ต้องตกใจตาค้าง ปากคอแห้งแล้ง หัวใจแทบหยุดเต้น "โปษัณ! ปล่อยก่อนเถอะมันบาดลึกมาก ถ้าขืนยังกำ เดี๋ยวจะบาดโดนเส้นเลือดสำคัญได้นะ" หญิงสาวกุลีกุจอแกะมือที่โชกไปด้วยเลือดและน้ำเบียร์ จิตสำนึกที่ถูกกลบฝังฟื้นคืนชีพ สลัดความชิงชังทิ้งแม่น้ำไปจนเกือบจำไม่ได้ว่าเคยรู้สึกแบบนั้น "ปล่อยสิคะ..." เขายังคงนิ่งแข็ง ไม่รู้สึกรู้สา "โป...ฉันขอร้อง เราอยู่กลางอ่างเก็บน้ำ ถ้าคุณเลือดไหลไม่หยุด มันอันตรายมาก และฉันขับเรือไม่เป็นด้วย" หฤทชนันท์พยายามใจเย็นทั้งที่ในอกนั้นเต้นระทึกด้วยความขลาดกลัว "กลัวผมจะเป็นภาระเหรอ...เอานี่ กุญแจ ผมเหนื่อยนะซองพลู อยากพักแล้วละ" "พูดอะไรแบบนั้น...คุณจะบ้าไปแล้วรึไง" ทั้งอาการและคำพูดของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงการกล่าวลาอย่างไรก็ไม่รู้ ครั้งหนึ่งที่เคยสูญเสีย มาวันหนึ่งที่ได้เจอทั้งดีใจอยู่ลึกๆ และโกรธเกลียดชิงชังสารพัด จนถึงวันนี้ อะไรหลายอย่างยังค้างคา แต่การที่เขาจะหายไปจากชีวิตอีกครั้งกลายเป็นอะไรที่รับได้ยากเหลือเกิน "เมื่อห้าปีก่อน ผมขอโทษถ้าทำอะไรให้คุณเสียใจ เด็กวัดอย่างผมมันไม่ควรตั้งแต่คิดจะเอื้อมมือไปเด็ดดอกฟ้าอย่างคุณแล้ว แต่ผมก็ทำ...การกลับมาแล้วพบว่าคุณกับเพื่อนรักแต่งงานกันเป็นอะไรที่ผมช็อกมากๆ เพราะตลอดเวลาที่ห่างกัน สัญญาของเราเปรียบเหมือนสิ่งหล่อเลี้ยงลมหายใจของผม มีความหวัง มีทุกสิ่งทุกอย่าง พอมันจบโดยไม่ทันตั้งตัวเลยโกรธ แล้วก็ทำผิดอีกครั้งโดยการจับตัวคุณมา" "หยุดพูดเถอะโป...คุณปล่อยมือก่อนนะ เลือดไหลใหญ่แล้ว" "แผลแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกซองพลู...เชื่อผมนะ" ชายหนุ่มหันมายิ้ม ดวงตาของเขาแดงก่ำแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเบือนหน้าหนี แสยะยิ้มกวนๆ ดูขัดแย้งกับสีหน้าและแววตาที่ไม่อาจเก็บความปวดร้าวไว้ได้ "ฉันยังอยากกลับบ้าน หลังจากนั้น คุณจะทำอะไรก็เชิญ" เขาเหลือบมองเธอทั้งที่ยังยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น นำเสียงสั่นเครือซึมลึกผ่านเนื้อหนังมังสา แผ่ซ่านให้ทุกสัดส่วนของตัวเขาได้รับรู้ "อา...ผมขอเวลาหนึ่งอาทิตย์ได้ไหม เจ็ดวัน...แล้วคุณจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว" "ฉันมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ" เธอสบตาเขาขณะตั้งคำถาม โปษัณพยักหน้าเนือยๆ แต่มันคงเป็นคำตอบ ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าจะไม่มีการต่อรองใดๆ อีกแล้ว "ฉันคิดถึงมอลลี่...เราไม่เคยอยู่ห่างกันเลย" "เด็กนั่นน่ะเหรอ..." หญิงสาวหยุดชะงักขณะกำลังใช้ผ้าพันคอเช็ดรอบๆ บาดแผลให้เขาอย่างระมัดระวัง ตั้งใจจะเล่าสู่กันฟังแท้ๆ อีกคนกลับใช้น้ำเสียงและท่าทีแสดงความไม่ชอบใจออกมาเมื่อกล่าวถึงเมอรีอา ในความคิดของเธอ เด็กก็คือเด็ก บริสุทธิ์ดั่งผ้าขาวผืนน้อย ไม่ควรเลยที่ใครจะตั้งแง่รังเกียจเพียงเพราะปมอดีตของผู้ใหญ่ "มอลลี่เป็นลูกสาวของฉันค่ะ แกเป็นทั้งแก้วตาดวงใจ เป็นทุกอย่างในชีวิตของฉัน เป็นในแบบที่คนอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจหรอก ถ้าจะโกรธจะเกลียดก็ขอให้เป็นเรื่องระหว่างเราเถอะ ถ้าคุณยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็อย่าดึงแกเข้ามาเกี่ยวพันด้วยเลย" "รักกันจังเลยนะ อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าไอ้พอสมันรู้เรื่องที่คุณมาขลุกอยู่กับผมตั้งเกือบเดือนแบบนี้ มันจะยังอยากให้คุณเป็นแม่ของลูกมันหรือเปล่า" "หยุดปากเสียซะทีเถอะ...เรื่องในครอบครัวพวกเราจัดการกันเองได้ แค่คุณปล่อยฉันไปและไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ ทุกอย่างก็จบ" หฤทชนันท์กล่าวจริงจังเหมือนกำลังร่างข้อตกลงระหว่างกัน ทั้งๆ ที่เจ็บแทบขาดใจแต่จำต้องกลั้นความรู้สึก ต้องเข็มแข็งเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นและกลับไปหาลูกสาวอันเป็นที่รักซึ่งคงกำลังโหยหาเธอไม่ต่างกัน "บางครั้ง ผมก็นึกอยากไปส่งคุณ...แต่ผมก็ทำใจไม่ได้สักที เรื่องที่คุณขอ ผมรับปาก ผมเองก็มีเรื่องอยากจะขอ...เราสองคนกลับไปเป็นเหมือนเดิมกันได้ไหม ในช่วงที่เวลาเจ็ดวัน...ต่อจากนี้" "ฉัน..." ความอึ้งเกาะกินจนร่างแข็งชา เธอรู้สึกทำอะไรไม่ถูก มืดแปดด้าน ในใจโหวงเหวงและสมองหยุดสั่งการกะทันหัน หากเขาร้ายมาอย่างทุกวัน เธอจะร้ายกลับโดยไม่คิดลังเล แต่พอได้เห็นโปษัณมีสีหน้ารันทดเช่นนี้กลับหาทางออกจะตอบโต้เขาไม่ได้เอาเสียเลย วูบหนึ่งรู้สึกเหมือนตัวเองผิดที่ทรยศเขา เสี้ยวใจหนึ่งรู้สึกละห้อยคล้อยตาม อยากลืมเรื่องไม่ดีทั้งหลายและเริ่มต้นใหม่ อยากซื่อสัตย์กับเสียงเรียกร้องของหัวใจ... แต่แล้วก็สำนึกได้ถึงความเป็นจริงว่า...มันไม่มีทาง "แค่เจ็ดวัน...ผมขอร้อง แล้วจะไม่กลับมากวนใจคุณอีกเลย เป็นซองพลูของผมคนเดิม คนที่รักผม ดูแลผม เป็นนางฟ้าที่มาโปรดยาจกจนๆ คนหนึ่ง เป็นสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิตที่มันเคยพบเจอ...ได้ไหม" "โป..." "ได้ไหม...คนดี" น้ำตาเอ่อรินไหลร่วงอาบแก้มทันทีที่คำคำนี้ถูกเอ่ยออกมา อยากกู่ร้องบอกกับตัวเองว่าคือการลวงหลอกให้หลงไปกับมารยาที่แสนน่าชังนั้น แต่ใจกลับยินยอมเปิดรับโดยปราศจากเงื่อนไข กำแพงพังครืนลงอย่างง่ายดายทั้งที่เคยตั้งมั่นจะยืนหยัดเหลือให้เพียงความเกลียดชังเท่านั้น "ค่ะ...ฉันตกลง..." "ขอบคุณ" มือใหญ่ที่กำลังถูกเธอพยาบาลดึงกลับทันควัน พร้อมกับรวบร่างระหงมาไว้ในอ้อมอก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าได้กอดได้สัมผัสกับเธอจริงๆ แม้จะร่วมเรียงเคียงหมอนกันแทบทุกคนแต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยจะสุขใจเท่าวินาทีนี้ "โปปล่อยฉันเถอะค่ะ แผลคุณลึกมาก เราต้องรีบกลับบ้าน หรือไม่ก็ไปหาหมอ" "ไม่ไป...ผมไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวเลือดก็หยุดไหลแล้ว เอาน้ำดื่มในขวดมาล้างแผลก่อน แล้วเอาผ้าพันไว้ก็ได้" ชายหนุ่มตอบอย่างนุ่มนวล ไม่ยอมผละห่างจากร่างเล็กเปราะบาง หลับตาซึมซับเอาไออุ่นจากเธอด้วยความอิ่มเอม "จะบ้าเหรอคะ...เกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง" "ไม่กี่ชั่วโมงคงไม่ตายหรอก ต่อให้ตายจริงๆ ก็ดีเสียอีก" "ไม่กี่ชั่วโมงอะไรกัน อย่าบอกนะว่าคุณจะอยู่บนเรือนี่ยันเช้า" เจ้าหล่อนถาม เพราะจากการคำนวณเวลา เขาพาเธอออกจากบ้านมาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว ด้วยสาเหตุไม่อยากให้ใครรู้ใครเห็นนั่นแหละ แต่ดึกหน่อยจะมีชาวบ้านออกหาปลาซึ่งก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเท่าไหร่ และนี่ก็กินเวลามาประมาณสองชั่วโมง อีกไม่นานก็เช้า...คิดบ้าบออะไรของเขาอยู่ "ถ้าง่วงก็นอนได้นะ ผมอยากรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกับคุณ" ชายหนุ่มหันมายิ้มอ่อนโยน วูบหนึ่งทำให้นึกย้อนไปถึงวันวาน เหมือนว่ากำลังอยู่กับเขาซึ่งเป็นคนเดิมของเธอ หากหน้าตาปราศจากหนวดเคราและผมยาวเฟื้อยนั่น โปษัณก็คงเห็นคนรักคนเดิมของเธอเป็นแน่ "ไม่ได้นะ..." "ซองพลูผมขอร้อง ผมไม่เป็นไรจริงๆ เอาผ้าพันไว้แบบนี้ก็พอแล้ว เลือดมันก็คงหยุดไหลแล้วด้วย ผมแค่อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับคุณ..." ชายหนุ่มย้ำ ใช้แววตาโศกอ้อนวอน มองเธอและร้องขอความเห็นใจ ทุกอย่างผิดแผกแตกต่างจากการแสดงออกที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ไม่มีความแข็งกร้าว โหดร้ายป่าเถื่อนหลงเหลือให้เห็น ...หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า การที่เขาทำร้ายเธอให้เจ็บช้ำน้ำใจ ตัวเขาเอง...ทุรนทุรายแสนหาหัสกว่าหลายสิบเท่า "ค่ะ..." หฤทชนันท์ตัดสินใจไม่โต้แย้งอีก เธอพยายามกล่อมให้เขานอนด้วยกันแต่ได้รับการปฏิเสธกลับมา จึงทอดร่างที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจนอนบนตักเหมือนเคย โปษัณใช้มือข้างที่ไม่เจ็บลูบปัดไรผมที่ปรกประปรายบนผิวหน้า แสดงความรู้สึกออกมาทั้งการกระทำ สีหน้าและแววตาอย่างเปิดเผย พร้อมก้มลงจูบหน้าผากนูนสวยส่งเธอเข้านอนโดยไม่ต้องกล่าวคำหวานใดๆ นานมากแล้ว ยืนยาวจนเหมือนผ่านพ้นมาเป็นร้อยปีพันปีที่จากกัน ทุกความว้าเหว่ เหงา เศร้า คิดถึง หลอมรวมเป็นตัวเขาจนแยกแยะไม่ออก ยิ่งพอกลับมาพบกับความผิดหวังอย่างที่ไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจ มันทำให้ลูกผู้ชายอกสามศอก ร่างกายกำยำล่ำสันเช่นเขาล้มทั้งยืน หากแต่...จิตสำนึกก็ก่นพร่ำอยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งที่เขาต้องการมาตลอดคือการเห็นหฤทชนันท์มีความสุขไม่ใช่หรือ และการกลับมาของเขาก็คือทุกข์ของเธอใช่หรือไม่ แค่การไม่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของไปชั่วนิรันดร์ แล้วพรากเอาเธอมากักขังโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึก นั่นต่างหากคือความเห็นแก่ตัวและไม่น่าให้อภัย คร่ำคิดในเรื่องนี้มาหลายวันในที่สุดก็ตกลงใจหาทางออกได้เสียที "ผมรักคุณนะซองพลู" ชายหนุ่มกล่าวกับร่างเล็กที่นอนหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเธอหลับสนิทไปเพราะความง่วงและอ่อนเพลียจากการทำงานบ้านสารพัดซึ่งเขาเป็นผู้มอบหมาย ระยะหลังๆ มานี้การทะเลาะวิวาทดูจะไม่เกิดบ่อยเท่าช่วงแรก เขาเองก็รามือเรื่องกลั่นแกล้งลงมาก ทำให้การหันหน้าเข้าหาและพูดจากตามวิสัยดำเนินไปในทางที่ดีขึ้น บวกกับการตัดสินใจจะถอยห่าง ปลงใจในสถานะของตัวเองว่าควรอยู่จุดไหน การที่เขาไม่มีตัวตนคงเป็นการดีต่อใครหลายคนมากกว่า แต่ก็ยังไม่อาจตัดขาดความรู้สึกที่เพาะบ่มมานานปี จึงได้ยื่นข้อเสนอยืดเวลาออกไปอีกสักหน่อยเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันเฉกเช่นวันวาน ถึงแม้จะเหลือเวลาแสนสั้น...แต่เขาคงจดจำฝังใจไปชั่วกาลนาน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD