แช่งชักหักกระดูก ( ตอน 7 )

1177 Words
ปริญทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ลักษณะนิสัยในการทำงานของเขาเหมือนจะตรงไปตรงมาแต่ ความตรงไปตรงมาก็ใช่ว่าใครจะรับได้ทุกคน โดยเฉพาะคำพูดที่ตรงจนทะลุและแทงใจ ใช่!เขามักใช้คำพูดเป็นอาวุธทำร้ายคนอยู่เสมอ แต่ไม่มีใครที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขาสักเท่าไรเพราะด้วยความที่คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่อ่อนด้อยกว่ารวมไปถึง เขามักจะเป็นที่ไว้วางใจของผู้หลักผู้ใหญ่และผู้บริหารในบริษัท เพราะเขาพุดจาน่าเชื่อถือประจบสอพลอเก่ง เขามักใช้คำพูดทำร้ายคนและอ้างว่าเขาพุดตรงๆ ที่จริงมันคือความขวานผ่าซากและชอบดูแคลนคนอื่นมากกว่าแต่ใช้คำว่าพูดตรงๆเป็นข้ออ้าง "คุณหนิง ผมอยากให้คุณปรับปรุงเรื่องการแต่งตัวหน่อยนะครับ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับบริษัท ชุดที่คุณใส่อยู่มันดูเหมือนพนักงานทำความสะอาดมากกว่าการตลาด ขอโทษนะที่บอกตรงๆ" ปริญติติงเรื่องการแต่งตัวของหนิงหญิงสาวแผนกการตลาด "ค่ะพี่" เธอพูดได้แค่นั้นเพราะกิตติศัพท์ของเขาเป็นที่รู้กันดี แต่สีหน้าของเธอยิ้มเจื่อน "คุณนุช ลูกน้องในทีมคุณน่ะ ผมเผ้าตัดแต่งทรงเสียบ้างนะ เซทบ้างผมน่ะ ถ้าไม่มีเงินซื้อเสปรย์ ก็น้ำมันพืชก็ได้ บุคลิกไม่ได้เลยแต่ละคน สงสัยตอนรับสมัครพนักงาน ผมคงต้องคัดหน้าตาแล้วล่ะ แบบนี้ไม่ไหว หน้าตาแย่แล้วยังบุคลิกแย่อีก" ที่เขากล้าพูดขนาดนี้เพราะว่าเขาจัดว่าเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว "ใครจะเหมือนมึงล่ะ หน้าตาดีแต่ปากเลว!" นุชคิดในใจ ทุกคนที่เคยเจอกับฤทธิ์เดชของปากเขาล้วนแล้วแต่ทำได้แค่ด่าในใจและนินทาลับหลังเท่านั้น เพราะนอกจากผลงานผสมกับการประจบสอพลอเก่งของเขาแล้วได้ข่าวแว่วมาด้วยว่าเขาเป็นหมายตาว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเร็วๆนี้ นี่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เขากร่างและไม่กลัวที่จะใช้ปากจัดการใครปริญทำงานที่นี่มา10กว่าปี นั่นเป็นเครื่องการันตีความเก๋าเกมส์ของเขา พนักงานคนแล้วคนเล่าต้องลาออกเพราะทนเขาไม่ได้เคยมีบ้างที่มีคนเถียงเขาแต่เขามักถามกลับเสมอ "พี่เป็นคนพูดตรงๆ รับไม่ได้หรือ คนเราต้องยอมรับความจริงครับ คุณต้องยอมรับให้ได้เพื่อนำไปปรับปรุง ผมพูดเพราะหวังดี" หรือแม้แต่เวลาที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อมีการประเมิณเปิดรับฟังความคิดเห็นพนักงานแบบเขียนแบบสอบถามโดยไม่ต้องระบุตัวตนแต่เขาก็ยังสามารถแก้ต่างให้ตัวเองดูดีจนได้ "ผมมีความหวังดีต่อบริษัท และมีความจำเป็นที่จะต้องพูดอย่างตรงไปตรงมากับพนักงานเพื่อให้เขาปรับปรุงและทำตัวส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับบริษัท หากผมมองข้ามไม่จัดการบริษัทก็จะไม่เป็นระเบียบมาตรฐานเพราะทุกคนทำตามใจตนเองกันหมด" ปริญมีคำอธิบายที่มีหลักการเสมอกับผู้บริหาร เพราะแน่นอนว่าระดับผู้บริหารคงไม่มาคลุกคลีกับพนักงานทั่วไปอยู่แล้ว แล้วเขาจะฟังใครถ้าไม่ใช่หัวหน้าแผนกโดยเฉพาะผู้จัดการฝ่ายบุคคลอย่างปริญที่มีอายุงานมากกว่า 10 ปี ดังนั้นพนักงานคนใดอยากมีงานทำก็ต้องก้มหน้าทน ทนได้ก็ทนทนไม่ได้ก็ออกไป นี่คือจุดเริ่มต้นของศัตรูในที่มืดของปริญ มันมีมากเสียจนไม่รู้ว่าใคร ............................................................................................................................................................ เมื่อถึงวันครบรอบวันเกิดของปริญพนักงานทุกคนรวมตัวกันซื้อเค้กมาเซอร์ไพรส์เขา "เดี๋ยวแก ฉันขอสักทีได้ป่ะ ทนมานานละ" แตงกวาดึงแขนแจงที่กำลังถือเค้กออกไป "แกจะทำไร" แจงถาม "แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยูนะคะพี่ปริญ ขากกกกถุย ขอให้ตายเร็วๆนะคะ" แตงกวาถ่มน้ำลายลงเค้กพร้อมสาปส่งแทนการอวยพรหลังจากนั้นก็เอามีดตัดเค้กมาปาดๆหน้าเค้กให้เรียบเหมือนเดิม "ยี้.....แต่กูเอาด้วย ฮ่าๆๆ อย่าอยู่นานนักนะคะพี่ปริญจงเป็นศพเป็นศพเถิด" แตงกวาเอาด้วยโดยการทำท่าอธิษฐานแล้วเป่าลมลงบนเค้ก "เฮ้ยๆ พวกแกทำไรกันอ่ะ เดี๋ยวจะโดน" เอนกเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์ยืนเท้าเอวมองสองสาวด้วยแววตาดุ "เรา...." สองสาวหน้าเสียที่มีคนเห็นสิ่งที่ทำลงไป "ขอกูด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆ" เอนกหัวเราะร่าแล้วยกเค้กออกจากมือหญิงสาวมาถือไว้เอง "สุขสันต์วันตายของให้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบนะคร้าบบแต่อย่าบอกว่าพี่ชอบที่นี่นะครับ" เอนกทำท่ายกเค้กขึ้นท่วมหัว "ขาดฉันได้ไง" หนิงเข้ามาสบทบ "สุขสันต์วันเป็นศพนะคะคุณปริญที่แสน...จะชาติชั่ว" เธอพูดเว้นวรรคให้เพื่อตลก ปากยิ้มแต่สายตาโกรธแค้น แต่ไม่ใช่แค่สี่คนนี้ที่ช่วยกันสาปแช่งปริญผ่านก้อนเค้กก้อนนี้ พนักงานหลายคนในออฟฟิศต่างเดินเฮโลกันเข้ามาแล้วร่วมด้วยช่วยกันสาปส่งเขาเหมือนมหกรรมครั้งใหญ่ที่แสดงถึงความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันและท้ายที่สุดคนที่คิดว่าอดทนและเป็นห่วงเขาที่สุดคือเพื่อนแท้อย่างศักดา! "ฮัลโหลปริญ เพื่อนมีเรื่องรบกวนหน่อยคือกูจำเป็นต้องใช้เงินว่ะเมียไม่สบายช่วงนี้ว่างงานด้วยสิ" "เท่าไร" ปริญถามแบบเสียไม่ได้ "สักห้าพันเพื่อนมีไหม"ศักดาเองก็เกรงใจอยู่เพราะเคยยืมมาหลายครั้งแต่ถ้าไม่จำเป็นเขาคงไม่เอ่ยปาก "ได้แต่ให้ครั้งสุดท้ายนะ อย่าว่างั้นงี้เลย มึงคิดจะยืมเงินไปถึงเมื่อไรวะปรับปรุงตัวเสียบ้าง เห็นไหมบอกแล้วว่าตอนเรียนให้ตั้งใจจะได้มีงานดีๆทำ ทำงานกระจอกเงินก็ไม่พอใช้แบบนี้แหล่ะ ต้องขอยืมไปตลอดชีวิต อายุปูนนี้แล้วไม่ได้เรื่องเลยมึง อย่ามาโกรธกูล่ะกูพูดตรงๆอยากให้มึงคิดได้" ถึงแม้ว่าปริญจะตกปากรับคำว่าให้ศักดายืมเงินแต่ปากก็ด่าไปแบบไม่รักษาน้ำใจเพื่อน "เออๆขอบใจเว้ยเพื่อน" ศักดาไม่โต้ตอบเพราะต้องพึงพาปริญ แต่คำพูดเสียดแทงใจก็ทำให้ศักดาจำไม่ลืม หลังจากที่ปริญได้โอนเงินให้ศักดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ศักดาก็จัดแจงตั้งเตาถ่านจุดไฟ เมื่อถ่านไฟลุกโชน เขาก็กำพริกแห้ง เกลือ สาดลงไปในกองไฟในเตานั้น พร้อมทั้งพูดพร่ำไม่หยุดจนพริกและเกลือหมดลง "ไปตายซะมึงไอ้เพื่อนปากระยำ!" ....................................................................................................................

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD