“จริงสิ สหายของพี่ชายเจ้าสองคนนั้นเล่า พวกเขาได้คู่ที่ถูกใจหรือไม่” หญิงสาวไม่กล้าถามถึงไหวอี้ตี่เพียงคนเดียวจึงแสร้งถามถึงสหายผมยาวอีกคนของเวยหวังหย่งด้วย
“เจ้าหมายถึงคุณชายไหวกับคุณชายลี่ ที่เจ้าเคยพบในอุทยานน่ะหรือ สองคนนั้นบรรลุจุดประสงค์แล้วล่ะ ดูเหมือนว่าจะมีพิธีแต่งงานในอีกเดือนหนึ่งกระมัง”
ได้ยินดังนั้นหยูจินเซียงก็ใจหาย หนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่นางและไหวอี้ตี่ได้เข้าพิธีสมรสกันในเกมสองครั้งแรกเช่นกัน หยูจินเซียงจึงค่อนข้างมั่นใจว่าชะตากรรมของไหวอี้ตี่อาจจะซ้ำรอยเดิม คือเกิดเหตุเพลิงไหม้แล้วเขากับเจ้าสาวต้องเสียชีวิตในกองเพลิงอย่างแน่นอน
“เจ้าคิดว่าข้าจะมีโอกาสได้รับเชิญไปร่วมพิธีแต่งงานของคุณชายทั้งสองหรือไม่เยว่ฉี”
“ก็สามารถทำได้นะ ยามนี้เจ้าเป็นสะใภ้ใหญ่สกุลเวย เป็นภรรยาเอกของพี่ใหญ่ หากจะเป็นตัวแทนของพี่ใหญ่ไปร่วมแสดงความยินดีก็ไม่แปลก เจ้าอยากไปอย่างนั้นหรือ”
“ใช่สิ ข้าอยู่ในจวนสกุลหยูไม่เคยร่วมงานสังสรรค์ใดๆ มาสิบปี เวลานี้มีโอกาสได้เห็นสิ่งแปลกใหม่บ้างข้าก็อยากเห็น”
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะสั่งพ่อบ้านไว้ให้ หากมีเทียบเชิญมาถึงพี่ใหญ่ข้าจะให้พ่อบ้านนำมาให้เจ้าแล้วกัน”
หยูจินเซียงถูกอกถูกใจกับลูกชิ้นหัวสิงโตราดน้ำแดงในภัตตาคารจินฮังยิ่งนัก กอปรกับเมื่อรู้ว่าตนจะมีโอกาสได้ไปช่วยเหลือไหวอี้ตี่ อาหารมื้อนี้นางจึงเจริญอาหารยิ่งกว่าเก่า กินอิ่มเต็มคราบแล้วจึงได้ชักชวนเวยเยว่ฉีกลับจวนสกุลเวย
ช่วงระยะเวลา 1 เดือนก่อนพิธีแต่งงานของไหวอี้ตี่ หยูจินเซียงก็ไม่ได้อยู่เฉย นางใช้เวลาทุกวันอย่างคุ้มค่ากับการเรียนรู้ขนบธรรมเนียม การเขียนอักษร วาดภาพ เรียนพิณ การทำบัญชี และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องทั้งแปดคนของเวยหวังหย่ง
แม้จะได้เริ่มเรียนรู้ในระยะสั้น ๆ แต่หญิงสาวเป็นคนยุคใหม่ที่หัวไวกล้าคิดกล้าลองอยู่แล้ว ทักษะต่าง ๆ ที่เพิ่งได้เรียนรู้จึงสามารถแสดงผลงานออกมาได้ดีเป็นที่ชื่นชมของกู้ฮูหยินและคนสกุลเวยยิ่งนัก
“ท่านพ่อสามี สะใภ้มีเรื่องจะมาขอให้ท่านอนุญาตเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่เข้ามาเป็นสะใภ้สกุลเวย หยูซินเจียงก็ทำหน้าที่สะใภ้ได้อย่างเหมาะสม แต่ไม่เคยสักครั้งที่นางจะมาขอเข้าพบเวยติ้งอัน ทำให้แม่ทัพใหญ่รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“มีผู้ใดทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่จินเซียง”
“ท่านเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่อยากฝึกขี่ม้า หวังว่าท่านพ่อจะอนุญาต”
นางมีโอกาสได้ออกไปเที่ยวเล่นในเมืองหลวงแคว้นโจวหลายครั้งแล้ว และเห็นว่ามีสตรีหลายคนสามารถใช้ม้าเป็นพาหนะได้อย่างอิสระ หากมีโอกาสเพิ่มระดับความสามารถ เผื่อนางตายในเกมนี้สองหัวใจที่เหลือจะได้มีความสามารถติดตัวเพิ่มเติม
"เรื่องแค่นี้เอง เจ้าไม่ต้องมาขอหรอก เยว่ฉีกับน้องสามีเจ้าก็ขี่ม้ากันเป็นทั้งนั้น เจ้าไปเลือกดูแล้วให้บ่าวช่วยสอนก็ได้” เวยติ้งอันรีบสนับสนุน
เขาอิจฉาแทบแย่เมื่อรู้ว่าบุตรีแม่ทัพหูทุกคนล้วนแล้วแต่ฝึกฝนการต่อสู้เช่นเดียวกับบุรุษ แต่ทางฝ่ายตนผู้ที่สนใจทักษะเหล่านี้มีเพียงแต่บุตรชาย ตนได้ให้บุตรสาวได้หัดขี่ม้า พวกนางก็ยินยอมทำตามแบบจำใจไหนเลยจะเหมือนสะใภ้ใหญ่ที่มาขอฝึกฝนด้วยตนเอง
ได้รับคำอนุญาตจากเวยติ้งอัน หยูจินเซียงก็ไปที่คอกม้าของสกุลเวยพร้อมกับเวยเยว่ฉี นางเลือกม้าสีขาวสง่างามขนเป็นมันวาววับแบบเดียวกับน้องสามีมาหนึ่งตัว แต่พอถูกแรงกระแทกจนหัวสั่นหัวคลอน ผู้ดูแลม้าก็แนะนำม้าอีกตัวให้นางแทน
“ฮูหยินน้อย ข้าน้อยว่าท่านใช้ม้าตัวนี้สักระยะจะปลอดภัยกว่านะขอรับ”
“นี่มัน..ลูกม้ามิใช่หรือ?”
หญิงสาวยิ้มแหย นางได้แต่คิดแต่พอเอาจริงกลับท่าดีทีเหลว ร่างกายที่ไม่เคยออกกำลัง และยังตัวเตี้ยกว่าเวยเยว่ฉีอีกเล็กน้อยแทบจะตกจากหลังม้าทุก 5 ก้าว 8 ก้าว บ่าวรับใช้ต้องคอยวิ่งตามประคองนางไปเกือบตลอดเวลา
“ได้ลูกม้าก็ยังดีกว่าไม่มีล่ะนะ”
ตั้งแต่นั้นชาวเมืองก็จะได้เห็นสะใภ้ใหญ่จวนแม่ทัพเวยขี่ลูกม้าตัวเล็กออกมาเที่ยมชมเมืองโดยมีผู้ติดตามเดินตามเป็นพรวนเป็นประจำ
..........
ใกล้จะถึงวันงานมงคลของไหวอี้ตี่ เวยเยว่ฉีก็เกิดล้มป่วยไปเสียก่อน หยูจินเซียงซึ่งตอบรับเทียบเชิญจากสกุลไหวไปแล้วนางจึงต้องไปร่วมแสดงความยินดีกับไหวอี้ตี่เพียงลำพัง มีเพียงสาวใช้ 4 คน ที่ติดตามไปคอยช่วยเหลือนางเท่านั้น
หญิงสาวกลับเข้ามาในจวนสกุลไหวเป็นครั้งที่สาม สองครั้งแรกนางเป็นเจ้าสาวนั่งเกี้ยวเข้ามา แต่ครั้งนี้นางมาในฐานะสะใภ้ใหญ่สกุลเวย ภรรยาเอกของเวยหวังหย่งสหายของไหวอี้ตี่
“ฮูหยิน ขอบคุณที่ให้เกียรติข้า เชิญท่านตามสาวใช้ไปทางด้านนั้นเถิด หากต้องการสิ่งใดก็บอกกับบ่าวรับใช้ได้เลยนะ” ไหวอี้ตี่ย่อมจำภรรยาของสหายได้ เมื่อนางเข้ามา ไหวอี้ตี่ก็รีบมาทักทายหยูจินเซียงทันที
หยูจินเซียงมองใบหน้าแดงก่ำที่ทั้งตื่นเต้นและดีใจของไหวอี้ตี่ด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ไหวอี้ตี่เป็นชายหนุ่มที่ดีและเป็นสามีในอุดมคติของแท้ ยังไม่ทันได้เข้าหอเขาก็พร้อมจะรักภรรยาที่เพิ่งพบเจอไม่กี่ครั้งสุดหัวใจได้แล้ว
บริเวณที่สาวใช้จากจวนสกุลไหวนำทางให้หยูจินเซียงมานั่ง เป็นกลุ่มของสตรีอายุไล่เลี่ยกับนางเป็นส่วนใหญ่ ดูจากเครื่องแต่งกายและทรงผม หยูจินเซียงก็เดาได้ว่าสตรีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันราว 20 กว่าคนนี้ล้วนเป็นฮูหยินจากสกุลต่าง ๆ มีทั้งที่ออกเรือนไปนานแล้ว และเพิ่งจะได้ออกเรือนเช่นเดียวกับนาง
งานเลี้ยงจัดโต๊ะให้กลุ่มสตรีอยู่ทางหนึ่ง ซึ่งบริเวณนี้ค่อนข้างจะใกล้กับเรือนหอของไหวอี้ตี่ ส่วนโต๊ะของบุรุษก็จะถูกจัดอยู่อีกกลุ่มห่างกันเพียงเล็กน้อย
เห็นการแบ่งที่นั่งของแขกที่มาร่วมงาน หยูจินเซียงก็พอจะนึกออก ว่าเหตุใดความช่วยเหลือจึงมาถึงเรือนหอไหวอี้ตี่ช้านัก นั่นเป็นเพราะมีสตรีกลุ่มใหญ่ขวางเส้นทางที่จะเดินผ่านไปยังเรือนหอนั่นเอง บุรุษก็คงไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าวิ่งสวนมาหากพวกนางยังไม่ได้หลบหลีกให้พ้นทาง
“แปลกคิดว่านางจะโผล่มาในงานนี้เสียอีก”
“นายหญิงมองหาผู้ใดอยู่หรือเจ้าคะ” ซินอี้ตามมาโค้งตัวถามหยูจินเซียง เมื่อเห็นผู้เป็นนายชะเง้อมองไปรอบกาย คล้ายว่ากำลังมองหาคนอยู่
“ไม่มีอะไร ข้าก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย งานเช่นนี้ข้าเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกนี่”
หยูจินเซียงคิดว่าเกมจะส่งหูอี้เหลียนมาป่วนนางในฐานะตัวร้ายเสียอีก แต่กลับไม่เห็นร่างในชุดขาวร่างนั้นแต่อย่างใด
ผ่านพิธีคำนับฟ้าดินและไหวอี้ตี่เดินไปส่งเจ้าสาวเข้าหอ เวลานี้หยูจินเซียงก็เริ่มวิตกจริตขึ้นมาอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดเสียงประทัดสักลูกก็ไม่ได้ถูกจุดขึ้นมาแต่อย่างใด
“ซินอี้ ไม่ใช่ว่าเวลานี้พวกเขาสมควรจุดพลุหรือประทัดหรอกหรือ เหตุใดพวกเขาจึงยังนั่งดื่มกินกันเงียบเชียบเช่นนี้เล่า?”
อันที่จริงหยูจินเซียงก็แปลกใจกับเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ในงานพิธีแต่งงานของตนกับเวยหวังหย่งนางก็ไม่ได้ยินเสียงประทัด และไม่มีการจุดพลุ เหตุใด ยามที่นางแต่งกับไหวอี้ตี่พวกเขาจึงได้คึกคะนองจุดพลุกันมากมายจนเกิดเหตุร้ายไปได้
“ปกติก็ไม่ได้มีผู้ใดห้ามปรามหรือมีธรรมเนียมว่าควรจุดหรือไม่หรอกเจ้าค่ะ แต่บางครั้งหากสองสกุลมีพื้นฐานแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะถ้าเจ้าสาวมาจากตระกูลที่เหนือกว่า ฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะเฉลิมฉลองมากเป็นพิเศษเพื่อให้เกียรติอีกฝ่ายเจ้าค่ะ คุณชายไหวกับสกุลเจ้าสาวครั้งนี้น่าจะทัดเทียมกันหรือไม่ก็ด้อยกว่าเล็กน้อย พวกเขาจึงหลีกเลี่ยงการรื่นเริงที่มากเกินควรในยามสงครามเจ้าค่ะ”
ถึงตรงนี้หยูจินเซียงจึงได้เข้าใจ ครั้งก่อนเป็นเพราะสกุลไหวนั้นยินดีที่ได้เชื่อมความสัมพันธ์กับจวนราชมนตรีหยู ส่วนหยูซุนก็กลัวว่าบุตรสาวจะไม่ได้ออกเรือน การแต่งงานของสองสกุลที่มีพื้นเพต่างกันจึงเกิดขึ้น
แต่เท่านี้นางก็โล่งใจ และรู้สึกยินดีกับเจ้าสาวของไหวอี้ตี่ นางเชื่อว่าแม้จะไม่เป็นนาง ไหวอี้ตี่ก็จะรักและปกป้องภรรยาของเขาเช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติกับนาง