“วันนี้ข้าจะกลับบ้านเป็นเพื่อนเจ้าแทนพี่ใหญ่เองนะจินเซียง ท่านแม่เตรียมของฝากเอาไว้ไม่น้อยเลยเชียวล่ะ”
“กลับบ้านเดิมหรือ? ข้ากลับได้หรือเยว่ฉี ดีจริง”
แต่งงานสามวันนางจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านเดิม เพียงแต่เวลานี้ในสกุลหยูไม่มีทายาทชายอยู่ในจวน พี่ชายสองคนของนางยังเดินทางกลับมาไม่ถึงเมืองหลวง นางจึงไม่มีพี่ชายหรือน้องชายไม่มีกระทั่งหลานชายมารับตัวกลับบ้าน ยังคิดอยู่ว่าสามีก็ไม่อยู่ตนคงจะหมดโอกาสไปหาตัวละครบิดามารดาผู้อ่อนโยน และจวนสกุลหยูที่อบอุ่นเสียแล้ว
“ผู้ใดก็รู้ว่าสถานการณ์ของเจ้าเป็นกรณีพิเศษ ไม่จำเป็นต้องรักษาธรรมเนียมให้วุ่นวายหรอก ท่านพ่อท่านแม่อนุญาตแล้ว เจ้ารีบแต่งตัวเร็วเข้าข้าจะออกไปรอข้างนอกนะ”
เวยเยว่ฉีแจ่มใสร่าเริง เป็นทั้งสหายและน้องสามีที่ดีที่สุด หากไม่นับว่านางเป็นเพียงตัวละครในเกม หยูจินเซียงก็เห็นว่านางเป็นเพื่อนคนเดียวในชีวิตจริงและในเกมที่จริงใจต่อนางมากที่สุด
“ชักจะไม่อยากออกจากเกมแล้วสิ อยู่ในนี้ฉันมีความสุขดีกว่าใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ในโลกจริงเสียอีก” หญิงสาวเริ่มคุ้นชินและทำตัวเข้ากับยุคสมัยโบราณได้อย่างสนิทใจ ภาวนาอย่างเดียวขออย่าให้นางตายเลย นางอยากมีชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้ทุกวันท่ามกลางผู้คนที่นิสัยดีเยี่ยม
ปัญหาเรื่องที่นางก้นติดอยู่กับเก้าอี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้ ออกจากเกมไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็ต้องทดลองเล่นให้จบ
..........
กลับจวนสกุลหยูมาพร้อมกับเวยเยว่ฉีได้เพียงครึ่งวัน เหยี่ยนฟางซินก็รีบไล่บุตรสาวสุดที่รักให้กลับไปจวนสกุลเวย พวกเขาไม่ได้กล่าวโทษเวยหวังหย่งเพราะรู้ดีถึงความจำเป็น แต่ในยามที่สามีไม่อยู่ในจวนบุตรสาวเป็นสะใภ้ใหญ่สมควรไปดูแลพ่อแม่สามีแทนจึงจะถูก
ขากลับหยูจินเซียงเปิดผ้าม่านสองฝั่งของรถม้าออกเพื่อชมบรรยากาศความคึกคักภายในเมืองหลวงแห่งแคว้นโจว เวลานี้มีหลายคู่ที่ทยอยจัดพิธีแต่งงานกันไม่ขาด เสียงประทัดและพลุรวมทั้งเกี้ยวเจ้าสาวขนาดเล็กขนาดใหญ่ตามฐานะเดินสวนกันจนแทบจะชนกัน
เวลานี้นางจึงเพิ่งได้รู้ว่า นอกจากจะมีการจัดงานเลี้ยงเสี่ยงบุปผาให้กับคุณหนูคุณชายทายาทขุนนางแล้ว ฉินอ๋องยังอนุญาตให้เปิดโรงมหรสพและโรงน้ำชา โรงสุรา เพื่อเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวสามัญชนได้มีโอกาสพบปะกันยาวนานถึง 3 เดือนเต็ม งานแต่งงานของชาวบ้านร้านถิ่นจึงถูกจัดขึ้นติดๆ กันถ้วนหน้า
“เยว่ฉีอย่างไรพวกเราก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบกลับ เข้าไปรับประทานอาหารในโรงเตี๊ยมกันสักหน่อยเป็นไร”
“ได้สิ ข้าเองก็ไม่ได้ชิมลูกชิ้นหัวสิงโตที่ภัตตาคารจิงฮังมานานแล้ว หากเจ้าไม่พูดก็คงนึกขึ้นมาไม่ได้ ไปเถิด” เวยเยว่ฉีพยักหน้าส่งสัญญาณให้สาวใช้ส่งความไปถึงคนบังคับม้า
ครู่เดียวสตรีทั้งสองคนก็มาถึงภัตตาคารจิงฮัง ภายในร้านมีผู้คนจำนวนมากออกมาใช้บริการกันอย่างคึกคักจนแทบจะไม่มีโต๊ะว่าง
“บ่าวลงชื่อจองโต๊ะไว้แล้วเจ้าค่ะ แต่จองได้เพียงโต๊ะชั้นล่างนะเจ้าคะ ห้องส่วนตัวถูกจองข้ามวันไปหมดแล้ว” ซินยี่กลับมาบอกข่าวนายหญิงสองคนที่รถม้า
เวยเยว่ฉีและหยูจินเซียงไม่ได้ตำหนิอะไรกับการที่ไม่ได้ห้องอาหารส่วนตัว หยูจินเซียงเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วพาน้องสามีมานั่งรับประทานอาหารนอกบ้านก็ไม่น่าเกลียด โดยเฉพาะหยูจินเซียงที่ไม่เคยเห็นบรรยากาศคึกคักเช่นนี้มาก่อนย่อมอยากนั่งห้องอาหารรวมจะได้ดูสิ่งรอบข้างไปด้วย
พอใกล้จะได้ที่นั่งสาวใช้ก็ประคองหยูจินเซียงและเวยเยว่ฉีลงจากรถม้า เดินมาถึงบันไดทางขึ้นภัตตาคารหญิงสาวก็รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่พุ่งตรงมาที่ตัวจนต้องมองหาต้นเหตุ
สตรีชุดขาวที่เคยแย่งชิงดอกไป๋หลันฮวากับหยูจินเซียงนั่งอยู่กับสตรีอีกสามคนที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมส่งสายตาพิฆาตมายังร่างบอบบางของนางเข้าอย่างจัง
สองสายตาสบประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่สุดท้ายหยูจินเซียงก็ต้องเป็นฝ่ายเบนหน้าออกมาก่อน เพราะเสี่ยวเอ้อร์จากโรงเตี๊ยมหาโต๊ะว่างให้พวกนางได้แล้ว นางต้องดูทางเดินเพื่อไปยังที่นั่งของตนเอง
“เยว่ฉี เจ้าอย่าเพิ่งหันไปมองนะ มีสตรีสามคนนั่งอยู่โต๊ะที่ติดกำแพงทางซ้ายมือของเจ้า สตรีที่สวมชุดสีขาวนั่นเจ้ารู้จักนางไหม”
เวยเยว่ฉีก็ดียิ่งนัก เมื่อพี่สะใภ้กำชับมา นางก็ยังไม่รีบหันไปมอง รอจนเสี่ยวเอ้อร์มาจดรายการอาหารแล้วจึงได้อาศัยจังหวะที่หันไปหันมา ลอบมองไปยังโต๊ะทางซ้ายมือ
“เจ้าเคยพบกับนางมาก่อนหรือ เหตุใดจึงให้ความสนใจกับนางเล่า” เวยเยว่ฉีเห็นหน้าคนทางนั้นก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงให้กระทบกระเทือนใจสหาย
“เคยพบกันครั้งหนึ่งที่งานเลี้ยงเสี่ยงบุปผานั่นล่ะ ตกลงนางเป็นใคร เจ้ารู้จักใช่หรือไม่”
หยูจินเซียงคิดว่านี่อาจจะเป็นภารกิจหนึ่งที่นางต้องเผชิญในเกม สัญชาตญาณของนางชี้ชัดว่าสตรีผู้นั้นแสดงความเป็นศัตรูอย่างชัดแจ้ง นางต้องหาข้อมูลของนางร้ายในเกมตัวนี้เอาไว้หาทางหนีทีไล่เสียก่อน
เวยเยว่ฉีถอนหายใจเบาๆ นางก็ไม่ได้เกลียดชังหูอี้เหลียนสตรีที่พี่ชายหลงรักและทั้งคู่ต่างเป็นทายาทแม่ทัพ ในวัยเด็กพี่ชายก็มักจะชื่นชมหูอี้เหลียนให้นางฟังอยู่บ่อยๆ แต่การแต่งงานของคนทั้งคู่ถูกนำมาพูดกันภายในครอบครัวและถูกคัดค้านมาตลอด แม้แต่นางเองก็เห็นด้วยกับการพิจารณาของผู้อาวุโส ว่าสกุลเวยกับสกุลหูไม่เหมาะสมจะเชื่อมความสัมพันธ์กันผ่านการแต่งงาน
เวลานี้พี่ใหญ่ก็รับหยูจินเซียงมาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องแล้ว และดูเหมือนว่าสายตาของพี่ชายจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คืนวันที่เขาเดินทางเข้ากองทัพ เวยหวังหย่งยังมาแอบมองหยูจินเซียงอยู่ด้านนอกอีกครั้งและฝากฝังให้นางดูแลพี่สะใภ้ให้ดีอีกด้วย
“จินเซียงหากเจ้ารู้แล้วอย่าคิดมากนะ พี่ใหญ่ของข้าไม่ใช่คนเหลวไหล เมื่อเขาตัดสินใจรับเจ้าเป็นภรรยาแล้วนั่นหมายความว่าเขาจะให้เกียรติยกย่องเจ้าตลอดไป สตรีผู้นั้นคือหูอี้เหลียนบุตรสาวของแม่ทัพหู นางกับพี่ใหญ่เคยพบกันบ่อยครั้งตั้งแต่ก่อนจะเกิดสงคราม ภายหลังจึงได้ห่างๆ กันไป”
แม้ว่าเวยเยว่ฉีจะไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ แต่หยูจินเซียงก็ไม่ได้โง่ ยิ่งรวมเข้ากับการที่นางเข้ามาแย่งชิงดอกไป๋หลันฮวาคราวก่อน กับสีหน้าของเวยหวังหย่งเมื่อเห็นดอกไป๋หลันฮวาในมือนาง หญิงสาวก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้ทั้งหมด
“ข้าไยต้องคิดมากด้วยเล่า เวลานี้ข้าคือสะใภ้ใหญ่สกุลเวย ผู้ใดมีความสามารถก็หาทางแย่งชิงให้ได้เถิด” หญิงสาวแอบเบ้ปากให้คนรักเก่าของสามี นางเป็นภรรยาที่ถูกต้องของเวยหวังหย่งนะ นางต้องรักษาสิทธิ์
เสียงของหยูจินเซียงไม่ดังเกินไปแต่ก็ไม่เบา หูอี้เหลียนซึ่งจับตามองนางเอาไว้ตลอดเวลาย่อมได้ยินจนเกือบจะลุกขึ้นมาหาเรื่องอีกฝ่าย แต่เป็นสตรีอีกสองคนที่ดึงมือนางให้นั่งลงกับที่ตามเดิมแล้วรีบจ่ายเงินเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป
“จินเซียง อย่างไรเจ้าก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียเถิด อีกอย่างสกุลหูน่ะมีแต่ทายาทสตรี พวกนางมีบิดาเป็นแม่ทัพใหญ่ ในจวนไม่มีบุตรชาย แม่ทัพหูเลยสอนให้บุตรสาวขี่ม้าจับดาบ พวกนางค่อนข้างจะดูดุร้ายเอาแต่ใจไปสักนิด เจ้าอย่าใส่ใจเลยนะ”
เวยเยว่ฉีมองเห็นความไม่ถูกชะตาระหว่างสตรีทั้งสอง นางจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้พี่สะใภ้ใจเย็นลง อีกทางก็รู้สึกดีใจที่สหายไม่ได้อ่อนแออย่างแต่ก่อน หากเป็นเช่นนี้นางก็วางใจว่าหากหูอี้เหลียนมายั่วยุพี่ชาย พี่สะใภ้ก็ยังทำใจตั้งรับได้อีกชั้นหนึ่ง
ฝ่ายหยูจินเซียงนั้นนางพยายามทำความเข้าใจว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องในเกมเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะแสดงได้สมบทบาทจนนางอินจัด แต่หญิงสาวก็เลือกสลัดอารมณ์ขุ่นมัวของตนออกไปได้อย่างรวดเร็ว