“นึกว่างานเยอะจนจะเรียกมาแบ่งเบาภาระ แต่นี่คนไข้ก็หมดแล้วนี่หว่า” หมอภัทรทักทายคนที่อยู่ในห้องหลังจากที่หางตากวาดมองรอบๆ ห้องแล้ว ปรากฏว่าไม่มีคนไข้เลยสักคน
“วันนี้ว่าง?”
“อ่า ก็ว่าง”
“เข้าเวรแทนหน่อย แลกกัน”
“หืม?” หมอภัทรหรี่ตามองคนร้องรอที่กำลังถอดเสื้อกราวออกจากลำตัว เหตุการณ์เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นซะเมื่อไหร่ และมันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากคนที่กำลังถูกขอแลกเวรจะแปลกใจ
“ไปไหนวะ”
“มีธุระ”
“ธุระอะไรที่สำคัญมากกว่าเรื่องงานสำหรับหมอน่านงั้นเหรอ” คนถามกลั้วขำ ใครๆ ก็บอกว่าหมอน่านน้ำบ้างานกันทั้งนั้น ไม่เคยขาด ไม่เคยลา ไม่เคยสาย คนไข้มาเป็นอันดับหนึ่งเสมอแล้วตอนนี้มีเรื่องอะไรที่เข้ามาดึงความสนใจได้มากกว่ากัน
“เออน่า เรื่องมันยาว”
“คุณแม่ไม่สบายหรือเปล่า คุณแม่เป็นอะไร”
“คุณแม่สบายดี”
“อ้าว แล้วธุระที่ว่านี่มันคือเรื่องอะไรวะ รีบร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ” เอาจริงๆ ก็อยากรู้แหละว่ามันเป็นเรื่องอะไร เรื่องอะไรกันที่ทำให้หมอน่านน้ำสนใจมากขนาดนี้
“จะออกไปส่งน้อง”
“น้อง… มึงมีน้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อน” เพราะลืมตัวทำให้เผลอใช้สรรพนามในแบบที่ใช้คุยกันอยู่บ่อยๆ ก็แล้วใครจะไปทนได้ว่ะอยู่ดีๆ ก็พูดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ หมอน่านน้ำเป็นลูกชายคนเดียว ไม่มีน้องนุ่งที่ไหนทั้งนั้น แล้วที่บอกว่าจะไปส่งน้องนี่คือน้องอะไร
“ลูกเพื่อนแม่”
“หืม? ใครวะ ผู้หญิง”
“อือ”
“ใครอ่ะ กูเคยเจอไหม”
“แล้วตอนที่มึงจะเดินเข้ามา มึงเห็นใครนั่งรออยู่ด้านนอกหรือเปล่าล่ะ”
“เห้ย อย่าบอกนะว่าน้องคนนั้น”
“แปลว่าเห็น?”
“ที่ใส่ชุดนักศึกษาปะ?” น่านน้ำไม่ได้ตอบคำถามในทันทีแต่เลือกที่จะถอนลมหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เธอแต่งตัวยังไงหรือใส่ชุดอะไรอยู่แต่การที่เธอส่งข้อความก่อนหน้านี้และบอกว่าเลิกคลาสเร็วนั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าตอนนี้เธอยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่นั่นแหละ
“เชี่ย คนนั้นโคตรสวย”
“มึงชอบ?”
“แล้วใครไม่ชอบคนสวยวะ”
“สนใจไปส่งแทนกูไหมล่ะ”
“มึงอย่ามาตลกไอ้น่าน ทำเป็นพูดให้กูอิจฉาเล่นหรือเปล่า” น่านน้ำส่ายหน้าแทนคำตอบ ประกายตายังคงนิ่งเฉยไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย
มันก็เหมือนทุกครั้งที่ใครต่อใครตังค์คิดว่าคนอย่างเขาไม่มีมีความรู้สึกไม่มีหัวใจ
กว่าจะเคลียร์กับเพื่อนสนิทลงตัวก็ทิ้งเวลาไปเกือบสิบนาที ทันทีน่านน้ำเดินพ้นประตูออกมาสายตาก็ประสานเข้ากับร่างบอบบางของคนที่รีบดันตัวลุกทันทีที่เห็นเขาเช่นกัน
“มาแล้วเหรอคะ”
“กลับ” ไม่นิ่งและเย็นชาคงไม่ใช่ตัวตนของเขาจริงๆ สินะ ร่างสูงโปร่งเดินลิ่วนำออกไปก่อน ปล่อยให้พันธิกาวิ่งตาม โดยมีสายตาของใครคนอื่นมองตามหลังด้วยความไม่เข้าใจ
“พี่น่านรอพั้นช์ด้วยค่ะ” ไม่ว่าเปล่า เธอรีบวิ่งเร็วเร็วจนทันเขาจากนั้นก็ดึงท่อนแข็งแกร่งเข้ามากอดเอาไว้แน่นแล้วเดินไปด้านหน้าพร้อมกัน
“เดินดีๆ”
“ขอเดินแบบนี้แทนได้ไหมคะ”
“พั้นช์”
“ขา~”
“ที่นี่มันโรงพยาบาล”
“รู้ค่ะ”
“แล้วการที่เธอทำแบบนี้คิดว่ามันเหมาะแล้วเหรอ”
“แค่กอดแขนก็ไม่ได้เหรอ เราต้องอยู่ที่ไหนเหรอคะถึงจะทำได้” คนถามมองตาใส อยากรู้เหมือนกันแหละว่าคนเย็นชาจะทนอยู่สภาพนี้ได้นานแค่ไหน
“ที่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น”
“แต่เรา กำลังศึกษาดูใจกันอยู่นะคะ”
“ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้อยู่ดี”
“พอเห็นพี่เป็นแบบนี้แล้วอยากรู้ขึ้นมาเลยค่ะว่าพั้นช์พลาดตรงไหน เผลอทำตัวไม่น่ารักใส่จนถูกที่ปิดกั้นทุกทางหรือเปล่า”
“ไม่เกี่ยว”
“แล้วทำไมต้องหน้าตึงใส่กันแบบนี้ตลอดเลยหรอคะ ยิ้มให้หน่อยไม่ได้เลยเหรอ”
“ไม่”
“ใจร้าย”
“พี่เคยบอกเธอไปแล้ว”
“บอกว่าอะไรคะ”
“เคยบอกแล้วว่าพี่ไม่ได้จะใจดีกับเธอ เคยเตือนไปแล้วว่าอย่าหาว่าพี่ใจร้าย”
“แหม เราก็ดูๆ กันไปก่อนอย่าพึ่งด่วนตัดสินใจไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“เธอไม่จำเป็นต้องทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการก็ได้”
“พี่มีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่าคะ”
“มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“งั้นเราก็ค่อยๆ เรียนรู้ค่อยๆ รู้จักกันไปทีละนิดไม่ดีกว่าเหรอคะ ในเมื่อก่อนหน้านี้เราตกลงกันแล้วนั่นก็แปลว่าทุกอย่างอย่างชัดเจน ทุกอย่างมันจะจบก็ต่อเมื่อพั้นช์ไม่อยากเดินต่อ แต่ในเมื่อตอนนี้พั้นช์ยังไม่ถอดใจ พี่น่านก็บังคับพั้นช์ไม่ได้เหมือนกัน”