เข้าใจผิด

1738 Words
ค่าของเงิน... 1000 อีแปะ= 1 ตำลึงเงิน 100 ตำลึงเงิน= 1 ตำลึงทอง โรงเตี๊ยมเหลียนฮวา… โรงเตี๊ยมเหลียนฮวาเป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้กับประตูของเมืองหลวงมากที่สุด โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ได้หรูหราดังเช่นโรงเตี๊ยมที่อยู่กลางเมือง และสภาพโดยรวมก็แค่พอใช้ได้ แต่กลับเป็นที่ถูกใจของเหล่าพ่อค้าต่างเมืองยิ่งนักเพราะราคาไม่แพง ส่วนรสชาติของอาหารก็ไม่ได้เลวร้าย ไม่ใช่แค่พ่อค้าต่างเมืองเท่านั้นที่ชอบมาพักที่นี่ แม้แต่ทหารเฝ้าเวรยามรอบประตูเมือง หากพ้นหน้าที่เฝ้ายามเมื่อใดพวกเขาก็มักจะมาสิงสถิตอยู่ที่นี่เช่นกัน “ถึงแล้วขอรับคุณชาย หากจะหาโรงเตี๊ยมที่มีพ่อค้าต่างเมืองชอบเข้ามาพักก็ต้องเป็นที่นี่แหละขอรับ” “ขอบคุณท่านพ่อเฒ่า” ซุนหวางกล่าวขอบคุณพร้อมกับสะกิดให้เสี่ยวฟงจ่ายเงินค่ารถม้าตามที่ได้ตกลงกันไว้ พวกเขาไม่ได้มีของมากมายให้ขนหรอกนะ จะมีก็แค่หีบขนาดกลางหนึ่งใบเท่านั้น เสี่ยวฟงเป็นคนเข้าไปติดต่อขอเช่าห้อง ไม่นานนักก็มีเสี่ยวเอ้อ ออกมาช่วยยกหีบเข้าไปให้ แม้โรงเตี๊ยมจะไม่ได้มีระดับแต่การบริการของพวกเขาช่างเป็นเลิศ ซุนหวางก้าวลงจากรถม้าด้วยชุดผ้าแพรสีขาวที่แสนจะธรรมดายิ่ง แต่สิ่งที่ตรึงสายตาของผู้คนกับเป็นร่างบอบบางและนิ้วเรียวงามกอปรกับผิวพรรณอันนวลขาวที่โผล่พ้นออกมาจากชายแขนเสื้อ หมวกสานกับผ้าคลุมโปร่งบางยิ่งมองก็ยิ่งเป็นปริศนา ทำให้คนที่พบเห็นอยากจะรู้ว่าแม่นางคนนี้เป็นผู้ใดและมาจากเมืองไหนกัน “คุณชายเรียบร้อยแล้วขอรับ คืนละสองตำลึงเงินสำหรับห้องใหญ่ บ่าวเช่าไว้ห้าวันตามที่คุณชายบอกแล้วขอรับ” เสี่ยวฟงรายงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนให้นายของตนได้รับทราบ “เราพักผ่อนกันก่อนเถอะพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่” “คุณชายไม่หิวบ้างหรือขอรับ” “สั่งซาลาเปากับชามาก็ได้เผื่อตัวเจ้าด้วยล่ะเสี่ยวฟง” หากไม่กำชับเช่นนี้เสี่ยวฟงก็ไม่กล้าที่จะทำเกินคำสั่งของเขาเด็ดขาด แม้จะบอกไปแล้วหลายครั้งก็ตามว่าอย่าได้เคร่งครัดเรื่องนายกับบ่าวให้มากนัก บอกให้เรียกขานดังเป็นสหายก็ไม่ยอมทั้งที่อายุก็เท่ากันแท้ ๆ จนซุนหวางต้องขอยอมแพ้กับความซื่อตรงและเด็ดขาดของเสี่ยวฟง จะหาคนที่ซื่อสัตย์เช่นเสี่ยวฟงให้ได้นั้นคงจะไม่มีอีกแล้ว “ขอรับคุณชาย” เสี่ยวฟงตอบรับด้วยสีหน้าที่แจ่มใสก่อนจะวิ่งออกไปตามคำสั่งของเจ้านายทันที นี่คงจะเป็นครั้งแรกกระมังที่ซุนหวางได้เห็นบ่าวตัวน้อยแสดงอาการดีใจและมีท่าทางสดใสเช่นนี้ ช่างต่างกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา นอกจากจะขายยาและได้เงินมาเท่านั้นเขาถึงจะเห็นอาการดีใจจนออกนอกหน้าของเสี่ยวฟง ตอนอยู่ที่ตระกูลซุนคนที่มักจะร้องไห้บ่อย ๆ เห็นจะเป็นเสี่ยวฟงนี่แหละ เช้าที่วุ่นวายของโรงเตี๊ยมเหลียนฮวา… “คุณชายขอรับ ต่อจากนี้เราจะไปไหนหรือขอขอรับ” ซุนหวางตั้งใจจะไปยังเมืองหน้าด่านที่ชายแดนติดกับแคว้นหนาน ตามบันทึกของแคว้นเจียงที่เขาได้อ่านและศึกษามา เมืองหูเจียงนับเป็นเมืองหน้าด่านที่ใหญ่ที่สุด ทั้งการค้าขายยังคึกคักเป็นอย่างมาก เพราะชายแดนระหว่างแคว้นเจียงและแคว้นหนานไม่ได้ปิดกั้นการค้าขายระหว่างแคว้น เมืองหน้าด่านที่เฟื่องฟูด้านการค้าขายอย่างเมืองหูเจียงจึงได้เปิดอย่างกว้างขวางและเสรี แม้แต่ร้านขายยาและสมุนไพรของแคว้นหนานยังมาเปิดสาขาที่เมืองหูเจียงได้เลย สิ่งที่ซุนหวางให้ความสนใจไม่ใช่แค่นี้หรอกแต่เป็นหุบเขาเจียงซานต่างหากที่ทำให้เขาอยากจะไปที่นั่น สมุนไพรต่าง ๆ ที่มีขายอยู่ตามร้านยาก็มักจะพบเจอได้ที่นั่น หากว่าเขาหาสมุนไพรได้เองแม้จะไม่ทั้งหมดแต่คงจะดีไม่น้อยทีเดียว อย่างน้อยจะได้ประหยัดเรื่องค่าสมุนไพรได้บ้าง “ตามหากลุ่มคนที่จะไปเมืองหูเจียง บางทีเราอาจจะได้เดินทางร่วมกับพวกเขา หาคนที่มาเป็นครอบครัวนะอาฟง” “ขอรับคุณชาย แล้วหากไม่มีล่ะขอรับ” “เราก็รอต่อไป จะอีกสักกี่วันก็ต้องรอ” เมืองค้าขายเช่นเมืองหูเจียงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่มีคนไปซุนหวางครุ่นคิด เขาคงต้องหารถม้าเอาไว้ใช้สอยเองสักคันหากการเดินทางมันเนิ่นนานและล่าช้าเกรงว่ารอบเดือนของเขาจะมาก่อนถึงเมืองหูเจียงเป็นแน่ นี่คือความกังวลหนึ่งเดียวที่ซุนหวางมี วันนี้ซุนหวางยังคงแต่งกายเช่นเดิมแค่เปลี่ยนสีชุดเป็นสีฟ้าอ่อนที่ดูธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาด้วยท่าทางที่สงบนิ่งของเขาจึงทำให้ผู้คนที่พบเห็นไม่กล้าแม้แต่จะมองนาน ๆ ท่าทางอันเรียบง่ายยังสะกดข่มผู้คนได้แล้วโดยที่ซุนหวางเองก็ไม่รู้ตัว “คุณชายบ่าวเจอ...” “พูดใหม่สิอาฟง” “อ่อ...คุณชายข้าเจอคนที่จะไปเมืองหูเจียงแล้วขอรับ พวกเขาจะเดินทางในอีกสองวันคุณชายจะพบพวกเขาหรือไม่ขอรับ” “อืม...ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด ข้าจะพบพวกเขาเลยได้หรือไม่” “คุณชายรออยู่ที่นี่นะขอรับ ข้าจะไปตามท่านลุงมาให้” ไม่นานนักเสี่ยวฟงก็มากับท่านลุงท่าทางใจดีและเด็กหนุ่มอีกคนอายุน่าจะมากกว่าอาฟงสักสองสามปีเห็นจะได้ “คุณชาย ท่านลุงผู้นี้คือท่านลุงเหอชวนและบุตรชายเหอเชียน ขอรับ” เมื่อได้ทำความรู้จักกันพอสมควร ซุนหวางจึงสั่งน้ำชาและขนมเพื่อมาเลี้ยงตอบแทนพ่อลูกคู่นี้ จากนั้นจึงได้แจ้งจุดประสงค์ของตนที่จะขอร่วมเดินทางไปยังเมืองหน้าด่านด้วย ซึ่งมีพวกเขาแค่สองคนเท่านั้นและหีบของเครื่องใช้อีกหนึ่งใบ “ท่านลุงสะดวกหรือไม่ขอรับ หากมีสิ่งใดขัดข้องก็ว่ามาเถอะ” ซุนหวางเอ่ยถามเมื่อเห็นท่านลุงเหอแสดงสีหน้ากังวลออกมา “เอ่อ...คุณชายน้อยรถม้าของข้าก็ไม่ได้ใหญ่มากหากจะไปด้วยกันคงนั่งได้แค่คนเดียว ข้าต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ” “แล้วในกลุ่มของท่านลุงมีใครที่ขับรถม้าได้หรือไม่ขอรับ” ซุนหวางยังไม่ยอมแพ้อย่างไรเขาก็จะซื้อรถม้าอยู่แล้วขอแค่มีคนขับรถม้าให้ก็พอ “มีขอรับ อาเชียนบุตรชายของข้าคนนี้สามารถขับรถม้าได้ขอรับ” ลุงเหอชี้ไปที่ตัวของบุตรชาย “เช่นนั้นข้าจะจ้างพวกท่าน อีกสองวันให้บุตรชายของท่านมารอพบข้าที่นี่” ซุนหวางกำชับกับท่านลุงเหอแล้วจึงตกลงค่าจ้าง เมื่อแล้วเสร็จพวกเขาก็แยกย้ายกันไป ก่อนที่ซุนหวางจะลุกออกไปจากโต๊ะก็ได้มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหา และพวกมันมีท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจเป็นอย่างยิ่ง “แม่นางข้าได้ยินว่าท่านหารถม้าไปเมืองหน้าด่านหรือ ข้ายินดีให้แม่นางร่วมเดินทางไปด้วยนะ รับรองพวกข้าจะดูแลแม่นางอย่างดี ว่าอย่างไรแม่นางจะไปกับพวกข้าหรือไม่” ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าพูดเชิญชวนกึ่งบังคับ ทั้งยังใช้สายตาโลมเลียร่างบางอย่างจาบจ้วง “ไม่จำเป็นข้ามีรถไปแล้ว อีกอย่างข้าเป็นบุรุษไม่ใช่สตรีอย่างที่พวกท่านเข้าใจ” ซุนหวางตอบออกไปพลางคิด ถ้าบอกว่าเป็นบุรุษพวกผู้ชายเหล่านี้คงจะเลิกตอแยไปเอง “ใครสนกันล่ะว่าท่านจะเป็นบุรุษหรือสตรี ตราบใดที่ท่านยังสามารถทำให้พวกเรามีความสุขได้” ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ กลุ่มชายฉกรรจ์พากันหัวเราะครื้นเครงกับคำจาบจ้วงและถ้อยคำหยาบคายที่ตัวเองได้พ่นออกมา เสียงดังเกรียวกราวของคนกลุ่มนี้ได้สร้างความรำคาญให้กับบุรุษอีกหลายคนที่อยู่อีกโต๊ะ สิ่งที่เหล่าชายฉกรรจ์พูดออกมาพวกเขาล้านได้ยินมันทั้งหมด “ท่านแม่ทัพว่าอย่างไรขอรับ จะจัดการกับคนพวกนั้นหรือไม่ หนุ่มน้อยคนนั้นเห็นทีจะเจอกับเรื่องลำบากแน่แล้ว ข้าก็หลงคิดว่าเป็นสตรีมาตั้งนานที่แท้ก็เป็นบุรุษหรอกหรือ ขนาดเสียงยังไพเราะแล้วหน้าตาจะดูดีขนาดไหนนะ” “จงเหวินเจี๋ยเจ้ามีเมียแล้วจำได้หรือไม่” บุรุษอีกคนพูดสวนขึ้น “โธ่...กุนซือตวนหยางข้าแค่พูดเฉย ๆ น่า ไม่ได้คิดอย่างที่ท่านเข้าใจเสียหน่อย” “ว่าอย่างไรท่านแม่ทัพ เราจะทำยังไงกับพวกมันดี” ตวนหยางเอ่ยถามความคิดเห็นของสหาย “คอยติดตามอยู่ห่าง ๆ ก็พอ หากพวกมันลงมือเมื่อใดก็จัดการได้เลย” ‘หึ ๆ ๆ เป็นบุรุษหรอกหรือข้าก็เผลอหลงคิดว่าเป็นสตรี สงสัยสายตาการจำแนกคนของข้าจะเพี้ยนไปแล้วกระมัง’ แม่ทัพหนุ่มเผลอยิ้มเมื่อรู้ว่าคนที่ตนเองสนใจกลายเป็นหนุ่มน้อยหาใช่สตรี “ฮิฮิ ข้าคงได้ยืดเส้นยืดสายก็คราวนี้ ว่าแต่บุรุษหนุ่มน้อยสองคนจะไปทำอะไรที่เมืองหน้าด่านกันนะ” นายกองเหวินเจี๋ยกล่าวออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น กองทัพที่อยู่เมืองหน้าด่านเงียบเหงาจะตายหาศัตรูมารุกรานก็ไม่มี ซึ่งผิดกับชายแดนเขตอื่นที่สู้รบกันไม่เว้นแต่ละวัน คราวนี้แหละเขาจะได้ซ้อมมือกับพวกอันธพาลนี่เสียเลย เหวินเจี๋ยคาดหวังเอาไว้ในใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD