“คุณชายขอรับคุณชาย อยู่แถวนี้รึเปล่าขอรับ” เสี่ยวฟงเริ่มเป็นห่วงเมื่อคุณชายของเขาอาบน้ำนานเกินไปจึงได้เริ่มเรียกหา เมื่อครู่ก็เป็นกลุ่มของลุงเหอได้พากันมาอาบน้ำ คุณชายคงจะแอบไปหลบอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ แล้วไปหลบอยู่ที่ไหนนะเขามองหาจนทั่วแล้วแต่ไม่เจอ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณชายล่ะ ยิ่งคิดจิตใจของบ่าวตัวน้อยก็ยิ่งร้อนรน
“คุณชายออกมาได้แล้วขอรับ พวกเขาไปกันหมดแล้ว”
“อาฟง...ข้าอยู่นี่ กำลังจะขึ้นไปแล้ว” เสียงตอบรับของซุนหวาง ทำให้เสี่ยวฟงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“รีบขึ้นมานะขอรับ อย่านานนักเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”
“ท่านแม่ทัพข้าจะกลับขึ้นฝั่งแล้ว” ซุนหวางบอกพร้อมกับพยายามผละตัวออกจากอ้อมกอดของคนตัวโต
“เดี๋ยวก่อนสิ” ชิวหานหมุนร่างบางให้หันกลับมาหาตน เขาอยากจะมองหน้าคนตัวเล็กให้เห็นเต็มตาอีกครั้ง ใบหน้าที่เขาลืมไม่ลงตั้งแต่วันนั้น คงไม่ใช่แค่ใบหน้าที่งดงามกระมัง แต่รูปกายทุกสัดส่วนนั้นมีไว้เพื่อล่อลวงบุรุษโดยแท้ เหมือนเขาที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้
“มองหน้าข้า ซุนหวาง” มือใหญ่เชยคางเรียวงามให้เงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันที่ซุนหวางจะทันตั้งตัว ปากหนาก็ประทับลงที่ริมฝีปากบางเสียแล้ว ถูกจู่โจมอย่างรวดเร็วเช่นนี้คนตัวเล็กหวังจะอ้าปากทักท้วง แต่กลับเป็นการเปิดทางให้กับลิ้นร้อนของแม่ทัพหนุ่มได้ล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากบางอย่างง่ายดาย
อืมมมม...เสียงครางฮึมฮัมในลำคอของท่านแม่ทัพเป็นเครื่องบ่งบอกได้ว่าเขาพอใจอย่างยิ่ง คงยากที่จะหยุดแล้วตอนนี้ ความเอาแต่ใจของชิวหานทำให้ซุนหวางแทบจะหมดลมหายใจ ได้แต่ส่งเสียงประท้วงผ่านลำคอออกมา
ฮึกก...อื้ออออ มือเรียวบางพยามดันอกแกร่งเอาไว้แต่มันกับไร้สิ้นเรี่ยวแรง คนตัวเล็กแทบจะทรุดลงไปในน้ำแต่มือใหญ่ก็ตระกองกอดเอาไว้อย่างมั่นคงและแนบแน่น ทำให้ร่างกายของทั้งสองแนบชิดสนิทยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม้แต่ส่วนล่างก็ยังถูกหลอมรวมคล้ายกับเป็นร่างเดียวกัน ความรู้สึกที่กำลังถูกส่วนที่แข็งขึงดุนดันอยู่เบื้องล่างมันช่างร้อนรุ่ม น่าอายเหลือเกินที่ร่างกายของเขาตอบสนองต่อบุรุษเช่นนี้ ความเย็นของธารน้ำตกที่ว่าเย็นนักหนาไม่ได้ช่วยดับความร้อนให้จางหายไปได้เลย
อื้มมม...ชิวหานดูดดุนลิ้นเรียวเล็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยให้ริมฝีปากบางที่เริ่มบวมเจ่อเป็นอิสระ หากเขาไม่หยุดตอนนี้มันคงจะไม่ใช่แค่จูบอีกแล้ว ช่างยากเย็นแสนเข็ญที่จะหักห้ามใจ ทั้งเสียงลมหายใจที่หอบกระชั้นถี่บวกกับริมฝีปากอันบวมเจ่อ ยิ่งทำให้คนตัวเล็กดูยั่วยวนเสียนี่กระไร ‘คนงาม...เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเจ้าน่ารังแกแค่ไหน’ แม่ทัพหนุ่มรำพึงถามในใจ
“ไม่เคยจูบหรือ” ชิวหานกระซิบถามหลังจากข่มอารมณ์พรุ่งพล่านของตนได้ประมาณหนึ่ง
“มะ...ไม่” ซุนหวางตอบตะกุกตะกักเพราะยังรู้สึกใจสั่นกับจูบเมื่อครู่ไม่หาย ทั้งหัวใจก็เต้นแรงแทบจะทะลุออกมาจากอกอยู่แล้ว
“แล้วรู้สึกดีหรือไม่”
“ขะ...ข้าก็ไม่รู้ มันแปลก ๆ ตรงนี้ และเหมือนว่าข้ากำลังจะเป็นไข้” ซุนหวางตอบคนตัวโตอย่างใสซื่อ พร้อมกับวางมือไว้ที่อกข้างซ้ายของตัวเอง
“หึ ๆ ๆ ข้าเองก็รู้สึกแปลก ๆ ตรงนี้เช่นกัน” แม่ทัพหนุ่มจับมือบางมาประทับที่อกข้างซ้ายมันเต้นอย่างรุนแรงเหมือนของเขาเลย หรือว่าท่านแม่ทัพเองก็ป่วยเหมือนกันคนตัวเล็กคิดได้แค่นี้ เพราะไม่เคยประสีประสากับเรื่องเช่นนี้มาก่อน เพราะวัน ๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำราศึกษาแค่เรื่องสมุนไพรและอาการเจ็บป่วยของตัวเอง
“หัวใจของข้าที่เป็นแบบนี้มันเกิดขึ้นเพราะเจ้า อย่าให้ใครได้เห็นร่างกายนี้และห้ามให้ใครแตะเนื้อต้องตัวเป็นอันขาด เจ้าเป็นของข้าแล้ว เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวซุนหวาง”
“.........” ซุนหวางยังนิ่งเพราะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของท่านแม่ทัพ
“ขึ้นจากน้ำได้แล้วล่ะ หรือจะให้ข้าขึ้นไปส่งเจ้าดีไหม” ชิวหานเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะไม่อยากให้คนตัวเล็กสงสัยและถามสิ่งใดอีก หลังจากเอ่ยอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของแล้วเขาก็ไม่เปิดโอกาสให้คนงามปฏิเสธได้เลย
“ขะ...ข้าจะไปเองท่านแม่ทัพไม่ต้องส่ง ปล่อยข้าได้แล้วขอรับ” ซุนหวางตอบตะกุกตะกัก ‘บ้า! จะให้ขึ้นไปส่งได้อย่างไรทั้งที่ตัวล่อนจ้อนอย่างนั้น’ คิดได้อย่างนั้นใบหน้าของซุนหวางก็เห่อร้อนขึ้นอีกครั้ง
ชิวหานปล่อยซุนหวางไปอย่างไม่เต็มใจนัก ร่างที่บอบบางทั้งยังสัมผัสนุ่มลื่นนั่น หากได้กอดเช่นนี้ทุกวันมันจะดีสักแค่ไหนกันนะ พอถึงหูเจียงแล้วยากนักที่จะได้เจอกันทุกวันเช่นนี้ ชิวหานมองตามร่างบอบบางที่กำลังเดินห่างออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
“คุณชายไปหลบอยู่ที่ไหนมาขอรับ” ทันทีที่ซุนหวางก้าวขึ้นจากน้ำ ผ้าผืนใหญ่ที่เสี่ยวฟงนำมาด้วยถูกนำมาคลุมร่างที่เปียกชื้นของเจ้านายเอาไว้อย่างมิดชิด
“ข้าไปหลบอยู่ทางโน้นมาจึงไม่รู้ว่าพวกเขาขึ้นจากน้ำไปแล้ว ขอโทษนะที่ทำให้เจ้าเป็นห่วง” ‘ขอโทษนะเสี่ยวฟง ขอโทษที่ต้องโกหกเจ้า’
“ข้าเป็นห่วงเพราะคุณชายเพิ่งจะหายดี หากแช่น้ำนานเกินไปจะทำให้เป็นไข้เอาได้นะขอรับ แล้วนั่น! ปากไปโดนอะไรมาขอรับ”
“เอ่อ...” ซุนหวางไม่รู้จะตอบเสี่ยวฟงอย่างไรดีจึงได้แต่ไล้นิ้วมือที่ริมฝีปากตัวเองไปมา
“ระวังหน่อยนะขอรับ ผิวของคุณชายยิ่งบอบบางอยู่”
“อืม...อาฟงไปอาบน้ำเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้”
“อย่าเดินไปไหนนะขอรับข้าจะรีบมา” เสี่ยวฟงยังไม่วายกำชับเจ้านายก่อนจะเดินลงน้ำไป
บ่าวตัวน้อยเดินลงน้ำไปแล้วซุนหวางยังคงถูกคลุมเอาไว้อย่างมิดชิดด้วยผ้าผืนใหญ่เช่นเดิม
“ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุด”
“ท่านแม่ทัพ! เอ่อ...ข้าจะไปเปลี่ยนที่รถม้าขอรับ” ซุนหวางจำเสียงนี้ได้เขาจึงตอบโดยไม่หันไปมองหน้าของคนผู้นั้น แต่ใบหน้ากลับเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง เพราะความรู้สึกที่ถูกสัมผัสตอนนั้นยังไม่ทันจะจางหายไปเลยด้วยซ้ำ
“เปลี่ยนตรงนี้แหละข้าจะถือผ้าคลุมให้”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่ หรือจะให้ข้าเปลี่ยนชุดให้ก็ได้นะ”
“ไม่ ไม่...ข้าจะเปลี่ยนเอง ห้ามมองนะขอรับ”
“หึ ๆ ไม่ห้ามช้าไปหน่อยหรือ ข้าเห็นและได้สัมผัสมาหมดแล้ว”
“ท่านแม่ทัพ!” ‘ทำไมต้องพูดถึงเรื่องนั้นด้วยนะและยังจะมาบังคับอีก ก็ตอนนั้นอยู่ในน้ำนี่มันมองเห็นที่ไหนกันล่ะ’ ซุนหวางได้แต่หน้ามุ่ยใส่ แต่กว่าที่เขาจะใส่เสื้อผ้าเสร็จมือไม้ก็สั่นจับผิดจับถูกไปหมด จนคนที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกรำคาญตา ชิวหานจึงจับคนงามมายืนอยู่ต่อหน้าแล้วแต่งตัวให้ใหม่อย่างรวดเร็ว แม้แต่เสี่ยวฟงยังแต่งตัวได้ไม่ไวเท่านี้เลย
“เคยใส่เสื้อผ้าเองบ้างหรือไม่หื้ม”
“คะ…เคยสิขอรับ ข้าโตแล้วนะ” ‘ก็เป็นเพราะท่านนั่นแหละจะมองทำไมนักหนา ฮื่อออ...’
“โตแล้วสินะ จำคำพูดของเจ้าเอาไว้ล่ะคนงาม”
คนอย่างแม่ทัพชิวหานนะหรือยังต้องคิดหาวิธีหลอกล่อหนุ่มน้อยให้ติดกับ ดู ๆ ไปแล้วการแต่งตัวของซุนหวางก็ไม่ได้แย่เท่าใดนักแต่ท่านแม่ทัพเองต่างหากที่คิดอยากจะช่วย ช่างเป็นบุรุษที่มีน้ำใจเสียเหลือเกิน
“อ่ะ...เสี่ยวฟงมาแล้ว เอ๊ะ! ท่าน...ไปไหนแล้วล่ะ ไปไวมาไวจริง ๆ” ซุนหวางพึมพำพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาคนตัวโตที่ยังยืนอยู่เมื่อครู่นี้ แต่กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“คุณชายแต่งตัวเสร็จแล้วหรือขอรับ ไยไม่รอไปแต่งตัวที่รถม้าขอรับ ที่นี่อันตรายจะตาย”
“ข้าหนาวน่ะ คงไม่มีใครเห็นหรอกเรากลับกันเถอะ”
“อย่างไรก็อันตรายอยู่ดีนะขอรับ” ‘คุณชายนะคุณชาย น่าตีจริง ๆ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าร่างกายของตัวเองไม่เหมือนกับบุรุษสักนิด’ เสี่ยวฟงแอบบ่นให้เจ้านาย
สองนายบ่าวเดินคุยกันออกไปจากธารน้ำตกโดยมีอีกหนึ่งเงาคอยติดตามอยู่ไม่ห่าง สองเด็กหนุ่มที่เขาคิดว่ายังอ่อนต่อโลก แต่ทำไมคนของเขาถึงไม่สามารถสืบเสาะค้นหาที่มาที่ไปได้เลย แม้แต่ตระกูลซุนที่เขาสงสัยก็มีบุตรชายเพียงคนเดียว อีกคนนั้นได้เสียชีวิตตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว... แล้วซุนหวางล่ะเป็นใครมาจากไหนกันแน่ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกเบาใจที่คนงามของเขาไม่ใช่คนของตระกูลซุน
ยามซวี... [ยามซวี 19.00-20.59 น.]
หลังจากทานมื้อค่ำกันเรียบร้อยแล้ว คนส่วนมากต่างพากันหลับใหล คงจะมีไม่กี่คนที่ยังไม่ยอมหลับนอนรวมถึงซุนหวางด้วย
“อาฟง หลับหรือยัง”
“คุณชายยังไม่หลับอาฟงจะหลับได้อย่างไรขอรับ ทำไมถึงยังไม่นอนขอรับ”
“อาฟง เจ้าเคยมีความรักหรือไม่” ซุนหวางยังคงถามต่อไม่ได้สนใจที่อาฟงพูดหรือถามสักนิด
“ฮิฮิ ทำไมถึงได้ถามอย่างนั้นขอรับ ข้าก็อยู่กับคุณชายตลอดเวลา จะไปมีความรักตอนไหนกันล่ะ”
“ความรักมันเป็นเช่นไรหรือ แล้วบุรุษจะรักกันได้หรือไม่อาฟง” ซุนหวางยังถามต่อ เหมือนไม่ยินสิ่งที่เสี่ยวฟงถามหรือพูด
“คุณชาย! คุณชายไปเจออะไรมาวันนี้ ทำไมถึงได้ถามแปลก ๆ ขอรับ”
“แล้วหากคนผู้นั้นรักข้าจากใจจริง เขาจะมองข้ามสิ่งที่ข้าเป็นอยู่ได้หรือไม่” ซุนหวางยังถามไปเรื่อยเหมือนคนเพ้อ
“บุรุษ คุณชายหมายถึงใคร ใช่ท่านแม่ทัพชิวหานหรือไม่ขอรับ”
“..........” เงียบ/ซุนหวาง
“เป็นท่านแม่ทัพจริง ๆ สินะ โธ่...คุณชาย ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพจะคิดอย่างไรหากรู้ว่าคุณชายคือ... แต่ระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ดีนะขอรับ”
“อืม...ข้าจะระวังตัว ไปถึงหูเจียงคงยากแล้วที่จะได้พบเจอ อีกแค่สองวันเราก็ต้องแยกจากกันแล้ว” คราวนี้ซุนหวางไม่ได้เมินสิ่งที่เสี่ยวฟงตักเตือน
“แล้วความรู้สึกของคุณชายที่มีต่อท่านแม่ทัพล่ะขอรับ”
“ความรู้สึกของข้าหรือ…ไม่รู้สิ เพียงคิดเห็นหน้าใจของข้าก็เต้นแรงมากเลย มันหมายความว่าอย่างไร? ความรู้สึกแบบนั้น เพราะข้าไม่เคยเป็นมาก่อน”
‘แย่แล้ว...คุณชายของอาฟงแย่แล้ว มีความรักยังไม่รู้ตัวอีก ช่างน่าสงสาร แล้วหากท่านแม่ทัพรู้เรื่องนั้น...คุณชายของข้าจะไม่แย่ไปกว่านี้หรือ’ เสี่ยงฟงรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาทันที เขากลัวเหลือเกินว่าคุณชายของเขาจะพบกับความเสียใจอีก
อีกที่หนึ่งไม่ได้ไกลจากรถม้าเลย...
“คิดอะไรอยู่หรือท่านแม่ทัพ ท่านควรจะนอนพักบ้างนะ ทหารเฝ้ายามก็เยอะแยะ ไม่ต้องคอยเฝ้าจับตาดูตลอดเวลาขนาดนั้นหรอก หากไปถึงหูเจียงแล้วท่านจะทำเช่นไร รวบรัดไปเลยไม่ดีกว่าหรือยังเหลือเวลาอีกตั้งสองวัน สำหรับแม่ทัพชิวหาน คงจะไม่เหนือบ่ากว่าแรงกระมัง”
“ตวนหยาง! อย่าได้พูดเช่นนั้น สำหรับซุนหวางข้าไม่ได้คิดแค่เล่น ๆ ข้าจริงจัง”
“แต่เขาเป็นบุรุษ ท่านไม่คิดจะมีทายาทหรืออย่างไร”
“ไม่…ข้าไม่ชอบเด็ก เป็นซุนหวางน่ะดีแล้ว”
“ที่ชอบเพราะเขารูปงามหรือเป็นเพราะเขามีบุตรไม่ได้ล่ะ งั้นข้าสรุปเอาก็ได้ คงจะเป็นทั้งสองอย่างสินะ กี่ปีมาแล้วเจ้าควรจะลืมเรื่องในอดีตเสีย อย่าลืมสิว่ายังมีท่านอาที่ยังรักและใส่ใจเจ้าอยู่”
“อืม...ข้ารู้แล้วน่าตวนหยาง” ชิวหานยอมรับกับทุกข้อที่สหายกล่าวมา และสิ่งที่ตวนหยางพูดมันทำให้เขาคิดถึงอดีตที่เลวร้ายและยากจะลืมเกี่ยวกับสตรีร้ายกาจคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
อดีตของแม่ทัพชิวหาน... ใครเลยไปจะคิดว่าบุรุษที่เพียบพร้อมเช่นเขาจะเป็นแค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่มีท่านอาผู้ชายเพียงคนเดียวคอยอุ้มชูมาตั้งแต่ยังแบเบาะ บิดาของเขาคือท่านแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเจียงนามชิวฮาน ชิวฮานคือบุรุษผู้อุทิศตนให้กับกองทัพจนวาระสุดท้ายของชีวิตและได้ทิ้งเด็กน้อยแรกเกิดไว้เบื้องหลัง ส่วนนามของมารดานั้นเขาไม่อยากจะพูดถึงให้เจ็บช้ำเพราะนางได้หายตัวไปพร้อมกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ท่านพ่อสะสมเอาไว้ หากท่านอาของเขาไม่มาพบเข้าชีวิตของชิวหานผู้นี้จะเป็นเช่นไรยังไม่รู้เลย สตรีที่ไร้ซึ่งความรักแถมยังตั้งใจจะมีลูกเพื่อหวังบางสิ่งบางอย่าง เขาไม่ต้องการหรอก
ตอนเช้าก่อนจะออกเดินทางสู่เมืองหูเจียง...
“คุณชายน้อยท่านจะไปอยู่หมู่บ้านตีนเขากับพวกข้าจริงหรือขอรับ มันไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในเมืองนะ”
“ท่านลุงเหอ อย่าห่วงไปเลย ข้ากับเสี่ยวฟงไม่ได้ชอบความสะดวกสบายหรอกนะ เราาชอบความสงบมากกว่า ท่านลุงพอจะมีที่ทางแนะนำให้ข้าบ้างหรือไม่” ซุนหวางคิดมาดีแล้ว การได้อยู่ห่างไกลจากผู้คนนั่นย่อมปลอดภัยที่สุดสำหรับเขากับอาฟง
“จะว่ามีมันก็มีอยู่นะ แต่คุณชายน้อยจะต้องไปดูเองขอรับ”
พูดคุยกันมาได้สักพัก ซุนหวางถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงท่านลุงเหอเป็นถึงผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านตีนเขานี่เอง โชคดีอะไรเช่นนี้ การอาศัยอยู่หมู่บ้านตีนเขาคงจะไม่ยุ่งยากนัก อย่างน้อยก็มีท่านลุงเหอและยังมีพี่เหอเชียน กระทั่งกลุ่มคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน ทุกคนต่างก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และเมื่อใดที่ไปถึงหมู่บ้านตีนเขา หากมีผู้คนสงสัย ซุนหวางจะขอให้ลุงเหอบอกกับชาวบ้านว่าเขาเป็นคนป่วย ที่ย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้ก็เพื่อจะมาพักรักษาตัว เพราะเขาอยากจะอยู่อย่างสงบไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย
ลุงเหอก็รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะและรู้สึกเห็นใจซุนหวางจริง ๆ ‘คุณชายน้อยคงจะเบื่อเมืองหลวงจริง ๆ กระมัง ทั้งอาการเจ็บป่วยก็คงจะเป็นเรื่องจริง ตลอดการเดินทางมาด้วยกันคุณชายน้อยผู้นี้ก็ไม่เคยออกมารับลมรับแดดเลยสักครั้ง อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน’ ท่านลุงเหอคิดพลางมองซุนหวางอย่างเห็นใจ
เมื่อการเดินทางได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ซุนหวางก็เอาแต่หลบหน้าจากท่านแม่ทัพชิวหาน แม้แต่มื้อกลางวันยังไม่ยอมออกมาจากรถม้ารวมถึงมื้อเย็นด้วย พอถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง ชิวหานเริ่มจะทนไม่ไหว เขาเห็นแล้วว่าซุนหวางไม่ได้ป่วยจริงแต่จงใจจะหลบหน้าเท่านั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ซุนหวางเป็นอะไรไป เจ้าคงไม่ได้ป่วยไข้หรอกใช่ไหม จะยอมพูดคุยกับข้าได้หรือไม่”
“ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับท่านแม่ทัพหรอก”
“แต่ข้ามี”
“.........” เงียบ
“โกรธเคืองข้าหรือ”
“ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้โกรธ”
“เช่นนั้นก็เปิดผ้าม่านแล้วมาคุยกันดี ๆ”
พรึ่บ!
“จะไปอยู่ที่หมู่บ้านตีนเขาจริงหรือ ข้ามีจวนอยู่ในเมืองหูเจียงเจ้าไปอยู่ที่นั่นก็ได้ คนรับใช้ที่จวนก็มีเยอะแยะมากมาย”
“ข้าไม่ชอบในเมืองข้าอยากไปอยู่ที่หมู่บ้านตีนเขาจริงๆ นะขอรับ”
“ดื้อ...เช่นนั้นข้าจะเดินทางไปกับเจ้าด้วย”
“ท่านจะไปทำไมขอรับ”
“ไปตรวจสอบดูความปลอดภัย หากที่นั่นไม่ดีพอข้าจะไม่ให้เจ้าอยู่” เป็นคำตอบที่เด็ดขาดทำเอาซุนหวางพูดไม่ออก
‘ใครจะไปไว้ใจให้บุรุษร่างเล็กสองคนไปอยู่หมู่บ้านตีนเขาที่เต็มไปด้วยพรานป่าเช่นนั้นได้ล่ะ อย่างน้อย ๆ เขาจะต้องทำให้ทุกคนในหมู่บ้านนั้นได้รู้ได้เห็นว่าซุนหวางมีคนอย่างแม่ทัพชิวหานคอยดูแลและปกป้องอยู่’ นี่คือสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มคิดและอยากบอกให้ซุนหวางรู้