ในความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางเงาดำที่แผ่ขยายไปทุกทิศทาง ราวกับว่าความว่างเปล่าได้กลืนกินทุกสิ่ง
รอบกายของเขาคือแอ่งน้ำสีดำสนิท เงาสะท้อนของมันไม่ใช่ใบหน้าของเขาเอง แต่กลับเป็นความว่างเปล่าที่ไร้ตัวตน
ทุกอย่างเงียบงันจนดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดลง ความเย็นเยือกของบรรยากาศรอบตัวแทรกซึมลึกลงไปในไขกระดูก หนาวจนแสบซ่าน—
ทรมานจนหัวใจของเขาเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
จากเงามืดนั้น เสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายลมหายใจแผ่วดังขึ้น
มันไม่ใช่เสียงจากที่ไกลโพ้น แต่เหมือนเป็นเสียงในหัวของเขาเอง เสียงที่กัดกร่อนจิตใจด้วยคำถามที่เขาไม่อยากได้ยิน
“ยังมีสัญญาที่ยังทำไม่สำเร็จ เจ้าจะยอมแพ้แล้วงั้นหรือ?”
เขาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปตามเสียงนั้น และพบ…ตัวเอง ตัวเขาที่ดูแตกต่าง
ร่างนั้นผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาลึกโหลจนเหมือนเบ้าตาถูกกลืนหายไปในความมืด
ทว่าภายใต้ความเหนื่อยล้าเหล่านั้น แววตาของร่างนั้นกลับแน่วแน่ ราวกับก้อนหินที่ไม่อาจถูกทำลาย
เมื่อเขาหันมองรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจหล่นวูบ ตัวเขา…
ตัวเขาอีกหลายสิบคนยืนล้อมรอบ ทุกสายตาจับจ้องมายังเขา
บางร่างดูมั่นคงและสง่างาม ดุจผู้นำที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบในชุดเกราะเงินเปล่งประกาย
บางร่างกลับคล้ายเงาที่มืดมิด สวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่ยังเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
หนึ่งในนั้นส่งเสียงก้องออกมา เสียงนั้นหนักแน่นจนแผ่สะท้อนในอากาศ
“พวกเรายังมีสัญญาที่ยังทำไว้ไม่สำเร็จ จะทิ้งมันไปงั้นหรือ?”
เสียงนั้นดังมาจากตัวเขาในชุดผ้าคลุมสีแดงสด ดวงตาของร่างนั้นเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นเหมือนเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ ท่าทางของชายคนนั้น ราวกับแม่ทัพผู้ยืนหยัดท่ามกลางสมรภูมิที่ลุกเป็นไฟ
แรงกดดันรอบตัวเริ่มหนักหน่วงขึ้น มันเหมือนกับกำแพงล่องหนที่บีบอัดเขาจนแทบหายใจไม่ออก
เสียงกระซิบจากร่างอื่นๆ ดังขึ้นพร้อมกัน ดังก้องอยู่ในหัวของเขาเหมือนเสียงสะท้อนที่ไม่มีวันสิ้นสุด
“เจ้าคิดจะหนีไปหรือ? หนีจากความรับผิดชอบ หนีจากคำสัญญา?”
เขาพยายามถอยหลัง แต่ขาของเขากลับถูกตรึงแน่นราวกับถูกตะปูตรึงไว้บนพื้น
เงาสะท้อนในแอ่งน้ำเริ่มบิดเบือน กลายเป็นภาพของผู้คนที่เขาไม่รู้จัก
แต่ละคนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังและความสิ้นหวัง เสียงตะโกนก้องดังขึ้นจากร่างหนึ่งที่ปรากฏตรงหน้า
ร่างนั้นสูงโปร่ง สวมชุดเปื้อนฝุ่นและเลือดจากการต่อสู้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลและความเหนื่อยล้า
“ยังมีชีวิตอีกมากที่รอการช่วยเหลือ เจ้าจะทิ้งพวกเขาไปจริงๆ หรือ?”
เสียงนั้นเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของเขา ทุกคำพูดสะท้อนก้องในจิตใจอย่างหนักหน่วง
ความรู้สุกบางอย่างเริ่มกัดกินร่างกายและจิตวิญญาณของเขา น้ำตาของชายหนุ่มเริ่มไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว เขากัดฟัน พยายามบอกตัวเองให้ตัวเองขยับ แต่เสียงเหล่านั้นยังคงดังต่อเนื่อง
“เดินต่อไป เจ้าจะหยุดไม่ได้! ทุกชีวิต ทุกคำสัญญา ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าต้องรับผิดชอบ”
เสียงนี้มาจากตัวเขาอีกคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมสีเทายาวถึงพื้น
น้ำเสียงของชายคนนั้นดูดุดันเหมือนพายุที่โหมกระหน่ำ ความกดดันที่ท่วมท้นเริ่มเปลี่ยนเป็นแรงผลักดัน ชายหนุ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่เสียงเหล่านั้นกลับปลุกให้เขายังคงต้องเดินต่อไป
“เจ้าจะหยุดไม่ได้! เดินต่อไป”
เสียงสุดท้ายดังขึ้นจากร่างที่สง่างามที่สุดในกลุ่ม ตัวเขาในร่างที่ดูมีพลังเกินกว่าทุกร่างที่เขาเคยเห็น ผ้าคลุมสีแดงปลิวสะบัด ดวงตาของมันเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่มีวันพ่ายแพ้
ร่างนั้นยกมือขึ้นชี้มาที่เขา เหมือนแม่ทัพที่ออกคำสั่งให้กองทัพบุกไปข้างหน้า
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสน คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในหัว ความหวาดกลัวที่เขาไม่อาจสลัดออก ความเจ็บปวดจากสายตาเหล่านั้นที่คาดหวังในตัวเขาอย่างหนักหน่วง
“ทำไมต้องเป็นฉัน?” ชายหนุ่มพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือ ความกดดันมหาศาลจากตัวตนเหล่านั้นทำให้เขาทรุดลงคุกเข่ากับพื้น แอ่งน้ำสีดำสะท้อนภาพเขาที่ดูอ่อนแอจนแทบไม่เหลือพลัง
“ฉันไม่เคยสัญญาอะไรพวกนั้นเลย… ทำไมกัน…”
เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ในความเงียบงันนั้นกลับชัดเจนราวกับเสียงสะท้อนที่ก้องไปทั่วพื้นที่ ความคิดของเขาพลุ่งพล่าน
ทำไมต้องเป็นเขา? ทำไมต้องแบกรับสิ่งที่เขาไม่เคยสัญญา? เขาไม่ได้เลือกที่จะอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้เลือกที่จะรับฟังเสียงเหล่านี้ ดวงตาของเขาค่อยๆหยุดนิ่ง ความสับสนในใจแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะมืดดับลง
ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือกำแพงหินเย็นเฉียบและซี่กรงเหล็กที่ปิดกั้นเขาจากอิสรภาพ กลิ่นอับชื้นเหม็นเน่าคลุ้งอยู่ในอากาศจนแทบทำให้เขาสำลัก
ความมืดในคุกนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งรอบตัวกำลังบีบคั้นให้เขาหายใจไม่ออก บรรยากาศเงียบงันเหมือนความตาย ทุกอย่างรอบตัวชวนให้รู้สึกถึงความสิ้นหวัง แต่ไม่ใช่แค่ความเงียบที่เขารู้สึก...
เสียงฝันร้ายยังคงก้องอยู่ในหัวของเขาอย่างไม่ยอมหยุด ความเจ็บปวดจากการโจมตีก่อนหน้า แล่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกแสบไปทั่วทั้งตัว เขาต้องกัดฟันแน่นเพื่อกลั้นความเจ็บนั้น
“ให้ตายสิ…อีกแล้วเหรอวะ…”
เสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากลำคอ ดวงตาคมกริบฉายแววหงุดหงิดปนสับสน เขาขบกรามแน่น นึกถึงสิ่งที่เห็นในความฝันเมื่อครู่ มันชัดเจนจนเหมือนจริงเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่ดี
“ต้องการจะบอกอะไรกันแน่? ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด…”
เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมัวแฝงด้วยความไม่เข้าใจ ฝันแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และมันก็ไม่เคยปล่อยให้เขาสบายใจ เพราะทุกครั้งที่ฝัน มันมักจะเกิดขึ้นในตอนที่เขาพลาดท่า หรือ เฉียดใกล้ความตาย ราวกับฝันนั้นมีไว้เพื่อย้ำเตือนถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
เขาถอนหายใจยาว สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความโกรธและความกระวนกระวายในใจ สายตาเหลือบไปยังแสงเล็กๆ ที่ลอดผ่านลูกกรง มันไม่ได้ช่วยให้เขาคลายความอึดอัดในอก แต่มันก็ย้ำเตือนว่าเวลาไม่ได้หยุดเดิน และเขาเองก็ไม่มีเวลาจะจมอยู่กับคำถามที่ไม่มีคำตอบอีกต่อไป
มือที่ถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกกดทับ กุญแจมือนั้นรัดแน่นจนขยับแทบไม่ได้ แม้จะพยายามดิ้นรน แต่ยิ่งขยับก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังที่เหลืออยู่น้อยลงไปเรื่อยๆ ความอ่อนล้าจากบาดแผลและความเจ็บปวดเหมือนจะกดเขาให้จมลง
เขาเอนหลังพิงกำแพงหินเย็นเฉียบ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก ชายหนุ่มไม่ได้ขยับตัว แต่ดวงตาเริ่มจับจ้องไปยังทิศทางของเสียง รอคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความเงียบงัน