ภายในห้องทำงานแผนกสืบสวนของกิลด์นักผจญภัย ความเงียบอันแผ่ปกคลุมบรรยากาศทั่วทั้งห้อง แม้แสงอาทิตย์จะส่องลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย เงาไม้ สลับกับ แสงสลัวของห้อง สร้างความรู้สึกกดดันและขัดแย้งกับความสงบที่ควรมี เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากมุมห้อง ขุนนางร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีดุดันราวกับจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า น้ำเสียงดุดันของเขาก้องกังวาน ดั่งพายุที่พร้อมจะถาโถมลงมา
“นี่พวกแกทำอะไรกันอยู่!!” เสียงเขาดังลั่นเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวน ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของผู้จัดการแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย มือกำหมัดแน่นเพื่อระงับความหวาดกลัวที่ตีตื้นขึ้นมา
“ขออภัยจริงๆ ครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด…” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุภาพ ในแววตาของเขามีแต่ความวิตกกังวล
ขุนนางชายหันขวับมามองด้วยแววตาเย็นชา ร่างของเขาสูงใหญ่ และ ทรงอำนาจราวกับจะบดขยี้ชายเบื้องหน้าด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว
“พยายาม? พวกแกเรียกว่าพยายามงั้นหรือ?” เขากระแทกเสียงอย่างเกรี้ยวกราด
“ลูกชายข้าหายตัวไปเป็นสิบวันแล้ว แต่พวกแกยังทำอะไรไม่ได้เลย พวกแกไร้ความสามารถขนาดนี้เลยงั้นเหรอ!!”
บรรยากาศรอบตัวราวกับเย็นเฉียบไปทุกอณู ผู้จัดการพยายามสูดลมหายใจให้ใจเย็น เขากำลังพยายามคิดหาข้อแก้ตัวจากสถานการที่อยู่ตรงหน้า ด้านหลังของขุนนาง ร่างของสตรีผู้หนึ่งค่อยๆก้าวออกมา เธอคือภรรยาของขุนนาง ใบหน้าซีดขาวของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเศร้าสร้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองสามี แววตาของเธอแฝงไปด้วยความกังวลที่ซ่อนเร้นแต่ยังพยายามกลั้นน้ำตาไว้
“ที่รัก…” เธอเรียกเบาๆ พลางเอื้อมมือแตะแขนสามีอย่างแผ่วเบา
“ใจเย็นๆ เถอะค่ะ เราต้องเชื่อว่าลูกเรายังปลอดภัย และคนพวกนี้…พวกเขากำลังพยายามสุดความสามารถนะคะ”
ขุนนางชายหันขวับไปมองภรรยาด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่เมื่อมองลึกเข้าไป จะเห็นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แม้แต่ผู้มีอำนาจอย่างเขา ก็ไม่อาจซ่อนความเจ็บปวดที่บีบคั้นในใจ
ขุนนางชายสูดลมหายใจลึก ข่มความเศร้าไว้ในใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนีภรรยาด้วยความหงุดหงิดที่เก็บซ่อนไว้ เขากำหมัดแน่นและตะโกนเสียงดังที่เปี่ยมไปด้วยความกราดเกรี้ยวราวกับสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
“จะให้ข้าใจเย็นยังไง!! ลูกเราเป็นถึงความหวังเดียวของตระกูล หากเขาเป็นอะไรไป...!” น้ำเสียงของเขาขาดหาย ดวงตาเริ่มสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดจนเขาต้องเบนสายตาไปจากภรรยา เธอเอื้อมมือขึ้นมาแตะแขนเขาอีกครั้งอย่างอ่อนโยน แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความเศร้าโศกในหัวใจเขาได้
ผู้จัดการแผนกสืบสวนมองภาพตรงหน้าอย่างกดดัน เขายืนแข็งทื่อไม่กล้าขยับตัว แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกกระสับกระส่าย ความเงียบที่อึดอัดดำเนินอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่ขุนนางชายจะตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน
“ข้าให้เวลาแค่สามวัน! แค่สามวัน ลูกชายข้าต้องกลับมา! ถ้าพวกแกทำไม่ได้…” เขาหยุดคำพูดไว้ตรงนั้น แต่ความหมายในน้ำเสียงนั้นชัดเจนพอที่ผู้จัดการจะเข้าใจ เขาก้มศีรษะลงต่ำด้วยความกลัว ก่อนจะตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบาที่สั่นไหว
“เข้าใจแล้วครับ…ท่านขุนนาง ผม…ผมจะทำทุกวิถีทาง…”
ขุนนางชายมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันไปหาภรรยาและพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้เธอออกไปจากห้องพร้อมกัน ภรรยาของเขาหันมามองผู้จัดการแผนกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร แต่เธอไม่สามารถกล่าวคำใดได้และเลือกที่จะเดินตามสามีออกไปอย่างเงียบ ๆ
เสียงประตูกระแทกปิดดัง ปัง! เมื่อทั้งสองเดินออกไป ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องก็เหมือนหยุดนิ่ง ทุกคนในห้องพากันสะดุ้งด้วยความตกใจ และต่างยืนเงียบไม่กล้าสบตาผู้จัดการ
ผู้จัดการแผนกสืบสวนยืนนิ่งสักครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆสูดลมหายใจ และ ปล่อยออกมาเฮือกใหญ่ราวกับแบกรับภาระหนักอึ้งไว้ เขาหันไปมองลูกน้องในห้องอย่างเคร่งขรึม แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความกดดันที่ก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ทั้งหลาย!” เขาตะโกนออกมาเสียงดังก้องพลางทุบโต๊ะอย่างแรงจนเอกสารบนโต๊ะกระจัดกระจาย
“พวกแกทำอะไรอยู่ถึงหาอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง! แค่ตามหาเด็กคนเดียว แค่นี้พวกแกก็ทำไม่ได้!?”
ลูกน้องที่ยืนอยู่รอบๆ ก้มหน้างุดกันถ้วนหน้า ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใด ท่ามกลางความกดดันที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุด ก็ค่อยๆก้าวออกมาข้างหน้า ใบหน้าของเขาซีดเผือดแต่พยายามเก็บอาการตื่นตระหนก
“พ่อ…เอ่อ…ผู้จัดการครับ แล้ว…เราจะทำยังไงดี?”
ผู้จัดการแผนกหันขวับไปมองลูกชายของตน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและขุ่นเคืองที่ซ่อนไม่อยู่
“ทำยังไงดีงั้นเหรอ? งานนี้พวกเราซวยกันหมดแล้ว!”
ผู้จัดการแผนกขบกรามแน่น ก่อนจะหันไปสบถเสียงต่ำกับลูกชายอย่างหงุดหงิด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆเขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังวางแผน ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
"พวกเราต้องหาทางจบเรื่องนี้ให้ได้...ไม่อย่างนั้นตระกูลของเราจะต้องล่มสลายแน่!" เขาพูดพลางหันไปมองลูกชายที่ยืนเครียดอยู่ข้างๆ
ลูกชายของเขาได้ยินเช่นนั้น ก็พลันขบคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว ใบหน้าของเขาคลายความกังวลลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
"พ่อ ผมว่ามีวิธีที่จะช่วยเรารอดแล้วล่ะ"
ผู้จัดการแผนกหันมามองลูกชายด้วยความประหลาดใจ "ว่าไงนะ? แกคิดแผนอะไรได้งั้นเหรอ?"
เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์
"ง่ายมากครับ...ก็แค่ปล่อยให้ไอ้หมอนั่นมาจัดการเรื่องนี้ต่อ แค่ดึงมันเข้ามาก็สิ้นเรื่อง!" เขาพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความสะใจ
ผู้จัดการแผนกเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "แกหมายถึงไอ้หนุ่มที่แกเคยกันไม่ให้รับงานน่ะเหรอ?"
ลูกชายพยักหน้า ดวงตาเปล่งประกายวาววับ "ใช่ครับพ่อ! ตอนนั้นผมกันมันไว้เพราะไม่อยากให้มันเลื่อนตำแหน่งเร็วไป แต่นี่ล่ะคือโอกาสของเรา! ถ้าพรุ่งนี้เช้าผมยกคดีนี้ให้มันทำต่อ ก็ไม่มีทางที่มันจะปิดคดีได้ทันแน่นอน...รับรองว่ามันจะโดนขุนนางลงโทษ จนต้องออกจากงานแน่ๆ!"
ผู้จัดการแผนกครุ่นคิดครู่หนึ่ง แววตาครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยความโล่งใจ เขาค่อยๆยิ้มออกมา ก่อนจะหัวเราะเบาๆด้วยความสะใจในแผนการของลูกชาย
"ไอ้ลูกรัก! ไม่เสียแรงจริงๆที่เป็นลูกข้า!" เขากล่าวพร้อมกับลูบหัวลูกชายด้วยความภูมิใจ
เด็กหนุ่มยิ้มบางๆพลางขยับออกห่างเล็กน้อยอย่างรำคาญ แต่แววตายังคงเปล่งประกายราวกับได้คว้าชัยชนะ
"เช่นนั้นผมจะไปจัดการให้เรียบร้อยทันทีครับพ่อ"
เด็กหนุ่มหันหลังเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทีมั่นใจ ทิ้งให้ผู้จัดการแผนกยืนมองตามด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยและความโล่งใจ หลังจากที่ลูกชายของเขาหายไปจากสายตา ชายแก่ก็นั่งลงที่เก้าอี้ ถอนหายใจยาวพร้อมยกกาแฟขึ้นจิบ เขาหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ ขณะที่แววตาแฝงความคาดหวังและความมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน
ไม่นานนัก หนึ่งในลูกน้องของเขาเปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นท่าทางที่ผ่อนคลายของเจ้านาย เขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล
"ท่านครับ พวกเราจำเป็นต้องเร่งมือกว่านี้ หากสามวันนี้พวกเราไม่สามารถปิดคดีได้จริง ๆ..."
ผู้จัดการแผนกยิ้มเย็นออกมาพร้อมกับโบกมือเป็นเชิงให้ลูกน้องเงียบลง "ไม่ต้องกังวล...พวกแกแค่เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก็พอ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาช่วยงานเรา รับรองว่าถึงเวลานั้นข้าจะปิดเรื่องนี้ได้แบบไร้ร่องรอยแน่นอน"
ลูกน้องคนนั้นพยักหน้าอย่างลังเลก่อนจะถอยออกจากห้อง ปล่อยให้ผู้จัดการแผนกอยู่ในห้องตามลำพัง ชายแก่เอนหลังพิงเก้าอี้ ปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยล้า แต่รอยยิ้มอันเต็มไปด้วยความพึงพอใจก็ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า
ในใจลึกๆ เขารู้ว่าหากแผนการนี้ผิดพลาด เขาและตระกูลอาจต้องเผชิญกับความหายนะที่เรียกว่าความล่มสลาย แต่เขาก็ยังหวังว่า ด้วยการดึงตัว "หมอนั่น" เข้ามารับภาระ ทุกอย่างจะลุล่วงไปด้วยดี
ห้องทำงานเงียบสงัดอีกครั้ง เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างห้อง แสงแดดยามบ่ายค่อยๆหม่นลง ในขณะที่เมืองทั้งเมืองกำลังเข้าสู่ยามเย็นที่เงียบงัน บรรยากาศอึมครึมปกคลุมไปทั่ว ปล่อยให้ผู้จัดการแผนกนั่งคิดคำนวณแผนที่อาจนำเขาสู่จุดจบ หรือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่