เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก ดังก้องสะท้อนในโถงทางเดินแคบๆ ที่เงียบสงัด ขณะประตูเหล็กที่มีรอยสนิมขึ้นเล็กน้อยถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว
เสียงโลหะเสียดสีกันชวนให้ขนลุก ผู้คุมในชุดคลุมยาวสีดำสนิทก้าวเข้ามาในห้อง รัศมีเวทมนตร์บางเบาลอยอ้อยอิ่งรอบตัวเขา ร่างสูงสง่ามีท่าทางเงียบขรึม ดวงตาที่เยือกเย็นจับจ้องมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับพื้นโดยไม่เอ่ยคำใด ก่อนที่สุดท้ายผู้คุมจะเดินไปนั่งอยู่ที่มุมโต๊ะที่ถูกจัดเอาไว้หน้าห้องขัง
เขาสังเกตุท่าที และ ลักษณะของผู้คุมอย่างละเอียด แม้ว่าภายนอกดูเหมือนจะถูกปิดบังตัวตนอย่างมิดชิด แต่วัสดุของคฑานั้นก็เพียงพอที่เขาจะสามารถเดาออกได้ว่าผู้คุมตรงหน้านั้นมาจากกลุ่มไหน แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะวัสดุที่ใช้ทำด้ามคฑานั้น เป็นของที่สั่งทำโดยเฉพาะ และ มีแค่กลุ่มเดียวที่มีวัสดุแบบนี้….หอคอยจอมเวทย์
“เป็นไปได้ยังไง? หรือว่าจะถูกขโมยมา?”
เขาตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะสังเกตุบริเวณด้ามจับของคฑาที่ชายคนนั้นถืออย่างละเอียด
ร่องรอยการสึกกร่อนจากรอยนิ้วมือปรากฏอย่างเด่นชัด ทั้งคราบสกปรก และ รอยถลอก ตรงกับผู้ใช้อย่างชัดเจน ราวกับถูกใช้มาตั้งแต่แรก เว้นเสียแต่ว่าผู้คุมตรงหน้าจะขโมยมันมาก่อนที่จะถึงมือเจ้าของตัวจริง
แต่นั้นก็ฟังดูเป็นไปไม่ได้เข้าใหญ่ ใครกันที่บ้าพอจะกล้าขโมยของๆหอคอยที่มีอำนาจเทียบเคียงกับราชวงศ์กัน?
ยิ่งชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น เหตุใดหอคอยที่เป็นกลางมาตลอดถึงกล้าลักพาตัวคนกลางเมือง รวมถึงนำคนจำนวนมากมาดักจับเขาขนาดนี้
ถึงจะไม่ได้รู้จักผู้นำหอคอยเป็นการส่วนตัว แต่ก็เคยพบเจอกันมาก่อน แถมยังได้รับการช่วยเหลือเอาไว้ครั้งนึงด้วย ถึงแม้ว่าหลังจากที่เธอหายตัวไป เขาจะไม่ได้พบกับผู้นำหอคอยอีกเลยก็ตาม แต่ก็ไม่คิดว่าชายคนนั้นจะมีนิสัยแบบนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นฝีมือคนอื่น…
ชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว “ฟาเรีย”รองผู้นำหอคอยจอมเวทย์ แม้ชื่อเสียงในที่สาธารณะจะฟังดูดี แต่กลับมีข่าวลือว่าเธอได้รับการสนับสนุนจากขุนนางอย่างเห็นได้ชัด แถมยังกุมอำนาจของหอคอยจอมเวทส่วนใหญ่เอาไว้ แม้จะเป็นรองแค่ผู้นำหอคอยก็ตามที
หญิงสาวคนนั้นอาจจะรู้เรื่องการทดสอบที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ไม่งั้นแล้ว ทำไมเหยื่อในคดีถึงเป็นเหล่าลูกหลานของตระกูลขุนนาง แต่กลับไม่มีจอมเวทย์จากสามัญชนเลย?
และแม้ว่าเขาจะบังเอิญหลงเข้าไปในเขตแดนของแม่มดก็ตาม แต่หากว่า"ฟาเรีย"รู้เรื่องการทดสอบที่ว่ามาล่ะก็ เธอก็สามารถสั่งคนให้สังเกตุการณ์ปรากฏที่เกิดขึ้นทั่วเมืองได้ และนั้นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาโดนติดตามตั้งแต่ออกจากเขตแดนของแม่มดพอดี
ขณะที่เขานั่งคิด พลังเวทย์ที่เริ่มถูกดูดออกไปช้าลง พลังที่ดึงออกมาจากหัวใจก่อนหน้านี้ได้เริ่มหมดลงแล้ว อีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นกุญแจมือธรรมดาเพราะขาดพลังเวทย์ในการทำงาน
ผู้คุมขยับตัวเล็กน้อย มือหนึ่งจับไม้เท้าที่ปล่อยแสงจางๆออกมาเหมือนมีชีวิต แต่ก็ยังคงนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้น เขาไม่ได้พูดหรือส่งสัญญาณใดๆ มีเพียงสายตาที่จับจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ลดละ
ผู้คุมตรงหน้า แม้จะดูเคร่งขรึมและไม่ยอมเปิดเผยความคิดอะไรมากนัก แต่ชายหนุ่มก็จับสังเกตได้จากสายตาที่ไม่แน่วแน่นั้นได้ว่าผู้คุมตรงหน้าไม่ได้จงรักภัคดีกับหอคอยมากขนานนั้น เขาอาจถูกส่งตัวมาเพียงเพื่อจับตาดูเท่านั้น
พวกมันอาจจะยังไม่รู้ว่าเขาได้รับอะไรจากการทดสอบ เลยพยายามที่จะไม่ทำให้ร่างกายเขาได้รับความเสียหายเกินความจำเป็น…. ถือว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องโดนซ้อมเหมือนกับที่ผ่านๆมา และหากเธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จริงๆ ก็ยังพอมีหนทางที่จะต่อรองอยู่
ความจริงเกี่ยวกับอาชีพของ"ผู้คุม" นั้น อาจจะดูเหมือนตำแหน่งงานที่น่าภาคภูมิใจ แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นงานของเหล่าผู้ที่ไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของวงแหวนตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกได้ จนสุดท้ายต้องมาลงเอยอยู่ในสายอาชีพนี้ ที่ขอเพียงมีวงแหวนเวทมนตร์ที่สูงพอ และ ฝีมือนิดหน่อยก็สามารถเป็นได้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้คุมของหอคอยก็ตาม
มันเป็นงานที่ไม่ได้มีรายได้ดีอย่างที่คิด พวกเขาส่วนใหญ่มักจะมีรายได้จากการต่อรองเล็กๆน้อยๆ เพื่อหาผลประโยชน์จากผู้ต้องขังหรือแม้แต่จากการส่งต่อข้อมูลให้ผู้ที่สนใจ ทุกอย่างล้วนถูกแปรเปลี่ยนเป็น "ราคา" ได้
แม้จะดูเป็นงานที่ไร้อนาคต แต่กว่าที่ใครสักคนจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ได้ จะต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะจำนวนไม่น้อย—ทั้งเพื่อซื้อสิทธิ์ในการเข้าสู่ตำแหน่ง และ เพื่อซื้อความไว้ใจจากผู้ที่มีอำนาจ ผู้คุมเหล่านี้จึงต้องหาโอกาสคืนทุนด้วยการสร้างช่องทางของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการค้าข้อมูล การรับสินบน หรือการหลับตาข้างหนึ่งเพื่อปล่อยให้บางสิ่งผ่านไป
หากการต่อรองนั้นไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ และยังให้ผลประโยชน์ตอบแทน พวกเขาก็พร้อมจะรับฟังทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อเสนอมาจากคนที่ดูเหมือนจะไม่มีภัย……เช่นเขา ชายที่ถูกตราหน้าว่าไม่มีพลังเวทย์ และ ถึงแม้ว่าจะได้รับอะไรบางอย่างมาจากการทดสอบก็จริง แต่สภาพตอนนี้ของเขา ใครจะไปคิดว่าจะทำอะไรได้? เพราะงั้นจึงง่ายต่อการต่อรอง
“ผมมีข้อมูลที่คุณจะได้ประโยชน์แน่นอน สนใจจะฟังไหม?” เขาเอ่ยเรียบๆ แต่น้ำเสียงชัดเจนพอที่จะทำให้ผู้คุมหันมาสนใจ
ผู้คุมหรี่ตาเล็กน้อย ไม้เท้าในมือกระชับแน่นขึ้น แสงจากไม้เท้าส่องริบหรี่ “ว่ามา” น้ำเสียงไร้ความลังเล แต่ก็ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ชายหนุ่มโน้มตัวไปเล็กน้อย กระซิบเสียงเบาพอให้ผู้คุมได้ยินเพียงคนเดียว
“ผมรู้ว่า ฟาเรีย…รองผู้นำหอคอย กำลังตามหาคนรักลับๆ ของ เซนริก ผู้นำหอคอยคนปัจจุปันอยู่… และ ผมรู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใคร”
ผู้คุมชะงัก ดวงตาเย็นเยียบ สังเกตชายหนุ่มอย่างละเอียด ราวกับจะตัดสินว่าเขากำลังพูดความจริงหรือไม่ เพราะหากว่าเขารู้ข้อมูลที่ว่ามาจริงๆ มันจะสามารถช่วยเขายกระดับฐานะของชีวิตตัวเองได้ดีขึ้นมากๆ และ พร้อมจะให้รางวัลมหาศาล แก่ใครก็ตามที่สามารถนำข้อมูลนี้ไปให้เธอได้
“ผมบอกคุณได้ แต่ผมต้องการให้คุณช่วยเล็กน้อย… ผมต้องการเวลาแค่สองนาที ในช่วงเปลี่ยนกะ คุณแค่ถ่วงเวลาเอาไว้แค่นั้นพอ”
ไม้เท้าในมือของผู้คุมกระตุกเล็กน้อย เวลาผ่านไปสักพัก เหมือนว่าเขากำลังไตร่ตรองข้อเสนอ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะพยักหน้าเชื่องช้า แต่ยังคงไม่ละสายตาจากชายหนุ่ม
ผู้คุมไม่พูดอะไร เพียงแต่ค่อยๆ ยกไม้เท้าขึ้น ไม้เท้าของเขาเปล่งแสงที่ไหลไปตามข้อมือของชายหนุ่ม ก่อนที่กุญแจมือจะหยุดทำงานชั่วขณะ ในตอนนั้น พลังเวทย์จากกุญแจที่ดูดซับพลังจากชายหนุ่มก็หยุดลง
เขาใช้โอกาสนั้นรวบรวมพลังเวทย์ในการทำสัญญาทันที
วงเวทย์สีทองเริ่มหมุนวนขึ้นในอากาศ ร่างของทั้งสองคนถูกห้อมล้อมด้วยแสงระยิบระยับ ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้สึกถึงการผูกมัดจากสัญญาที่เกิดขึ้น
ชายหนุ่มกระซิบข้อมูลอีกครั้ง น้ำเสียงต่ำแต่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ผู้คุมได้ยินเท่านั้น
เขาฟังจนจบ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
“อีกสามชั่วโมงจะมีการเปลี่ยนกะ ถ้าจะทำอะไร ให้รอเวลานั้น”
พูดจบ ผู้คุมตรงหน้าก็หมุนตัวกลับไปประจำตำแหน่งอย่างเงียบงัน ไม่มีคำพูดเพิ่มเติมหรือท่าทีใดที่แสดงออกถึงความสนใจในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
เขามองแผ่นหลังของผู้คุมที่เดินกลับไป ก่อนจะล่ะสายตากลับมา ในหัวสมองของเขาเริ่มวางแผนการหลบหนีครั้งใหม่ สำหรับโอกาสที่จะมาถึงในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า...